ค ถึงย่านขวางบางทะแยงเป็นแขวงทุ่ง |
ดูเวิ้งวุ้งหว่างละแวกล้วนแฝกเฝือ |
เห็นไรไรไม้พุ่มครุมครุมเครือ |
เหมือนรูปเสือสิงโตรูปโคควาย |
ท่านบิดรสอนหนูให้รู้ว่า |
มันผินหน้าออกนั้นกันฉิบหาย |
แม้นปากมันผันเข้าข้างเจ้านาย |
จะล้มตายพรายพลัดเร่งตัดรอน |
จารึกไว้ให้เป็นทานทุกบ้านช่อง |
ฉันกับน้องนี้ได้จำเอาคำสอน |
ดึกกำดัดสัตว์หลับประทับนอน |
ที่วัดมอญเชิงรากริมปากคลอง |
ต้นไทรครึ้มงึ้มเงียบเซียบสนัด |
พระพายพัดแผ้วผ่าวหนาวสยอง |
เป็นป่าช้าอาวาสปีศาจคะนอง |
ฉันพี่น้องมิได้คลาดบาทบิดา |
ท่านนอนหลับตรับเสียงสำเนียงเงียบ |
เย็นยะเยียบเยือกสนองพองเกศา |
เสียงผีผิวหวิวโหวยวิญญา |
ภาวนาหนาวนิ่งไม่ติงกาย |
บรรดาศิษย์บิดรที่นอนนอก |
ผีมันหลอกลากปล้ำพลิกคว่ำหงาย |
ลุกขึ้นบอกกลอกกลัวทุกตัวนาย |
มันสาดทรายกรวดโปรยเสียงโกรยกราว |
ขึ้นสั่นไทรไหวยวบเสียงสวบสาบ |
เป็นเงาวาบหัวหกเห็นอกขาว |
หนูกลั่นกล้าคว้าได้รากไทรยาว |
หมายว่าสาวผมผีร้องนี่แน |
พอพระตื่นฟื้นกายค่อยคลายจิต |
บรรดาศิษย์ล้อมข้างไม่ห่างแห |
ท่านห่มดองครองเคร่งไม่เล็งแล |
ขึ้นบกแต่องค์เดียวดูเปลี่ยวใจ |
สำรวมเรียบเลียบรอบขอบป่าช้า |
ภาวนาตามสงฆ์ไม่หลงใหล |
เห็นศพฝังบังสุกุลส่งบุญไป |
เห็นแสงไฟรางรางสว่างเวียน |
ระงับเงียบเซียบเสียงสำเนียงสงัด |
ประดิพัทธ์พุทธคุณค่อยอุ่นเศียร |
บรรดาศิษย์คิดกล้าต่างหาเทียน |
จำเริญเรียนรุกขมูลพูนศรัทธา |
อสุภธรรมกรรมฐานประหานเหตุ |
หวนสังเวชว่าชีวังจะสังขาร์ |
อันอินทรีย์วิบัติอนัตตา |
ที่ป่าช้านี่แลเหมือนกับเรือนตาย |
กลับหายกลัวมัวเมาไม่เข้าบ้าน |
พระนิพพานเพิ่มพูนเพียงสูญหาย |
อันรูปเหมือนเรือนโรคให้โศกสบาย |
แล้วต่างตายตามกันไปมั่นคง |
ค่อยคิดเห็นเย็นเยียบไม่เกรียบกริบ |
ประสานสิบนิ้วนั่งดังประสงค์ |
พยายามตามจริตท่านบิตุรงค์ |
สำรวมทรงศีลธรรมที่จำเจน |
ประจงจดบทบาทค่อยยาตรย่าง |
ประพฤติอย่างโยคามหาเถร |
ประทับทุกรุกขรอบขอบพระเมรุ |
จนพระเณรในอารามตื่นจามไอ |
ออกจงกลมสมณาษมาโทษ |
ร่มนิโรจน้องไม่เสื่อมที่เลื่อมใส |
แผ่กุศลสามจบทั้งภพไตร |
จากพระไทรแสงส่องผ่องโพยม |