หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ 4
    วัดสวนดอก
    วัดสวนดอก หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "วัดบุปผาราม" ในอดีตบริเวณวัดนี้เป็นสวนดอกไม้ของพระเจ้ากือนา กษัตริย์องค์ที่ 8 แห่งราชวงศ์เม็งราย โดยพระองค์ได้โปรดให้สร้างเป็นอารามหลวง เมื่อปี พ.ศ. 1914 รวมทั้งสร้างพระเจดีย์ใหญ่ทรงลังกา เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่พระสุมนเถระอัญเชิญมาจากสุโขทัย เมื่อปี พ.ศ. 1912 เดิมมีเจดีย์แบบสุโขทัย อยู่ทางทิศตะวันตกของเจดีย์ องค์ใหญ่ทรงลังกา 1 องค์ เป็นทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ แต่ได้หักพังลงแล้ว
    ในสมัยราชวงศ์เม็งราย วัดสวนดอกมีความเจริญรุ่งเรืองมาก แต่หลังจากสิ้นราชวงศ์เม็งราย บ้านเมืองตกอยู่ในอำนาจพม่า ทั้งเกิดจลาจลวุ่นวาย วัดนี้จึงกลายเป็นวัดร้างไป แต่ได้บูรณะขึ้นใหม่ในสมัยพระยากาวิละ
    ในปี 2450 พระนางดารารัศมี พระสนมเอกใน ร.5 ซึ่งเป็นเจ้านายในราชตระกูล ณ เชียงใหม่ เห็นทำเลที่วัดสวนดอกกว้างขวาง จึงย้ายเอากู่ของเจ้านายในตระกูล ณ เชียงใหม่ มาไว้ที่นี่
    ในปี พ.ศ. 2475 ครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนา ได้ทำการบูรณะวัดนี้ขึ้น และได้บูรณะวิหารหลวงหลังปัจจุบันด้วย
    นอกจากสิ่งที่น่าสนใจภายในวัด เช่น พระบรมสารีริกธาตุ ที่บรรจุในเจดีย์ใหญ่ทรงลังกา วิหารขนาดใหญ่เปิดโล่งทั้ง 4 ด้าน (เดิมเป็นเรือนหลวงของพระเมืองแก้ว) แล้วยังเป็นที่ตั้งของวัดเก้าตื้อ ซึ่งมีพระเจ้าเก้าตื้อประดิษฐานภายในโบสถ์
    พระเจ้าเก้าตื้อ เป็นพระพุทธรูปหล่อองค์ใหญ่มหึมา ตื้อเป็นคำในภาษาไทยเหนือ แปลว่า หนักพันชั่ง พระพุทธรูปนี้ พระเมืองแก้ว กษัตริย์องค์ที่ 13 แห่งราชวงศ์เม็งราย สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2047 เป็นพระพุทธรูปแบบเชียงแสน หน้าตักกว้าง 8 ศอก เพื่อเป็นพระประธานในวัดพระสิงห์ แต่เนื่องมีน้ำหนักมาก ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ จึงโปรดให้ประดิษฐานไว้ที่วัดสวนดอก

    วัดพระธาตุดอยสุเทพ
    วัดนี้ตั้งอยู่บนยอดเขาที่ชื่อว่า ดอยสุเทพ ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง เชียงใหม่ สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้ากือนา กษัตริย์องค์ที่ 8 แห่งราชวงศ์เม็งราย เมื่อปี พ.ศ. 1929 และได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุองค์ใหญ่ ที่ได้ทรงเก็บไว้สักการะบูชาส่วนพระองค์ถึง 13 ปี ไปบรรจุไว้ที่นี่ ด้วยการทรงอธิษฐานเสี่ยงช้างมงคล เพื่อกำหนดที่ประดิษฐาน เมื่อพบที่บรรจุบนยอดดอยแล้ว จึงให้ขุดยอดดอยลึก 8 ศอก กว้าง 6 วา 3 ศอก หาแท่นหินใหญ่ 6 แท่น มาวางเป็นรูปหีบใหญ่ในหลุม แล้วอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุลงประดิษฐานไว้ จากนั้นถมด้วยหิน แล้วก่อพระเจดีย์สูง 5 วา ครอบบนนั้น เหตุนี้จึงห้ามพุทธศาสนิกชนที่ไปนมัสการสวมรองเท้าใน บริเวณพระธาตุ และมิให้สตรีเข้าไปบริเวณนั้น
    สมัยพระเมืองเกษเกล้า ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์ที่ 12 ของราชวงศ์เม็งราย ในปี พ.ศ. 2081 ได้โปรดให้เสริมพระเจดีย์ให้สูงกว่าเดิม เป็นกว้าง 6 วา สูง 11 ศอก พร้อมทั้งให้ช่างนำทองคำทำเป็นรูปดอกบัวทองใส่บนยอดเจดีย์ ต่อมาเจ้าท้าวทรายคำราชโอรส ได้ให้ตีทองคำเป็นแผ่นติดที่พระบรมธาตุ
    ในปี .ศ. 2100 พระมหาญาณมงคลโพธิ์ สำนักวัดอโศการาม เมืองลำพูน ได้สร้างบันไดนาคหลวงทั้ง 2 ข้าง เพื่อให้ประชาชนขึ้นไปสักการะสะดวกขึ้น จนกระทั่งในสมัยครูบาศรีวิชัย จึงได้สร้างถนนขึ้นไป โดยถนนนี้มีความยาวถึง 11.53 กิโลเมตร

    วัดพระธาตุศรีจอมทอง
    ตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ บนเนินเตี้ย ๆ สมัยของพระเจ้าติโลกราช ในปี พ.ศ. 1994 ชาวบ้านได้สร้างศาลาขึ้นบนดอยศรีจอมทอง และสร้างพระพุทธรูปปูนปั้นขึ้นสององค์ประดิษฐานไว้ในศาลานี้ ในภายหลังจึงได้มี คหบดี 2 คน ร่วมกันสร้างวิหารขึ้น
    ต่อมาในสมัยกษัตริย์ลานนาไทยหลายพระองค์ ได้ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์เรื่อยมาจนกลายเป็นวัดใหญ่ และเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุในพระโกศทองคำ 5 ชั้น ซึ่งสามารถอัญเชิญออกมาสรงน้ำได้ จึงนับว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุองค์เดียวในประเทศไทยหรือในโลก ที่สามารถมองเห็นองค์พระธาตุจริง ๆ ได้

    วัดอุโมงค์เถรจันทร์ (วัดถ้ำเถรจันทร์)
    ตั้งอยู่เชิงดอยสุเทพ พระยาเม็งรายสร้างขึ้นเป็นอารามให้พระเถระกัสป และพระชาวลังกา 4 รูป จำพรรษา เรียกว่า วัดเวฬุกัฎฐาราม ชาวบ้านเรียกว่า "วัดไม้ไผ่สิบเอ็ดกอ"
    ต่อมาในสมัยพระเจ้ากือนา ได้ซ่อมแซมบูรณะและทำอุโมงค์ใต้ดิน หรือถ้ำ ให้พระเถรจันทร์ บำเพ็ญวิปัสนา ต่อมาชาวบ้านจึง เรียกกันว่า "วัดถ้ำเถรจันทร์" หรือ "วัดอุโมงเถรจันทร์" เป็นถ้ำที่แคบแต่สูง และยาวคล้ายรูปกากบาท

    วัดเจดีย์เหลี่ยม
    ตั้งอยู่ที่ตำบลท่าวังตาล อำเภอสารภี ตัวเจดีย์สร้างเป็นรูปสี่เหลี่ยม สูงขึ้นไปเป็นชั้น ๆ แต่ละชั้นจะมีซุ้มเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธรูปยืน 60 องค์ นับเป็นวัดที่สวยงามที่สุด เดิมเรียกว่า "วัดกู่คำ"
    วัดที่สร้างขึ้นสมัยพระยาเม็งราย ปี พ.ศ. 1831 ในขณะที่พระองค์ ทรงสร้างเมืองกุมกาม (เวียงกุมกาม) เมื่อขุดสระน้ำ จึงให้นำเอาดินมาปั้นอิฐ และก่อสร้างเป็นเจดีย์กู่คำ สูง 22 วา ฐานกว้าง 8 วา 1 ศอก ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
    เมื่อบ้านเมืองเกิดศึกสงคราม เจดีย์จึงถูกทิ้งร้างหักพัง จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2451 ชาวพม่าได้บูรณะซ่อมแซมขึ้นใหม่ จึงทำให้ศิลปกรรมต่าง ๆ เป็นแบบพม่า นอกจากรูปทรงเท่านั้นที่เป็นของเดิม

    วัดช้างค้ำ
    ตั้งอยู่ที่ ตำบลท่าวังตาล อำเภอสารภี (เดิมคือเวียงกุมกาม ในสมัยพระยาเม็งราย) เป็นวัดเก่าแก่สมัยพระยาเม็งราย มีวิหารและพระพุทธรูป 5 องค์ เป็นพระพุทธรูปทั้ง 4 องค์ พระพุทธรูปยืน 1 องค์ เมื่อกลับมาจากการยกกองทัพไปตีพม่าจนได้ชัยชนะแล้ว จึงได้สร้างเจดีย์ขึ้นในปี พ.ศ. 1833 มีฐานกว้าง 8 วา สูง 9 วา และสร้างซุ้มพระพุทธรูปทั้ง 4 ทิศ 2 ชั้น เมื่อพระเถระได้นำเอา พระบรมสารีริกธาตุมาจากลังกา พระยาเม็งรายจึงโปรดให้อัญเชิญมาบรรจุไว้ในพระเจดีย์ และปลูกต้นศรีมหาโพธิ์ไว้ด้วย

    • Update : 14/5/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch