|
|
จอมทัพไทย
จอมทัพไทย
ชาติของเรา เป็นไทยอยู่ได้ จนถึงตัวเราคนหนึ่งนี้ เพราะบรรพบุรุษของเราเอาเลือด เอาเนื้อ เอาชีวิต และความลำบากยากเข็ญเข้าแลกไว้
- โขลงช้างยังมีพญาสาร
|
ครอบครองบริวารทั้งหลาย |
ฝูงโคขุนโคก็เป็นนาย |
มุ่งหมายนำพวกไปหากิน |
ฝูงหงส์มีเหมราชา |
สกุณามีขุนปักษิณ |
เทวายังมีสักรินทร์ |
เป็นปิ่นเทวัญชั้นฟ้า |
- เผ่าชนจะตั้งเป็นคณะ
|
จะต่างคิดเกะกะตามประสา |
จะอยู่ได้ดีกี่เวลา |
ดูน่าจะยับอับจน |
จำเป็นต้องมีหัวหน้า |
กะการบัญชาให้เป็นผล |
กองทัพบริบูรณ์ผู้คน |
ไม่มีจุมพลจะสู้ใคร |
(พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าพระเจ้าอยู่หัว)- พระมหากษัตริย์ไทยทรงเป็นจอมทัพไทยมาทุกยุคทุกสมัย สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ที่ได้รวบรวมเผ่าไทย ตั้งขึ้นเป็นราชอาณาจักรไทย ณ ผืนแผ่นดินไทยแห่งนี้
- คำว่า พระมหากษัตริย์ หมายถึง นักรบผู้ยิ่งใหญ่ หรือจอมทัพ เพราะในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ชาติที่เข้มแข็งเท่านั้น จึงจะดำรงคงความเป็นชาติอยู่ได้ ชาติที่อ่อนแอ ก็จะตกไปเป็นผู้ที่อยู่ในครอบครองของชาติอื่น ความเข้มแข็งที่สำคัญยิ่ง คือความเข้มแข็งทางการทหาร ความเข้มแข็งในด้านอื่นๆ เป็นส่วนประกอบ ซึ่งก็จะขาดเสียมิได้ เนื่องจากการศึกมิได้ทำอยู่ตลอดไป ระยะเวลาว่างศึกมีอยู่มากกว่า ในห้วงเวลาดังกล่าว ก็จะมีการสร้างเสริมความแข็งแกร่งในด้านต่าง ๆ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศ และความอยู่ดีกินดีของอาณาประชาราษฎร์
- ชาติไทยเป็นชาติที่มีอารยธรรมสูงมาแต่โบราณกาล ดังนั้น องค์ประกอบอันเป็นแบบฉบับ แสดงถึงความเป็นจอมทัพไทย จึงมีอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ มีสัญญลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย มีความสง่างาม สมพระเกียรติยศแห่งจอมทัพไทย
ธงชัยราชกระบี่ยุทธ - ธงชัยพระครุฑพาห์
- ธงชัย เป็นธงที่ใช้เนื่องในพระมหากษัตริย์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงสถาปนาธงชัยกระบี่ธุช พระครุฑพ่าห์ขึ้น 2 ชุด มีลักษณะเป็นธงสามชาย ขนาดเล็ก 1 คู่ และขนาดใหญ่ 1 คู่ ที่คันธงของธงชัยทั้งคู่นี้ มีโลหะปิดทอง รูปกระบี่ และครุฑยุดนาคเป็นเครื่องประกอบ จึงเรียกว่า ธงชัยพระกระบี่ธุชพระครุฑพ่าห์ใหญ่ และ ธงชัยพระกระบี่ธุชพระครุฑพ่าห์น้อย
- ต่อมา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2453 ได้ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้สร้าง ธงชัยพระราชกระบี่ยุทธ มีรูปวานรทรงเครื่องบนพื้นผ้าสีแดง และ ธงชัยพระครุฑพ่าห์ มีรูปครุฑสีแดงบนพื้นผ้าเหลือง เพิ่มขึ้นจากของเดิมดังกล่าวแล้ว เนื่องจากได้มีการขุดพบแผ่นสำริดรูปกระบี่ 1 รูป รูปครุฑ 1 รูป ซึ่งเป็นธงชัยประจำพระมหากษัตริย์แต่โบราณ
- ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2472 ได้นำหลักประเพณีเดิมที่ปรากฎอยู่ใน โคลงพระราชพิธีทวาทศมาศ มาใช้ในพระราชปฏิบัติระเบียบการเชิญธง โดยให้ธงพระกระบี่ธุชอยู่ทางซ้าย ธงพระครุฑพ่าห์น้อยอยู่ทางขวา และเรียกว่า ธงชัยราชกระบี่ยุทธ และ ธงชัยพระครุฑพ่าห์
- คทาจอมพล
- คทาจอมพล เริ่มใช้ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ภายหลังที่ทรงปรับปรุงกิจการทหาร เป็นแบบสากล คทาจอมพลแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
- ประเภทที่ 1 เป็นคทาเครื่องต้นของมหากษัตริย์
- ประเภทที่ 2 เป็นคทาสำหรับพระบรมวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งดำรงพระยศเป็นจอมพล
- ประเภทที่ 3 เป็นพระคทาสำหรับผู้ที่ดำรงยศเป็นจอมพล โดยทั่วไปของทั้งสามเหล่าทัพ คือ กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ
- สำหรับคทาจอมพลซึ่งเป็นพระคทาเครื่องต้นของพระมหากษัตริย์มี 4 องค์ คือ
พระคทาองค์แรก
- ข้าราชการกรมทหารบกได้สร้างพระคทาจอมพลขึ้น ทูลเกล้า ฯ ถวายพราะบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในฐานะองค์จอมทัพไทย เนื่องในพระราชพิธีทวีธาภิเษกสมโภช เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2446 ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
- พระคทาจอมพลองค์แรกนี้มีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอก ยาว 35 เซนติเมตร ยอดคทาเป็นรูปหัวช้างสามเศียรลงยาสีขาว เหนือหัวช้างเป็นรูปพระเกี้ยว ตอนท้ายคทาเป็นรูปทรงกระบอกตัด องค์พระคทาทำด้วยทองคำ หนัก 40 บาท ใต้หัวช้างลงมาเป็นลายนูน รูปหม้อกลศ ซึ่งหมายถึง การทูลเกล้า ฯ ถวายเนื่องในพระราชพิธีทวีธาภิเษก พระคทาองค์นี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้เป็นประจำตลอดรัชกาล
พระคทาองค์ที่สอง
- ข้าราชการกรมยุทธนาธิการได้จัดสร้างขึ้นทูลเกล้า ฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในฐานะองค์จอมทัพไทย เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2453 พระคทาองค์ที่สองนี้ มีลักษณะส่วนใหญ่คล้ายคลึงกับพระคทาองค์แรกมาก ต่างกันที่ตรงยอดพระคทา ซึ่งเป็นมงกุฎและมีลายเฟื่อง อยู่ที่แถบกลางใต้ฐานของยอดมงกุฎโดยรอบเท่านั้น
พระคทาองค์ที่สาม
- ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้พระราชทานแบบคทาจอมพลขึ้นใหม่ ทำด้วยทองคำเกลี้ยง มีลักษณะป่องตรงกลางและคอดเรียวไปทางด้านยอดและด้านปลาย ยอดพระคทาทำเป็นรูป พระครุฑพ่าห์ ลงยาตามแบบพระราชลัญจกรประจำแผ่นดิน ใต้พระยาครุฑทำเป็นลูกแก้วรองฐานบัวหงาย ลงยาราชาวดี ส่วนด้านปลายมีลูกแก้ว และยอดบัวกลุ่มสี่ชั้น ลงยาราชาวดีเช่นกัน
- พระคทาจอมพลองค์นี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้มาตลอดรัชกาล ต่อมาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงใช้พระคทาจอมพลองค์นี้สืบมา
พระคทาองค์ที่สี่
- นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ พระองค์ทรงใช้พระคทาจอมพลองค์ที่สาม ซึ่งนายกรัฐมนตรี และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกระทรวงกลาโหม ได้ทูลเกล้า ฯ ถวาย พร้อมเครื่องยศจอมพล เมื่อวันที่ 16 มีนาคม พุทธศักราช 2493 ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เนื่องในวโรกาส ที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินนิวัตสู่ประเทศไทย
- ต่อมาในปีพุทธศักราช 2509 ข้าราชการกระทรวงกลาโหมเห็นว่า พระองค์ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจ สำหรับประเทศชาติ ทั้งภายในและภายนอกประเทศอย่างมากมาย ทำให้กิจการต่าง ๆ บรรลุผลสำเร็จลุล่วงเสมอ พระบารมีของพระองค์แผ่ไพศาล ก่อให้เกิดความสามัคคีกลมเกลียว และความสงบสุขในหมู่ประชาชน สภากลาโหมจึงได้มีมติเมื่อวันที่ 18 มีนาคม พุทธศักราช 2509 ให้สร้างพระคทาจอมพลขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเก็บเงินเพื่อสร้างคทานี้จากนายทหารชั้นนายพลประจำการทุกนาย และในวันที่ 2 ธันวาคม พุทธศักราช 2509 นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมพร้อมด้วยนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ได้ทูลเกล้า ฯ ถวายพระคทาจอมพลองค์นี้แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เนื่องในวโรกาสที่พระองค์ทรงมีพระชนมายุ 40 พรรษา เพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งความจงรักภักดีของข้าราชการทหารทุกนาย และได้ขอพระบรมราชานุญาต ขนานนามพระคทาองค์ใหม่นี้เป็นพิเศษว่า พระคทาจอมทัพภูมิพล
- พระคทาองค์ที่สี่ มีลักษณะทั่วไปเหมือนพระคทาองค์ที่สาม องค์พระคทาทำด้วยทองคำหนัก 430 กรัม แกนกลางป่อง เรียวไปทางยอดและปลาย ประกอบด้วยเครื่องหมายมงคลแปด ด้านยอดคงมีพระครุฑพ่าห์ลงยา และลูกแก้วรองฐานบัวหงาย ลงยาราชาวดี ด้านปลายมีลูกแก้วและยอดบัวกลุ่มสี่ชั้น ลงยาราชาวดี เช่นเดียวกันกับพระคทาองค์ที่สาม ส่วนที่ต่างกันคือ เหนือพระยาครุฑมีพระปรมาภิไธยย่อ "ภปร" ฝังเพชรอยู่ในกรอบรูปไข่ และมีรูปพระมหาพิชัยมงกุฎทองฝังเพชร อยู่เบื้องบนตอนปลายพระคทา ต่อจากเครื่องหมายมงคลแปด มีเครื่องหมายกระทรวงกลาโหม
- พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสตอบในการเสด็จพระราชดำเนินออกรับ พระคทาจอมทัพภูมิพล มีข้อความบางตอนดังนี้
- ...ข้าพเจ้ายินดีรับไว้ด้วยความเต็มใจ และจะถือว่าคทาจอมทัพ เป็นเสมือนเครื่องหมายแห่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของกองทัพทั้งสาม
- อิสสระภาพ ความมั่นคง ตลอดจนความเจริญรุ่งเรืองของประเทศเรา ขึ้นอยู่กับกิจการทหารเป็นสำคัญตลอดมาทุกยุคทุกสมัย เพราะเมืองไทยนี้เป็นเมืองทหาร คนไทยทุกคนมีเลือดทหารเป็นนักต่อสู้ ผู้รักและหวงแหนความเป็นไทยยิ่งด้วยชีวิต...
- ทหารมีหน้าที่ป้องกันรักษาประเทศ หน้าที่นี้นอกจากในด้านการรบแล้ว ยังมีด้านอื่นที่สำคัญเท่าเทียมกันอยู่อีกคือ การสร้างความสัมพันธ์อันดีกับประชาชน ต้องสงเคราะห์อนุเคราะห์ประชาชนด้วยการให้ความคุ้มครองป้องกัน และช่วยเหลือในความเป็นอยู่ ตลอดถึงการแนะนำสนับสนุนในการครองชีพด้วย...
- ... ขอท่านทั้งหลายจงร่วมมือร่วมใจกัน ทำหน้าที่ของทหารให้สมบูรณ์ทุกด้าน มีความพรักพร้อมเป็นใจเดียวกัน ประกอบกรณียกิจเพื่อความมั่นคงเจริญรุ่งเรืองของประเทศ และความร่มเย็นเป็นสุขของประชาราษฎรไทยทุกคน...
สายยงยศจอมทัพไทย
- สายยงยศเป็นเครื่องหมายแสดงฐานะพิเศษเฉพาะบางฐานะของผู้ประดับที่เป็นทหาร ซึ่งไม่เป็นสาธารณแก่ทหารทั่วไป เช่นสายยงยศของนายทหารฝ่ายเสนาธิการ และสายยงยศของราชองครักษ์ เป็นต้น
- สำหรับสายยงยศจอมทัพไทย เป็นสายยงยศเฉพาะองค์พระมหากษัตริย์ซึ่งทรงเป็นองค์ "จอมทัพไทย" สายยงยศนี้แตกต่างจากสายยงยศราชองครักษ์ ด้วยมีสายไหมหรือสายไหมทองถักรวบสายยงยศคู่หน้า เมื่อประดับบนฉลองพระองค์เครื่องแบบทหาร ถมที่ถักรวบดังกล่าวนี้ จะอยู่ในแนวกระเป๋าของฉลองพระองค์เครื่องแบบทหารระดับพระอุระเบื้องขวา
- กระบวนพยุหยาตราเลียบพระนคร คือ กระบวนพระเกียรติยศแห่งจอมทัพไทยในสมัยโบราณ ที่ยิ่งด้วยพระบรมเดชานุภาพแห่งนักรบผู้ยิ่งใหญ่อันได้เฉลิมพระนาม "สมเด็จพระมหากษัตราธิราช" สืบสันติวงศ์เป็นองค์พระประมุขของประเทศ
- หลังพระราชพิธีบรมราชาภิเศก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพยุหยาตราสถลมารค 1 วัน และ ชลมารค 1 วัน ซึ่งเรียกว่า เสด็จพระราชดำเนินพยุหยาตราเลียบพระนคร เพื่อให้อาณาประชาราษฎรได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทแสดงความจงรักภักดี
- การเสด็จพระราชดำเนินโดย ขบวนพยุหยาตราใหญ่ และ กระบวนพยุหยาตราน้อย มีทั้งที่เป็นขบวนพยุหยาตราสถลมารค และ ชลมารค
- กระบวนพยุหยาตราสถลมารค 4 กระบวน ประกอบด้วยกระบวนพยุหยาตราใหญ่สถลมารค กระบวนพยุหยาตราน้อยสถลมารค กระบวนราบใหญ่ และ กระบวนราบน้อย
- กระบวนพยุหยาตราชลมารค 5 กระบวน ประกอบด้วยกระบวนพยุหยาตราชลมารคใหญ่ กระบวนพยุหยาตราน้อยชลมารค กระบวนราบใหญ่ทางเรือ กระบวนราบน้อยทางเรือ และกระบวนราบย่อ
กระบวนพยุหยาตราสถลมารค
- ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้จัดเป็นกระบวนราบใหญ่ ทรงประทับที่นั่งราชยานพุดตานทอง เสด็จพระราชดำเนินจากเกยหน้าพระทวารเทเวศน์รักษา พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ไปประกาศพระองค์เป็น พุทธศาสนูปถัมภก ณ พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และถวายบังคมพระบรมรูปพระบุรพมหากษัตราธิราชเจ้าแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ณ ปราสาทพระเทพบิดร
- ในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนม์พรรษาครบ 3 รอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จโดยกระบวนพยุหยาตราใหญ่สถลมารค ตามแบบโบราณราชประเพณี เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม พุทธศักราช 2506
กระบวนพยุหยาตราชลมารค
- ในปีพุทธศักราช 2503 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้า ฯ ให้จัดพระราชพิธีถวายผ้าพระกฐิน โดยขบวนพยุหยาตราชลมารค เพื่อนำผ้าพระกฐินไปถวาย ณ วัดอรุณราชวรารามมหาวิหาร เป็นครั้งแรก
- ในการพระราชพิธีสมโภชน์กรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี เมื่อปี พ.ศ. 2525 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนิน โดยขบวนพยุหยาตราใหญ่ชลมารค ไปทรงบวงสรวงสมเด็จพระบูรพมหากษัตราธิราชเจ้า ได้มีการแก้ไขปรับปรุง รูปแบบริ้วขบวนเรือใหม่ มีลักษณะงามสง่าดุจดาวล้อมเดือน
พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา
- พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา หรือพระราชพิธีศรีสัจจปาลกาล เป็นพระราชพิธีใหญ่สำหรับแผ่นดินมาแต่โบราณกาล และได้ยกเลิกไปเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ. 2475 ต่อมาได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตั้งพระราชพิธีนี้ขึ้นอีก เมื่อวันที่ 24 และ 25 มีนาคม พุทธศักราช 2512 ผู้ที่ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาในพระราชพิธีครั้งนี้ เฉพาะผู้ที่เป็นสมาชิกเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดีเท่านั้น และเรียกว่า พระราชพิธีพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี ซึ่งเป็นการผนวกการพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี กับถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา เข้าด้วยกัน
- พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา เป็นพระราชพิธีที่รวมทั้ง พิธีทางพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์ ลำดับการพระราชพิธีเป็นดังนี้
- - ทำน้ำพระพุทธมนต์
- - ทำน้ำพระพุทธมนต์ให้เป็นน้ำพระพิพัฒน์สัตยา (น้ำชำระพระแสง)
- - ดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยา และสาบานตน
- ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประกอบการพระราชพิธีนี้ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
- น้ำชำระพระแสงนี้แต่เดิม พระมหากษัตริย์มิได้ทรงเสวย ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้า ฯ ให้เชิญขึ้นทูลเกล้า ฯ ถวายเพื่อเสวยก่อน แล้วจึงได้แจกน้ำชำระพระแสงในหม้อเงินทั้งปวง ถวายพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการดื่ม
- พระราชพิธีพระราชทานเครื่องราชอิสสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี
- พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินไปยัง พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พุทธศักราช 2512
- เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจุดธูปเทียนบูชา พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระพุทธรูปฉลองพระองค์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระพุทธรูปฉลองพระองค์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ทรงจุดธูปเทียน เครื่องนมัสการบูชาพระรัตนตรัย ทรงศีล พระราชครูวามเทพมุนี ฯ อ่านโองการแช่งน้ำ แล้วเชิญพระแสงศรและพระแสงราชศัตราวุธชุบในน้ำพระพิพัฒน์สัตยา พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์สัจจคาถา
- เมื่อสิ้นสุดเสียงประโคมแล้ว สมาชิกเครื่องราชอิสริยาภรณ์รามาธิบดีอาวุโส กล่าวนำถวายคำสัตย์ปฏิญาณสาบานตน ผู้ที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ฯ ทั้งหมดว่าตาม มีความว่าดังนี้
- "ขอพระราชทานกระทำสัตย์ปฏิญาณสาบานตน ต่อประเทศชาติ และประชาชนชาวไทย เฉพาะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เฉพาะพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรว่า จะภักดีต่อชาติบ้านเมือง จะซื่อสัตย์ต่อประชาชนและหน้าที่"
ผู้ที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดีในรัชกาลปัจจุบัน
ผู้ที่ได้รับพระราชทานก่อน พ.ศ. 2512 - ชั้นที่ 1 เสนางคะบดี
- 1. จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อ 20 กรกฎาคม 2505
- 2. จอมพล ถนอม กิตติขจร เมื่อ 10 พฤษภาคม 2508
- ชั้นที่ 2 มหาโยธิน
- 1. จอมพล ประภาส จารุเสถียร เมื่อ 10 พฤษภาคม 2508
- 2. พลเอก จิตติ นาวีเสถียร เมื่อ 10 พฤษภาคม 2508
- 3. พลอากาศเอก ทวี จุลละทรัพย์ เมื่อ 10 พฤษภาคม 2508
- ชั้น 3 โยธิน
- ยังไม่มีผู้ใด้รับ
- ชั้น 4 อัศวิน
- พันตรี ยุทธนา แย้มพันธุ์ เมื่อ 5 ตุลาคม 2511
- ชั้น 5 เหรียญรามมาลาเข็มกล้ากลางสมร
- ร้อยเอก วิชัย ขันติรัตน์ เมื่อ 5 ตุลาคม 2511
ผู้ที่ได้รับพระราชทาน เมื่อ พ.ศ. 2512 - ชั้น 1- ชั้น 3
- ไม่มีผู้ได้รับ
- ชั้น 4 อัศวิน
- พันตำรวจตรี กฤช สังขทรัพย์ เมื่อ 25 มีนาคม 2512
- ชั้น 5 เหรียญรามาลาเข็มกล้ากลางสมร
- ร้อยตำรวจโท วินิจ รัญเสวะ เมื่อ 25 มีนาคม 2512
- ชั้น 6 เหรียญรามมาลา
- 1. ร้อยเอก นฤนาท ไตรภูวนาท เมื่อ 25 มีนาคม 2512
- 2. ร้อยตำรวจเอก พิเชษฎ เกษบุรมย์ เมื่อ 25 มีนาคม 2512
|
Update : 16/5/2554
|
|