ค ถึงบางหลวงทรวงร้อนดังศรปัก |
พี่ร้างรักมาด้วยราชการหลวง |
เมื่อคิดไปใจหายเสียดายดวง |
จนเรือล่วงมาถึงย่านบ้านกระแชง |
พี่เร่งเตือนเพื่อนชายพายกระโชก |
ถึงสามโคกต้องแดดยิ่งแผดแสง |
ให้รุ่มร้อนอ่อนจิตระอิดแรง |
เห็นมอญแต่งตัวเดินมาตามทาง |
ตาโถงถุงนุ่งอ้อมมากรอบส้น |
เป็นแยบยลเมื่อยกขยับย่าง |
เห็นขาขาววาวแวบอยู่หว่างกลาง |
ใครยลนางก็เป็นน่าจะปราณี |
ดูเหย้าเรือนหาเหมือนกับไทยไม่ |
หลังคาใหญ่พื้นเล็กเป็นโลงผี |
ระยะบ้านย่านนั้นก็ยาวรี |
จำเพาะมีฝั่งซ้ายเมื่อพายไป |
ค ถึงวังตำหนักพักพลพอเสวย |
แล้วก็เลยตามแควกระแสไหล... |
ค ถึงทุ่งขวางกลางบ้านบางกระบือ |
ที่ลมอื้อนั้นค่อยเหือดด้วยคุ้งขวาง |
ถึงย่านหนึ่งน้ำเซาะเป็นกาะกลาง |
ต้องแยกทางสองแควกระแสชล |
ปางบุรำคำบุราณขนานนาม |
ราชครามเกาะใหญ่เป็นไพรสณฑ์... |
...ครั้นพอสิ้นถิ่นเกาะค่อยเลาะเลียบ |
นาวาเพียบน้ำลงกำลังไหล |
โอ้อนาถเหนื่อยน่าระอาใจ |
ถึงบางไทรด่านดักนาวาเดิน |
เขาบอกชื่อสีกุกตรงด่านข้าม |
เป็นสามง่ามน้ำนองเป็นคลองเขิน... |
ค ถึงเกาะพระที่ระยะสำเภาล่ม |
เภตราจมอยู่ในแควกระแสไหล |
ว่าคุ้งหน้าท่าเสือข้ามกระแส |
พี่แลแลหาเสือไม่เห็นเสือ... |
...ไม่เคยตายเขาบ่ายนาวาล่อง |
เข้าในคลองตะเคียนให้โหยหา |
ระยะย่านบ้านช่องในคลองมา |
ล้วนภาษาพวกแขกตะนีอึง |
ดูหน้าตาไม่น่าจะชมชื่น |
พี่แข็งขืนอารมณ์ทำก้มขึง |
ที่เพื่อนเราร้องหยอกมันออกอึง |
จนเรือถึงปากช่องคลองตะเคียน |