๘ พฤษภาคม ๒๓๕๒
อัญเชิญพระศรีศากยมุนี จากแพขึ้นประตูท่าช้าง รัชกาลที่ ๑ ทรงประชวร เสด็จ ฯ ด้วยพระบาทเปล่า ชักลากขึ้นบทแท่น ต่อมาอีก ๔ เดือน ก็เสด็จสวรรคต
๗ กันยายน ๒๓๕๒
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ เสด็จสวรรคต เมื่อพระชนมายุ ๗๔ พรรษา ครองราชย์ ๒๗ ปี เศษ
๑๑ กันยายน ๒๓๕๒
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เสด็จขึ้นครองราชย์ ซึ่งได้ราชสมบัติต่อจาก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ
๑๔ กันยายน ๒๓๕๒
วันประสูติสมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ฯ องค์ที่ ๘ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และทรงเป็นพระมหาสมณเจ้า องค์ที่ ๒ ของไทย ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ในรัชกาลที่ ๕ เมื่อครั้งทรงผนวชเป็นสามเณรในปี ๒๔๐๙ และเมื่อทรงผนวชเป็นพระภิกษุในปี ๒๔๑๖
๒ ธันวาคม ๒๓๕๓
ตราพระราชกำหนดสักเลก ในรัชกาลที่ ๒ บังคับให้ชายฉกรรจ์ ทำงานหลวงปีละ ๓ เดือน คือ เข้า ๑ เดือน เป็นการเกณฑ์แรงงานและเพื่อความพร้อมรบในยามปกติ
๒๗ เมษายน ๒๓๕๔
วันถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ ณ ท้องพระเมรุ
๓ สิงหาคม ๒๓๕๔
ตราพระราชกำหนดห้ามสูบและซื้อขายฝิ่น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า ฯ ซึ่งในสมัยปลายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ ผู้ฝ่าฝืนมีโทษเฆี่ยนหลัง ๙๐ ที ให้ตระเวนบก ๓ วัน ตระเวนเรือ ๓ วัน ริบราชบาตรทรัพย์สินบุตรภรรยาเป็นของหลวง แล้วส่งตัวไปเป็นตะพุ่นหญ้าช้าง ผู้รู้เห็นเป็นใจมินำเอาความมาแจ้ง ให้เฆี่ยนหลัง ๖๐ ที
๒๔ เมษายน ๒๓๕๕
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้จัดขบวนไปรับพระพุทธรูปแก้วผลึกองค์สำคัญคือ พระพุทธบุษยรัตน์ จักรพรรดิพิมลมณีมัย ซึ่งอัญเชิญมาจากนครจำปาศักดิ์ มาพักรออยู่ที่สระบุรี แล้วนำมาประดิษฐานไว้ในพระบรมมหาราชวัง
๒ มิถุนายน ๒๓๕๘
วางหลักเมือง เมืองนครเขื่อนขันธ์ พระประแดง ขณะนั้นมีมอญ ๔๐,๐๐๐ คน อยู่ที่เมืองปทุมธานี และให้มอญ ๓๐๐ คน มาอยู่ที่นครเขื่อนขันธ์
๒๓ สิงหาคม ๒๓๕๘
มอญ เมืองเมาะตะมะ หนีเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร
พ.ศ.๒๓๖๐
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดเกล้า ฯ ให้ใช้รูปช้างสีขาวไม่ทรงเครื่องอยู่ในวงจักรบนพื้นธงสีแดง เป็นธงราชนาวี ใช้เฉพาะเรือหลวงเท่านั้น ส่วนเรือเอกชนคงใช้ธงพื้นแดงล้วน
๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๓๖๒
วันยกเสาหลักเมือง จังหวัดสมุทรปราการ เวลา ๑๐.๓๕ น. และสร้างป้อมขึ้นใหม่ ๖ ป้อม เพื่อป้องกันทางทะเล
พ.ศ.๒๓๖๓
โปรตุเกส เป็นฝรั่งชาติแรกที่ได้ตั้งกงสุลมาประจำที่กรุงเทพ ฯ คือ คาร์โลส เดอ ซิลเวรา ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น หลวงอภัยพานิช และได้รับพระราชทานที่อยู่คือบ้านที่องเชียงสือ เคยอยู่มาก่อน
๑๖ มิถุนายน ๒๓๖๓
เกิดอหิวาตกโรคระบาดในกรุงเทพ ฯ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เรียกว่า ห่าปีระกา มีผู้เสียชีวิต ๓๐,๐๐๐ คน ให้ตั้งพระราชพิธีอาพาธพินาศ ที่พระที่นั่งดุสิตา ทำคล้ายพิธีตรุษ คือ ยิงปืนใหญ่รอบพระนครตลอดรุ่ง ๑ คืน แล้วอัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบรมธาตุออกเวียนรอบพระนคร มีพระราชาคณะในขบวนแห่ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ทั้งทางบกและทางเรือ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงรักษาอุโบสถศีลพร้อมพระวงศานุวงศ์ ข้าราชการทั่วไปได้รับพระบรมราชานุญาติให้รักษาศีล ทำบุญให้ทานตามใจสมัคร ไม่ต้องเข้าเฝ้า และทำราชการที่ไม่จำเป็น
๑๕ ธันวาคม ๒๓๖๓
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดเกล้า ฯ ให้ยกทัพจากกรุงเทพ ฯ เป็น ๒ กองทัพ ไปขัดตาทัพพม่าที่เมืองราชบุรี และเมืองกาญจนบุรี เนื่องจากได้ข่าวว่าพระเจ้าอังวะจักกายแมง เตรียมยกทัพมาตีไทย แต่ไม่ได้ยกเข้ามา
พ.ศ.๒๓๖๔
เรือกำปั่นของชาวอเมริกันลำแรกได้แล่นเข้ามาถึงกรุงเทพ ฯ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เรือลำนี้ได้บรรทุกสินค้าและปืนคาบศิลาที่ทางราชการไทยต้องการ กับตันเรือได้ถวายปืนคาบศิลา ๕๐๐ กระบอก จึงได้รับพระราชทานสิ่งของตอบแทนจนคุ้มราคาปืน ได้รับการยกเว้นภาษีส่วนหนึ่ง และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็น ขุนภักดีราช
๕ กรกฎาคม ๒๓๖๕
วันเกิดพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ถึงแก่อนิจกรรม ๑๖ ตุลาคม ๒๔๓๔
๗ กรกฎาคม ๒๓๖๗
เจ้าฟ้ามงกุฎ ฯ ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ที่วัดมหาธาตุ ก่อนพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สวรรคต ๗ วัน แล้วไปประทับอยู่ที่วัดสมอราย (ราชาธิวาส)
๒๑ กรกฎาคม ๒๓๖๗
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงประชวรและสวรรคต พระชนมายุได้ ๕๘ พรรษา ครองราชย์ได้ ๑๕ ปี (พระราชสมภพ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๓๑๐)