แผ่นดินพระมหินทราธิราช ครั้งที่ ๒
พระมหาธรรมราชาอาสาเจรจาความเมือง (พ.ศ. ๒๑๑๒)
ปัจามิตรร้อยหมื่นห้อม |
ปราการ |
แปดมาสมุ่งหักหาญ |
ห่อนได้ |
ในกรุงเกิดกันดาร |
เสบียงบอบ บางแฮ |
แจ้งเหตุรามัญให้ |
สื่อถ้อยกลความ |
แม้นสยามยอมออกเฝ้า |
ขุนทัพ |
จักเลิกพลคืนกลับ |
สู่ด้าว |
ไทยเกรงตะเลงจับ |
เททอด ครัวแฮ |
มอญทราบสั่งพลห้าว |
หักปล้นนครา |
พระมหาธรรมราชเจ้า |
ขันอา สาเฮย |
จักสู่เมืองเจรจา |
จุ่งแผ้ว |
ตะเลงราชอนุญาตมา |
โดยราช ยานแฮ |
สู่ค่ายตรงเกาะแก้ว |
เกริ่นแจ้งใจความ |
ชาวสยามยลพักตร์ผู้ |
เผด็จชาติ ตนเฮย |
ต่าง ๆ ต่างวางสินาด |
เกลื่อนกลุ้ม |
ธรรมราชโดดจากราช |
ยานแล่น ถลาแฮ |
อินทรเดชแบกอุ้ม |
ออกพ้นปืนประหาร |
|
(พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๕ ) |
พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ยกกองทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่ถึงแปดเดือนก็ยังหักเอามิได้ ก็เริ่มมีความวิตกกลัวเกรงจะถึงฤดูฝน จึงคิดจะตีกรุงศรีอยุธยาให้ได้เสียโดยเร็ว พระมหาธรรมราชารับอาสามีหนังสือลับไปถึงพระวิสุทธิ์กษัตรีพระชายาของพระองค์ (ซึ่งพระมหาจักรพรรดิ์พระราชบิดาขึ้นไปรับเอาลงมาจากพิษณุโลก เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๑๒) เพื่อเกลี้ยกล่อมสมเด็จพระมหินทร์ว่า ถ้าส่งตัวพระยารามผู้บัญชาการรักษาพระนครออกไปให้พระเจ้าบุเรงนอง ก็จะยอมเป็นไมตรีด้วย ครั้นพระเจ้าบุเรงนองได้ตัวพระยารามสมความประสงค์ตามอุบายของพระมหาธรรมราชาแล้ว ก็หายอมรับเป็นไมตรีกับไทยไม่ กลับเรียกร้องให้ไทยยอมแพ้เป็นเชลยอย่างราบคาบ จึงจะเลิกทัพกลับไป ฝ่ายไทยเมื่อรู้แน่ว่าพระเจ้าบุเรงนองมุ่งหมายจะกวาดต้อนคนไทยไปเป็นเชลย และทรัพย์สมบัติจะถูกริบหมดสิ้น จึงบังเกิดความปรองดองเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ตั้งหน้าต่อสู้ข้าศึกด้วยความเข้มแข็ง พม่ายกเข้าตีพระนครหลายครั้งถูกตีถอยกลับไปทุกครั้ง จนถึงแปดเดือนก็ยังเอาชนะไม่ได้ พระมหาธรรมราชาหวังจะหาความชอบ จึงคิดจะเกลี้ยกล่อมพระมหินทราธิราช และขุนนางทั้งปวงยอมแพ้โดยดี และพระมหาธรรมราชาก็ทรงพระเสลี่ยงมายืน อยู่ตรงหน้าค่ายบึงเกาะแก้วร้องบอกพระมหาเทพ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รักษาค่ายด้านนั้นว่า จะเข้าไประงับการแผ่นดิน พระมหาเทพมิไว้ใจยิงปืนกระสุนกราดออกไป พระมหาธรรมราชาต้องลงจากพระเสลี่ยง และขุนอินทรเดชะก็เข้าแบกพระองค์วิ่งกลับไปเฝ้าพระเจ้าหงสาวดี
แผ่นดินสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช
สมเด็จพระนเรศวรตามจับพระยาจีนจันตุ (พ.ศ. ๒๑๑๙)
พระยาจันจันตุข้า |
ขอบขุน |
มาสู่กรุงมุ่งบุญ |
ปกเผ้า |
ปิ่นภพกอบการุญ |
รับปลูก เลี้ยงแฮ |
ยกโทษโปรดเกศเกล้า |
ห่อนพ้องจองภัย |
กลับใจจักสู่เจ้า |
ปฐพี ตน แฮ |
สืบทราบการธานี |
ใหญ่น้อย |
หวังสบายถ่ายทอดมี |
มาแต่ หลังนา |
สู่สะเภาค่ำคล้อย |
ลอบโล้ครรไล |
พระดนัยนเรศวร์แจ้ง |
เหตุรหัส |
ทรงพระชลยานรัด |
รีบร้น |
พร้อมเรือนิกรถนัด |
ขนาบไล่ สะเภาแฮ |
ทรงพระแสงปืนต้น |
ลั่นต้องจีนตาย |
ตัวนายกัมพุชจ้อง |
วางปืน นานา |
ต้องพระแสงทรงราง |
ลั่นร้าว |
รบพลางรีบหนีพลาง |
เรือตก ลึกเฮย |
จบเกิดกางใบด้าว |
ล่องลี้หายลำ |
|
(พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๕ ) |
ในปี พ.ศ. ๒๑๑๙ พระยาละแวกให้พระยาอุเทศราช และพระยาจีนจันตุ ขุนนางจีนเมืองเขมร ยกทัพเรือมาตีเมืองเพชรบุรี ครั้นชิงเอาเมืองมิได้แล้ว พระยาจีนจันตุกลัวว่าพระยาละแวกจะลงโทษ จึงอพยพครอบครัวหนีเข้ามายังพระนครศรีอยุธยา สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชก็ทรงชุบเลี้ยงไว้ ครั้นอยู่มาเมื่อพระยาจีนจันตุได้ทราบข่าวว่าพระยาละแวกไม่เอาโทษ และตนเองสืบทราบเหตุการณ์ในพระนครแล้ว ก็กลับเอาใจออกห่าง ลอบแต่งสำเภาพาครอบครัวหนีล่องลงไป สมเด็จพระนเรศวรได้เสด็จยกกองเรือตามไปทันที่ปากน้ำ เข้ารบกันเป็นสามารถ สมเด็จพระนเรศวรทรงเรือพระที่นั่งเข้าไปชิดสำเภา และทรงปืนนกสับมาต้องรางปืนที่สมเด็จพระนเรศวรทรงอยู่นั้นแตก พอเรือสำเภาได้ลมก็แล่นออกทะเลหนีพ้นปากน้ำรอดไปได้
แผ่นดินสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช
สมเด็จพระนเรศวรปีนค่ายพม่า (พ.ศ. ๒๑๒๙)
บิ่นมอญมาตั้งค่าย |
บางปะหัน |
พระนเรศวร์นำพลขันธ์ |
ทัพม้า |
สามกองนับรวมกัน |
ร้อยยี่ สิบแฮ |
เศษอีกหกหาญกล้า |
ตามคล้องควายทวน |
สวนฟันมอญแตกเข้า |
ค่ายแฝง ตนนา |
พระเสด็จโดยกำแหง |
เหิ่มกล้า |
ปีนค่ายข้าศึกแทง |
ถูกท่าน ตกแฮ |
กลับป่ายใหม่ใช่ช้า |
เช่นนั้นหลายคราว |
หนาวจิตอมิตรร้อง |
เอออะไร นเรศวร์ฤา |
องอาจปลอมไพร่ใน |
เศิกสู้ |
พิมเสนแลกเกลือไกล |
กับนัก นาพ่อ |
ชะรอยมิตรห่อนรู้ |
เร่งให้จับเป็น |
ควรเห็นพิริยห้าว |
หนณรงค์ ท่านเฮย |
สยามหย่อนอิสริย์ลง |
ราบแล้ว |
เอกราชกลับคืนคง |
โดยเดช พระแล |
ซ้ำขาดอริแผ้ว |
นับร้อยปีปลาย |
|
(สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยา ภานุพันธุวงศ์วรเดช) |
ในปี พ.ศ. ๒๑๒๙ พระเจ้าหงสาวดี นันทบุเรง เสด็จยกทัพเข้ามาถึงกรุงศรีอยุธยา แล้วตั้งค่ายหลวงอยู่ตำบลบางปะหัน คืนวันหนึ่ง สมเด็จพระนเรศวรนำทหารทวนสามกองเข้าปล้นค่ายทัพหน้าข้าศึก ไล่แทงฟันไปถึงค่ายหลวงพระเจ้าหงสาวดี สมเด็จพระนเรศวรทรงคาบพระแสงดาบ นำทหารขึ้นปีนค่ายถูกข้าศึกเอาอาวุธแทงพลัดตกลงมาหลายครั้งก็ขึ้นไม่ได้ ครั้นทรงเห็นข้าศึกกรูกันมามากนักจึงเสด็จกลับเข้าพระนคร เมื่อพระเจ้าหงสาวดีทรงทราบจึงตรัสว่า สมเด็จพระนเรศวรทรงออกทำการรบอย่างพลทหารดังนี้ เหมือนหนึ่งเอาพิมเสนมาแลกเกลือ ทำศึกอาจหาญนัก แล้วมีรับสั่งกำชับทหารมอญพม่าว่า ถ้าสมเด็จพระนเรศวรออกรบอีกให้คิดอ่านจับเป็นให้จงได้ แต่ก็ไม่สมประสงค์ พระเจ้าหงสาวดีตั้งล้อมกรุงอยู่นานก็ตีไม่ได้ และเมื่อเห็นไพร่พลป่วยเจ็บล้มตายร่อยหรอลงทุกทีก็ท้อพระทัย จึงโปรดให้เลิกทัพกลับไป
พระแสงดาบซึ่งสมเด็จพระนเรศวรทรงวันนั้นปรากฏนามว่า พระแสงดาบคาบค่าย มาจนบัดนี้
แผ่นดินสมเด็จพระเจ้าเสือ
พันท้ายนรสิงห์ถวายชีวิต (พ.ศ. ๒๒๔๙)
สรรเพชรที่แปดเจ้า |
อยุธยา |
เสด็จประพาสชมปลา |
ปากน้ำ |
ล่องเรือเอกชัยมา |
ถึงโคก ขามพ่อ |
คลองคด โขน เรือค้ำ |
ขัดไม้หักสลาย |
พันท้ายตกประหม่าสิ้น |
สติคิด |
โดดจากเรือทูลอุทิศ |
โทษร้อง |
พันท้ายนรสิงห์ผิด |
บทฆ่า เสียเทอญ |
หัวกับโขนเรือต้อง |
คู่เส้นทำศาล |
ภูบาลบำเหน็จให้ |
โทษถนอม ใจนอ |
พันไม่ย่อมอยู่ยอม |
มอดม้วย |
พระเปลี่ยนโทษปลอม |
ฟันรูป แทนพ่อ |
พันกราบทูลทัดด้วย |
ท่านทิ้งประเพณี |
ภูมีปลอบกลับตั้ง |
ขอบรร สัยพ่อ |
จำสั่งเพชรฆาตฟัน |
ฟาดเกล้า |
โขนเรือกับหัวฟัน |
เซ่นที่ ศาลแล |
ศาลสืบกฤติคุณเค้า |
คติไว้ในสยาม |
|
(สมเด็จกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์) |
ในปี พ.ศ. ๒๒๔๙ สมเด็จพระเจ้าเสือเสด็จประทับเรือพระที่นั่งเอกชัยไปประพาสทรงเบ็ด ณ ปากน้ำเมืองสมุทรสาคร ครั้นเรือพระที่นั่งไปถึงคลองโคกขามซึ่งคดเคี้ยว พันท้ายนรสิงห์ เจ้าพนักงานถือท้ายเรือพระที่นั่งคิดแก้ไขมิทัน โขนเรือพระที่นั่งกระทบเข้ากับกิ่งไม้ใหญ่ก็หักตกลงน้ำ พันท้ายนรสิงห์เห็นดังนั้นก็ตกใจโดดจากเรือขึ้นบนฝั่ง ร้องกราบทูลให้ตัดศีรษะของตนตามกฎหมาย และขอพระกรุณาโปรดให้ทำศาลเพียงตาขึ้น ณ ที่นั้น เอาศีรษะกับโขนเรือพระที่นั่งที่หักลงบวงสรวงไว้ด้วยกัน สมเด็จพระเจ้าเสือทรงพระกรุณาอภัยโทษ พันท้ายนรสิงห์ไม่ยอมรับพระกรุณาเป็นอย่างอื่น กลับว่าให้ตัดศีรษะตนเอง จึงมีพระราชดำรัสสั่งให้ฝีพายปั้นดินเป็นรูปแทนตัวพันท้ายนรสิงห์ขึ้น และให้ตัดรูปหัวดินนั้นเสีย แล้วรับสั่งเรียกพันท้ายนรสิงห์ให้กลับลงเรือ พันท้ายนรสิงห์ก็คงยืนกรานกราบทูลให้ตัดศีรษะตน สมเด็จพระเจ้าเสือตรัสวิงวอนเป็นหลายครั้ง พันท้ายนรสิงห์มิยอมอยู่ จึงทรงทำตามกฎหมาย ดำรัสสั่งให้ประหารชีวิตพันท้ายนรสิงห์ แล้วให้ทำศาลขึ้นสูงเพียงตา และให้เอาศีรษะพันท้ายนรสิงห์กับโขนเรือพระที่นั่งที่หักขึ้นพลีกรรมไว้ด้วยกัน
แผ่นดินสมเด็จพระที่นั่งสุริยามรินทร์
พระยาวชิรปราการกับทหาร ๕ ม้า รบพม่า ๕๐ ม้า (พ.ศ. ๒๓๐๙)
ปางสมัยปวงม่านปล้น |
อยุธยา |
เห็นพินาศนัครา |
ห่อนแคล้ว |
พระยาวชิรปรา |
การกาจ หาญแฮ |
คุมพวกพื้นกลั่นแกล้ว |
คิดพร้อมใจกัน |
ฟันฝ่าข้าศึกห้อม |
แตกฉาน |
รบรับรายทางราน |
รอดได้ |
พักแรม ณ บ้านพราน |
นกนอก กรุงนา |
ปล่อยพรรคพลหาญให้ |
ลาดค้นธัญญา |
มาปะปรปักษ์ต้อน |
ตามติด |
ตนหนึ่งกับทหารสนิท |
นับห้า |
ขับแสะเสริดประชิด |
ชะล่าไล่ ทะลวงแฮ |
หมู่ม่านสามสิบม้า |
หมดห้าวเฮหนี |
กรุงศรีอยุธยายศแพ้ |
ไพรี |
มาก บ มีสามัคคี |
คิดสู้ |
เพียงห้าแต่หากมี |
ใจร่วม หาญแฮ |
อาจชนะแก้กู้ |
ก่อตั้งกรุงธน |
|
(พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๕ ) |
เมื่อพม่ายกกองทัพตีหัวเมืองรายทางเรื่อยเข้ามาจนได้ ล้อมกรุงศรีอยุธยาแล้วนั้น พระยาวชิรปราการเห็นว่าจะอยู่รักษากรุงไว้ไม่รอด จึงรวบรวมไพร่พลยกตีฝ่าพม่าไปทางทิศตะวันออก แล้วไปตั้งพักแรมอยู่ที่บ้านพรานนก ให้พวกทหารออกหาเสบียงอาหาร พบกองทัพพม่าจำนวนพลขี่ม้าราวสามสิบม้า พลเดินเท้าประมาณสองพันยกตามมา พระยาวชิรปราการจึงให้ทหารเดินเท้าขยายแถวปีกกา เข้าตีโอบพวกพม่าทั้งสองข้าง ส่วนพระยาวชิรปราการ และทหารอีกสี่คนก็ขึ้นม้าตรงเข้าไล่ฟันพม่าที่ขี่ม้ามาข้างหน้า พม่าไม่ทันรู้ตัวก็ถอยหนีกลับไปปะทะพวกเดินเท้าพากันแตกพ่ายไป
(พระยาวชิรปราการนี้ คือสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เมื่อพม่ามาล้อมกรุงศรีอยุธยายังเป็นพระยาตาก และได้ถูกเกณฑ์ลงมาช่วยรักษาพระนคร ทำการรบพุ่งเข้มแข็งมีความชอบได้เลื่อนขึ้นเป็นเจ้าเมืองกำแพงเพชร ซึ่งโดยตำแหน่งมีฐานันดรเป็นพระยาวชิรปราการ)
(บ้านพรานนก เป็นหมู่บ้านในจังหวัดปราจีนบุรี อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของบ้านโพสาวหาร ประมาณสี่กิโลเมตร บัดนี้เรียกว่าบ้านพานนกบ้าง สะพานนกบ้าง)
แผ่นดินพระเจ้ากรุงธนบุรี
เสด็จตีเมืองพุทไธมาศ (พ.ศ. ๒๓๑๔)
พระมหานายกเจ้า |
กรุงธน บุเรศเฮย |
เทียบทัพบกเรือพล |
ไพร่พร้อม |
กำหนดเที่ยงคืนดล |
ราชฤกษ์ ณรงค์แฮ |
รุดเร่งนิกรล้อม |
ตรัสให้อุบายรอน |
กรมอาจารย์ป่ายปล้น |
ปีนกำ แพงเฮย |
พลไพร่จีนอนัม |
ต่อต้าน |
ซัดสาดสินาดชำ |
นาญถนัด นักนา |
หนุนบ่ได้นายด้าน |
ต่างตั้งตอบยิง |
บันดาลพระเดชให้ |
ไทยคิด |
ว่าทัพหลวงหนุนประชิด |
ช่วยแล้ว |
ต่างฮึกต่างเหิมจิต |
โจมจู่ ผจญนา |
หนุนเนื่องกันกลั่นแกล้ว |
เกริกก้องกลางรณ |
พลพุทไธมาศสู้ |
เศิกสยาม |
ไทยบ่เบื่อสงคราม |
รุกเร้า |
บันไดพะองตาม |
กันพาด เวียงแฮ |
พอรุ่งเร่งปีนเข้า |
บุรได้ญวนหนี |
|
(พระยาราชสัมภารากร เลื่อน) |
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จยกทัพจากกรุงธนบุรี ไปยังเมืองพุทไธมาศ (เมืองบันทายมาศ) เพื่อเกลี่ยกล่อมพระยาราชาเศรษฐี พระยาราชาเศรษฐีไม่ยอมสวามิภักดิ์ กลับแต่งเมืองป้องกันอย่างแข็งแรง สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงดำรัสสั่งให้ยกเข้าตั้งค่ายล้อมเมือง และดำรัสสั่งกรมอาจารย์ให้จัดสรรคนที่มีวิชาดีแกล้วกล้า เข้าปล้นเอาเมืองในเวลากลางคืน แล้วพระราชทานฤกษ์และอุบายให้ ครั้นถึงเวลา พวกกรมอาจารย์นำไพร่พลขึ้นปีนกำแพงจะปล้นเมือง พระยาราชาเศรษฐีเกณฑ์ทหารรักษาเมืองไว้เป็นสามารถ พวกจีนญวนชาวเมือง ยิงปืนสู้รบอยู่อย่างเข้มแข็ง ไพร่พลกองทัพสมเด็จพระเจ้าตากสินก็อิดโรย บรรดานายทัพนายกอง และไพร่พลทั้งปวงที่ตั้งค่ายล้อมอยู่นั้นจะบุกรุกเข้าไปช่วยก็ไม่ได้ แต่หากด้วยเดชะพระบารมี ไพร่พลทั้งปวงสำคัญว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินเสด็จยกพลหนุนเข้าไป ก็มีน้ำใจองอาจกล้าหาญมากขึ้น ตีหนุนเนื่องเข้าไปทั้งทัพบกทัพเรือ พวกญวนจีนซึ่งรักษาหน้าที่ต้านทานมิได้ก็แตกพ่ายหนีไป พอรุ่งเช้าก็เข้าเมืองได้พร้อมกัน แต่พระยาราชาเศรษฐี หนีไปเมืองพนมเปญได้
แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ยิงปืนลูกไม้พังค่ายพม่า (พ.ศ. ๒๓๒๘)
พระมหาอุปราชอ้าง |
ออกนาม |
สุรสีห์คนขาม |
ทั่วหน้า |
ยกพยุหสงคราม |
ไปต่อ ยุทธ์นา |
เพื่อพม่ายกพลกล้า |
ล่วงเข้ากาญจนบุรี |
โยธีสองฝ่ายเฝ้า |
ราญรอน |
พม่าสาดอัคนีศร |
ไปยั้ง |
กรมพระราชวังบวร |
ให้ลาก
|
Update : 14/5/2554
|