|
|
การเรียนหนังสือไทยสมัยก่อน 1
การเรียนหนังสือไทยสมัยก่อน
ระบบการศึกษาของไทย ได้มีการปฏิรูปครั้งใหญ่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เริ่มต้นด้วยการจัดตั้งโรงเรียนหลวงขึ้น และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) เมื่อครั้งเป็นหลวงสารประเสริฐ เรียบเรียงหนังสือแบบเรียนภาษาไทยขึ้นมาชุดหนึ่ง คือหนังสือมูลบทบรรพกิจ วาหนิต์นิกร อักษรประโยค สังโยคพิธาน ไวพจน์พิจารณ์ และพิศาลการันต์ เป็นแบบเรียนภาษาไทยว่าด้วยวิธีใช้ตัวอักษร พยัญชนะเสียงสูงต่ำ การผันการประสมอักษร และตัวสะกดการันต์ เฉพาะมูลบทบรรพกิจ น่าจะมีเค้ามูลมาจากหนังสือจินดามณีอันว่าด้วยระเบียบภาษา ซึ่งพระโหราธิบดีแต่งไว้ในสมัยกรุงศรีอยุธยา พร้อมทั้งได้แทรกเรื่องกาพย์พระไชยสุริยา ซึ่งสุนทรภู่ได้แต่งไว้ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เข้าไว้เป็นตอน ๆ ไป กาพย์พระไชยสุริยาเป็นบทประพันธ์ที่ไพเราะและเป็นคติ
ในระยะต่อมากระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเปลี่ยนชื่อมาจากกระทรวงธรรมการ ได้ประกาศใช้แบบหัดอ่านเบื้องต้น แบบเรียนเร็ว แต่ทุกเล่มก็ใช้หลักการเรียนการสอนจากหนังสือชุดนี้เป็นแม่บท
หลังจากที่ได้มีการนำระบบการเรียนแบบสหรัฐมาใช้ หลังปี พ.ศ. 2500 แล้วการหัดอ่านเขียนเบื้องต้นของเยาวชน ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ทำให้ผู้ที่เคยเรียนหนังสือไทยเบื้องต้นมาแล้ว และไม่ได้มีการนำมาใช้อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน จะไม่สามารถอ่านและเขียนภาษาไทยได้ ผิดกับการเรียนหนังสือไทยแบบเดิมซึ่งเมื่อเรียนหนังสือไทยเบื้องต้นแตกแล้ว จะสามารถอ่านเขียนหนังสือไทยได้ชั่วชีวิต
นอกจากนั้นการเรียนหนังสือไทยยังได้มีการนำคติสอนใจตามวิถีชีวิตไทย ในพื้นฐานแห่งพระพุทธศาสนามาสอดแทรกไว้ในทุกขั้นตอนของการเรียนการสอน ในรูปแบบต่าง ๆ ทำให้เด็กไทยเข้าใจวิถีชีวิตไทย และรักความเป็นไทย และมีความภูมิใจในมรดกของไทยอย่างลึกซึ้ง หนักแน่นไม่แคลนคลอนมาตั้งแต่ต้น
มูลบทบรรพกิจ
เป็นแบบเรียนหนังสือไทยในขั้นรากฐานเบื้องต้น ซึ่งเมื่อเรียนจบแล้วจะอ่านเขียนหนังสือไทยขั้นต้นได้อย่างดี และนำไปสู่การเรียนรู้ในขั้นต่อไปได้ง่าย ดังนั้นมูลบทบรรพกิจจึงเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญสูงสุด
หนังสือมูลบทบรรพกิจเริ่มด้วยการแสดงรูปสระ ตัวอักษร วรรณยุกต์ และเครื่องหมายพิเศษต่าง ๆ อักษรแบ่งออกเป็น 3 หมู่ คือ อักษรสูง อักษรกลาง และอักษรต่ำ จากนั้นนำอักษรไปประสมเสียงตามสระเป็น แม่ ก กา แล้วผันด้วยวรรณยุกต์ แจกด้วย แม่ กน แล้วผันด้วยวรรณยุกต์ แจกในแม่ กง แล้วผันด้วยวรรณยุกต์ แจกด้วยแม่ กก แม่ กด แม่ กบ ทั้ง 3 แม่นี้ เป็นคำตาย ผันด้วย วรรณยุกต์ เอก โท ไม่ได้ การมี ห นำ อักษรต่ำใน แม่ กก กด กบ แจกในแม่ กม แล้วผันด้วยวรรณยุกต์ แจกด้วยแม่ เกย แล้วผันด้วยวรรณยุกต์
คำกลอนอ่านเทียบในแม่ ก กา (ใช้ตัวเขียนแบบเก่าเป็นบางคำ)
ยานี๑๑ ค สะ ธุ สะ จะขอไหว้ พระศรีไตรสรณา พ่อแม่แลครูบา เทวะดาในราศี ค ข้าเจ้าเอา ก ข เข้ามาต่อ ก กา มี แก้ไขในเท่านี้ ดีมิดีอย่าตรีชา ค จะร่ำคำต่อไป พอล่อใจ กุมารา ธรณีมีราชา เจ้าภาราสาวะถี ค ชื่อพระไชยสุริยา มีสุดามเหสี ชื่อว่าสุมาลี อยู่บุรีไม่มีภัย ค ข้าเฝ้า เหล่าเสนา มีกริยาอัชฌาสัย พ่อค้ามาแต่ไกล ได้อาศัยในภารา ค ไพร่ฟ้าประชาชี เชาบุรีก็ปรีดา ทำไร่เขาไถนา ได้ข้าวปลาแลสาลี ค อยู่มาหมู่ข้าเฝ้า ก็หาเยาวนารี ที่หน้าตาดีดี ทำมโหรีที่เคหา ค ค่ำเช้าเฝ้าสีซอ เข้าแต่หอล่อกามา หาได้ให้ภริยา โลโภพาให้บ้าใจ ค ไม่จำคำพระเจ้า เหไปเข้าภาษาไสย ถือดีมีข้าไท ฉ้อแต่ไพร่ใส่ขื่อคา ค คดีที่มีคู่ คือไก่หมูเจ้าสุภา ใครเอาข้าวปลามา ให้สุภาก็ว่าดี ค ที่แพ้แก้ชนะ ไม่ถือพระประเวณี ขี้ฉ้อก็ได้ดี ไล่ด่าตีมีอาญา ค ที่ซื่อถือพระเจ้า ว่าโง่เง่าเต่าปูปลา ผู้เฒ่าเหล่าเมธา ว่าใบ้บ้าสาระยำ ค ภิกษุสมณ เล่าก็ละพระสะธำม์ คาถาว่าลำนำ ไปเร่ร่ำทำเฉโก ค ไม่จำคำผู้ใหญ่ ศีรษะไม้ใจโยโส ที่ดีมีอักโข ข้าขอโมทะนาไป ค พาราสาวะถี ใครไม่มีปรานีใคร ดุดื้อถือแต่ใจ ที่ใครได้ใส่เอาพอ ค ผู้ที่มีฝีมือ ทำดุดื้อไม่ซื้อขอ ไล่คว้าผ้าที่คอ อะไรล่อก็เอาไป ค ข้าเฝ้าเหล่าเสนา มิได้ว่าหมู่ข้าไทย์ ถือน้ำร่ำเข้าไป แต่น้ำใจไม่นำพา ค หาได้ใครหาเอา ไพร่ฟ้าเศร้าเปล่าอุรา ผู้ที่มีอาญา ไล่ตีด่าไม่ปรานี ค ผีป่ามากระทำ มรณกรรมชาวบุรี น้ำป่าเข้าธานี ก็ไม่มีที่อาศัย ค ข้าเฝ้าเหล่าเสนา หนีไปหาภาราไกล ชีบาล่าลี้ไป ไม่มีใครในธานี
-------------------------
คำกลอนอ่านเทียบในแม่ กน
สุรางคนาง ๒๘ ค ขึ้นใหม่ใน กน ก กา ว่าปน ระคนกันไป เอ็นดูภูธร มานอนในไพร มณฑลต้นไทร แทนไพชยนต์สถาน ค ส่วนสุมาลี วันทาสามี เทวีอยู่งาน เฝ้าอยู่ดูแล เหมือนแต่ก่อนกาล ให้พระภูบาล สำราญวิญญา ค พระช่วยนวลนอน เข็ญใจไม้ขอน เหมือนหมอนแม่นา ภูธรสอนมนต์ ให้บ่นภาวนา เย็นค่ำร่ำว่า กันป่าภัยพาล ค วันนั้นจันทร มีดารากร เป็นบริวาร เห็นสิ้นดินฟ้า ในป่าท่าธาร มาลีคลี่บาน ใบก้านอรชร ค เย็นฉ่ำน้ำฟ้า ชื่นชะผกา วายุพาขจร สารพันจันอิน รื่นกลิ่นเกสร แตนต่อคล้อร่อน ว้าวอนเวียนระวัน ค จันทราคลาเคลื่อน กระเวนไพรไก่เถื่อน เตือนเพื่อนขานขัน ปู่เจ้าเขาเขิน กู่เกริ่นหากัน สินธุพุลั่น ครื้นครั่นหวั่นไหว ค พระฟื้นตื่นนอน ไกลพระนคร สะท้อนถอนฤทัย เช้าตรู่สุริยน ขึ้นพ้นเมรุไกร มีกรรมจำไป ในป่าอารัญ
คำกลอนอ่านเทียบในแม่ กง
ฉบัง ๑๖ ค ขึ้นกงจงสำคัญ ทั้งกนปนกัน รำพันมิ่งไม้ในดง ค ไกรกร่างยางยูงระหง ตลิงปลิงปริงประยง คันทรงส่งกลื่นฝิ่นฝาง ค มะม่วงพลวงพลองช้องนาง หล่นเกลื่อนเถื่อนทาง กินพลางเดินพลางหว่างเนิน ค เห็นกวางย่างเยื้องชำเลืองเดิน เหมือนอย่างนางเชิญ พระแสงสำอางข้างเคียง ค เขาสูงฝูงหงส์ลงเรียง เริงร้องซ้องเสียง สำเนียงน่าฟังวังเวง ค กลางไพรไก่ขันบันเลง ฟังเสียงเพียงเพลง ซเจ้งจำเวียงวัง ค ยูงทองร้องกระโต้งโห่งดัง เพียงฆ้องกลองระฆัง แตรสังข์กังสะดาลขานเสียง ค กะลิงกะลางนางนวลนอนเรียง พญาลอคล้อเคียง แอ่นเอี้ยงอีโก้งโทงเทง ค ค้อนทองเสียงร้องปองเปง เพลินฟังวังเวง อีเก้งเริงร้องลองเชิง ค ฝูงละมั่งฝังดินกินเพลิง คางแข็งแรงเริง ยืนเบิ่งบึ้งหน้าตาโพลง ค ป่าสูงยูงยางช้างโขลง อึงคะนึงผึงโผง โยงกันเล่นน้ำคล่ำไป
คำกลอนสำหรับอ่านเทียบแม่ กก
ยานี ๑๑ ค ขึ้นกก ตกทุกข์ยาก แสนลำบากจากเวียงชัย มันเผือกเลือกเผาไฟ กินผลไม้ได้เป็นแรง ค รอน ๆ อ่อนอัสดง พระสุริยงเย็นยอแสง ช่วงดังน้ำครั่งแดง แฝงเมฆเขาเงา เมรุธร ค ลิงค่างครางโครกครอก ฝูงจิ้งจอกออกเห่าหอน ชะนีวิเวกวอน นกหกร่อนนอนวังเวียง ค ลูกนกยกปีกป้อง อ้าปากร้องซ้องแซ่เสียง แม่นกปกปีกเคียง เลี้ยงลูกอ่อนป้อนอาหาร ค ภูธรนอนเนินเขา เคียงคลึงเคล้าเยาวมาลย์ ตกยากจากศฤงคาร สงสารน้องหมองพักตรา ค ยากเย็นเห็นหน้าเจ้า สร้างโศกเศร้าเจ้าพี่อา อยู่วังดังจันทรา มาหม่นหมองลอองนวล ค เพื่อนทุกข์สุขโศกเศร้า จะรักเจ้าเฝ้าสงวน มิ่งขวัญอย่ารัญจวน นวลพักตร์น้องจะหมองศรี ค ชวนชื่นกลืนกล้ำกลิ่น มิรู้สิ้นกลิ่นมาลี คลึงเคล้าเย้ายวนยี ที่ทุกข์ร้อนหย่อนเย็นทรวง
คำกลอนสำหรับอ่านเทียบในแม่ กด
ยานี ๑๑ ค ขึ้นกด บทอัศจรรย์ เสียงครื่นครั่นชั้นเขาหลวง นกหกตกรังรวง สัตว์ทั้งปวงง่วงงุนโงง ค แดนดินถิ่นมนุษย์ เสียงดังดุจเพลิงโพลง ตึกกว้านบ้านเรือนโรง โคลงคลอนเคลื่อนขะเยื่อนโยน ค บ้านช่องคลองเล็กใหญ่ บ้างตื่นไฟตกใจโจน ปลุกเพื่อนเตือนตะโกน ลุกโลดโผนโดนกันเอง ค พิณพาทย์ระนาดฆ้อง ตะโพนกลองร้องเป็นเพลง ระฆังดังวังเวง โหง่งหง่างเหง่งเก่งก่างดัง ค ขุนนางต่างลุกวิ่ง ท่านผู้หญิงวิ่งยุดหลัง พัลวันดันตึงตัง พลั้งพลัดตกหกคะเมน ค พระสงฆ์ ลงจากกุฎ วิ่งอุตลุตฉุดมือเณร หลวงชีหนีหลวงเถร ลงโคลนเลนเผ่นผาดโผน ค พวกวัดพลัดเข้าบ้าน ล้านต่อล้านซ่านเซโดน ต้นไม้ไกวเอนโอน ลิงค่างโจนโผนหกหัน ค พวกผีที่ปั้นลูก ติดจมูกลูกตาพลัน ขิกขิกระริกกัน ปั้นไม่ทันมันเดือดใจ ค สององค์ทรงสังวาส โลกธาตุ หวาดหวั่นไหว ตื่นนอนอ่อนอกใจ เดินไม่ได้ให้อาดูร
คำกลอนสำหรับอ่านเทียบในแม่ กบ
ยานี ๑๑ ค ขึ้นกบจบ แม่ กด พระดาบสบูชากูณฑ์ ผาสุกรุกขมูล พูนสวัสดิ์สัถาวร ค ระงับดับเนตรนิ่ง เอนองค์อิงพิงสิงขร เหมือนกับหลับสนิทนอน สังวรศีลอภิญญาณ ค บำเพ็ญเล็งเห็นจบ พื้นพิภพจบจักรวาล สวรรค์ชั้นวิมาน ท่านเห็นแจ้งแหล่งโลกา ค เข้าฌานนานนับเดือน ไม่ขะเยื่อนเคลื่อนกายา จำศีลกินวาตา เป็นผาสุกทุกเดือนปี ค วันนั้นครั้นดินไหว เกิดเหตุใหญ่ในปฐพี เล็งดูรู้คดี กาลกิณีสี่ประการ ค ประกอบชอบเป็นผิด กลับจริตผิดโบราณ สามัญอันธพาล ผลาญคนซื่อถือสัตย์ธรรม์ ค ลูกศิษย์คิดล้างครู ลูกไม่รู้คุณพ่อมัน ส่อเสียดเบียดเบียนกัน ลอบฆ่าฟันคือปัญหา ค โลภลาภบาป บ่ คิด โจทย์จับผิดริษยา อุระพะสุธา ป่วนเป็นบ้าฟ้าบดบัง ค บรรดาสามัญสัตว์ เกิดวิบัติบัติปาปัง ไตรยุคทุกขตะรัง สังวัจฉะระ อวสาน
คำกลอนสำหรับอ่านเทียบในแม่ กม
ฉบัง ๑๖ ค ขึ้นกมสมเด็จจอมอารย์ เอ็นดูภูบาล ผู้ผ่านพาราสาวัดถี ค ซื่อตรง หลงเล่ห์เสนี กลอกกลับอัปรีย์ บุรีจึงล่มจมไป ค ประโยชน์จะโปรดภูวไนย์ นิ่งนั่งตั้งใจ เลื่อมใสสำเร็จเมตตา ค เปล่งเสียงเพียงพิณอินทรา บอกข้อมรณา คงมาวันหนึ่งถึงตน ค เบียนเบียด เสียดส่อฉ้อฉล บาปกรรมนำตน ไปทนทุกข์นับกัปกัลป์ ค เมตตากรุณาสามัญ จะได้ไปสวรรค์ เป็นสุขทุกวันหรรษา ค สมบัติสัตว์มนุษย์ครุทธา กลอกกลับอัปรา เทวาสมบัติชัชวาลย์ ค สุขเกษมเปรมปรีวิมาน อิ่มหนำสำราญ ศฤงฆารห้อมล้อมพร้อมเพรียง ค กระจับปี่สีซอทอเสียง ขับลำจำเรียง สำเนียงนางฟ้าน่าฟัง ค เดชพระกุศลหนหลัง สิ่งใดใจหวัง ได้ดังมุ่งมาทปรารถนา ค จริงนะประสกสีกา สวดมนต์ภาวนา เบื้องหน้าจะได้ไปสวรรค์ ค จบเทศน์เสร็จคำรำพรรณ์ พระองค์ทรงธรรม์ ด้นดั้นเมฆาคลาไคล
คำกลอนสำหรับอ่านเทียบในแม่ เกย
ฉบัง ๑๖ ค ขึ้นเกยเลยกล่าวท้าวไทย์ ฟังธรรมน้ำใจ เลื่อมใสศรัทธากล้าหาญ ค เห็นไภยในขันธสันดาน ตัดห่วงบ่วงมาร สำราญสำเร็จ เมตตา ค สององค์ทรงหนังพยัคฆา จัดจีบกลีบชะฎา รักษาศีลถือฤาษ ค เช้าค่ำทำกิจพิธี กองกูณฑ์อัคคี เป็นที่บูชาถาวร ค ปะถะพีเป็นที่บรรฐร เอนองค์ลงนอน เหนือขอนเขนยเกยเศียร ค ค่ำเช้าเอากราดกวาดเตียน เหนื่อยยากพากเพียร เรียนธรรมบำเพ็ญเคร่งครัน ค สำเร็จเสร็จได้ไปสวรรค์ เสวยสุขทุกวัน นานนับกัปกับป์พุทธันดร ค ภุมราการุญสุนทร ไว้หวังสั่งสอน เด็กอ่อนอันเยาว์เล่าเรียน ค ก ข ก กา ว่าเวียน หนูน้อยค่อยเพียร อ่านเขียนผสม กม เกย ค ระวังตัวกลัวครูหนูเอ๋ย ไม้เรียวเจียวเหวย กูเคยเข็ดหลาบขวาบเขวียว ค หันหวดปวดแสบแปลบเสียว หยิกซ้ำช้ำเขียว อย่าเที่ยวเล่นหลงจงจำ ค บอกไว้ให้ทราบบาปกรรม เรียงเรียบเทียบทำ แนะนำให้เจ้าเอาบุญ ค เดชะพระมหาการุญ ใครเห็นเป็นคุณ แบ่งบุญให้เราเจ้าเอย
วิธีนับศัพท์สังขยา
ค เด็กเอ๋ยเจ้าจงศึกษา ตำหรับนับรา จะรู้กระทู้ที่นับ
ค ห้าสองหนเป็นสิบสับ สิบสองหนนับ ว่ายี่สิบอย่าสงสัยไสย (๕, ๑๐, ๒๐)
ค สิบสามหนเป็นต้นไป ท่านเรียกชื่อใช้ สามสิบสี่ตามกัน (๓๐, ๔๐)
ค สิบสิบหนเป็นร้อยพลัน สิบร้อยเป็นพัน สิบพันเป็นหมื่นหนึ่งนา (๑๐๐, ๑,๐๐๐, ๑๐,๐๐๐)
ค สิบหมื่นเป็นแสนหนึ่งหนา สิบแสนท่านว่า เป็นล้านหนึ่งพึงจำไว้ (๑๐๐,๐๐๐, ๑,๐๐๐,๐๐๐)
ค สิบล้านนั้นเป็นโกฏิไซร้ ร้อยแสนโกฏิไป เป็นปะโกฏิ หนึ่งตามมี (๑๐๗,๑๐๑๔)
ค ร้อยแสนปะฏิโกฏินี้ เป็นโกฏิปะโกฏิ พึงกำหนดอย่าคลาดคลา (๑๐๒๑)
ค ร้อยแสนโกฏิปะฏิปะโกหนา ท่านเรียกชื่อมา ว่าเป็นนะหุตหนึ่งไป (๑๐๒๘)
ค ร้อยแสนนะหุตนั้นไซร้ ท่านเรียกชื่อไว้ ว่าเป็นนินนะหุตนา (๑๐๓๕)
ค ร้อยแสนนินนะหุตหนา ได้นามตามมา ว่าอะโขภินีหนึ่งมี (๑๐๔๒)
ค ร้อยแสนอะโขภินี ได้นามตามมี ว่าพินธุอันหนึ่งหนา (๑๐๔๙)
ค ร้อยแสนพินธุหนึ่งนา ท่านเรียกกันมา ว่าอัพพุทพึงจำไว้ (๑๐๕๖)
ค ร้อยแสนอัพพุทไซร้ ได้นามตามใช้ ว่านิรัพพุทหนึ่งนา (๑๐๖๓)
ค ร้อยแสนนิรัพพุทหนา ท่านเรียกชื่อมา ว่าอหะหะตามมี (๑๐๗๐)
ค ร้อยแสนอหะหะนี้ มีนามตามที่ ว่าอพะพะหนึ่งนา (๑๐๗๗)
ค ร้อยแสนอพะพะนั้นหนา ท่านเรียกกันมา ว่าอฏะฏะตามมี (๑๐๘๔)
ค ร้อยแสนอฏะฏะนี้ มีนามตามที่ ว่าโสคันทิกะหนึ่งนา (๑๐๙๑)
ค ร้อยแสนโสคันทิกะ ท่านเรียกชื่อว่า เป็นกมุทอันหนึ่งไป (๑๐๙๘)
ค ร้อยแสนกมุทไซร้ มีนามตามใช้ ว่าบุญฑริกหนึ่งนา (๑๐๑๐๕)
ค ร้อยแสนบุณฑริกแท้ ท่านเรียกกันแล ว่าเป็นปทุมหนึ่งไป (๑๐๑๑๒)
ค ร้อยแสนปทุมไซร้ ท่านตั้งชื่อไว้ ว่ากะถานะอันหนึ่งนา (๑๐๑๑๙)
ค ร้อยแสนกถานะนั้นหนา ท่านเรียกกันมา ว่ามหากถานะหนึ่งไป (๑๐๑๒๖)
ค ร้อยแสนกถานะไซร้ เป็นอสงไขย คือเหลือจะนับพรรณา
ค อนึ่งลำดับที่นับกันมาผิดจากเทศนา ของพระชิโนวาที
ค ลำดับที่นับนี้ นิรัพพุทมี แล้วอพะพะ อฏะฏะมา
ค อหะหะกมุทา โสคันทิกา แล้วอุปปละบุณฑริกนี้
ค ปทุมะ กถานะตามที่ จงรู้วิธี แล้วสังเกตกำหนดแล
ค แต่ร้อยถึงโกฏินี้แท้ เอาสิบคูณแน่ เร่งรู้หนาอย่าหลงไหล
ค แต่โกฏิถึงอสงไขย เอาร้อยแสนไซร้ เร่งคูณเข้าอย่าลืมแล
มาตราวัดความยาว
ค อนึ่งโสดนับมีสามแท้ นับด้วยวัดแล ด้วยตวงด้วยชั่งเป็นสาม
ค โยชน์หนึ่งสี่ร้อยเส้นตาม เส้นหนึ่งโดยความ ยี่สิบวาอย่าสงไสย
ค วาหนึ่งสี่สอกบอกไว้ สอกหนึ่งท่านใช้ สองคีบไซร้ตามมีมา
ค คืบหนึ่งสิบสองนิ้วหนา นิ้วหนึ่งท่านว่า สี่กระเบียดจงจำเอา
ค กระเบียดหนึ่งสองเมล็ดเข้า เมล็ดเข้าหนึ่งเล่า แปดตัวเหาจงรู้รา
ค ตัวเหาหนึ่งนั้นท่านว่า แปดไข่เหาหนา ไข่เขาหนึ่งแปดเส้นผม
ค เส้นผมหนึ่งนั้นนิยม แปดธุลีลม ธุลีหนึ่งแปดอณูนา
ค อณูหนึ่งนั้นพึงรู้หนา ท่านใช้กันมา ว่าแปดปรมาณูแล
มาตราวัดพื้นที่
ค หนึ่งนานับโดยกว้างแท้ ยี่สิบวาแล ยาวยี่สิบวาเป็นไร่
ค ถ้าโดยกว้างห้าวาไป ยาวเส้นหนึ่งไซร้ เป็นงานหนึ่งพึงจดจำ
ค สี่งานท่านประสมทำ เป็นไร่หนึ่งกำ หมดไว้ให้ดีดังว่ามา
มาตราวัดปริมาตร
ค ไม้หน้ากว้างสอกหนึ่งหนา ยาวสิบหกวา เป็นยกหนึ่งพึงจำไว้
ค นับด้วยวัดอย่างนี้ไซร้ นับด้วยตวงไป จงนับใช้ดังนี้นา
ค เข้าเกวียนหนึ่งนั้นท่านว่า ห้าตะล่อมหนา ตะล่อมหนึ่งยี่สิบสัด
ค สัดหนึ่งยี่สิบทะนานชัด ทะนานหนึ่งสังกัด สองจังออนจงจำไว้
ค จังออนหนึ่งสี่กำมือได้ กำมือหนึ่งไซร้ สี่ใจมือตามมีมา
ค ใจมือหนึ่งนั้นท่านว่า ร้อยเมล็ดเข้าหนา นับด้วยตวงเพียงนี้แล
มาตราวัดน้ำหนัก
ค ทองภาราหนึ่งแท้ ยี่สิบดุนแน่ ดุนหนึ่งยี่สิบชั่งนา
ค ชั่งหนึ่งยี่สิบตำลึงหนา ตำลึงหนึ่งรา สี่บาทถ้วนจงจำไว้
ค บาทหนึ่งสี่สลึงไทย สลึงหนึ่งท่านใช้ สองเฟื้องจงจำไว้นา
ค เฟื้องหนึ่งนั้นสี่ไพหนา ไพหนึ่งท่านว่า สองกล่ำจงกำหนดไว้
ค กล่ำหนึ่งสองกล่อมตามใช้ กล่อมหนึ่งลงไป สองเมล็ดเข้าตามมีมา
ค อันนี้นับด้วยชั่งหนา จงเร่งศึกษา เป็นสามประการวิธี
มาตรานับวันเวลา
ค หนึ่งโสดปีตามชื่อมี อยู่สิบสองปี นับชวดเป็นต้นไปนา
ค ปีชวดเป็นชื่อหนูนา ปีฉลูโคนา ปีขานเป็นเสือสัตว์ไพร
ค ปีเถาะเป็นกระต่ายไซร้ มโรงงูใหญ่ มเส็งงูเล็กแลนา
ค มะเมียเป็นชื่อมิ่งม้า มแมแพะหนา วอกว่าลิงระกาไก่
ค จอสุนักข์ กุญหมูไซร้ สิบสองปีได้ โดยนิยมดังกล่าวมา
ค ปีหนึ่งสิบสองเดือนหนา สิบสามบ้างรา นับเดือนห้าเป็นต้นไป
ค แล้วเดือนหกเดือนเจ็ดไซร้ เดือนแปดเก้าไป เดือนสิบเดือนสิบเอ็ดมา
ค เดือนสิบสองเดือนอ้ายหนา เดือนญี่สามมา เดือนสี่เป็นสิบสองไป
ค ปีใดอธิกมาศใส่ เดือนเข้าอีกไซร้ ปีนั้น สิบสามเดือนนา
ค เดือนหนึ่งนั้นสองปักษ์หนา คือข้างขึ้นมา ข้างแรมเป็น สองปักษ์ไป
ค ข้างขึ้นสิบห้าวันได้ ข้างแรมท่านใช้ สิบห้า สิบสี่วันบ้าง
ค เดือนใดเป็นเดือนขาดค้าง ข้างแรมท่านวาง สิบสี่วันตามวิไสย
ค เพราะดังนี้เดือนถ้วนได้ วันสามสิบไป เดือนขาดยี่สิบเก้าวัน
ค เดือนหกถ้วน เดือนห้านั้น เป็นเดือนขาดพลัน ทั้งสิบสองเดือนเปลี่ยนไป
ค จึงมีเดือนถ้วนหกเดือนได้ เดือนขาดเล่าไซร้ ก็ได้หกเดือนเหมือนกัน
ค ถ้ามีอธิกมาศนั้น เดือนแปดสองปัน เดือนถ้วนจึ่งเป็นเจ็ดนา
ค วันมีชื่อเจ็ดวันหนา วันอาทิตย์มา วันจันทร์วันอังคารนี้
ค วันพุฒวันพฤหัสบดี วันศุกร์ศักดิ์ศรี วันเสาร์ครบ เสร็จเจ็ดวัน
ค กลางวันกลางคืนควบกัน ท่านนับเป็นวัน หนึ่งควรจะใส่ใจจำ
ค วันหนึ่งนั้นแปดยามย่ำ กลางวันท่านกำ หนดไว้ว่าสี่ยามมี
ค กลางคืนก็นับยามสี่ วันกับราตรี จึงเป็นแปดยามตามใช้
ค ยามหนึ่งสามนาลิกาไซร้ นาลิกา ท่านใช้ กลางวันเรียกว่าโมงนา
ค กลางคืนเรียกว่าทุ่มหนา นาลิกาหนึ่งรา ได้สิบบาด ท่านบอกไว้
ค บาดหนึ่งสี่นาทีไทย นาทีหนึ่งได้ สิบห้าเพ็ชชะนาที
ค เพ็ชชะนาทีหนึ่งนี้ หกปราณด้วยดี ปราณหนึ่งสิบอักษรไซร้
ค ปีหนึ่งมีนับวันได้ สามร้อยวันไป กับห้าสิบสี่วันวาร
ค ปีใดท่านเพิ่มวันกาล เป็นอธิกวาร เพิ่มเข้าอีกวันหนึ่งนา
ค ปีนั้นวันสามร้อย หนา กับห้าสิบห้า วันตามที่โลกยินยล
ค ถ้าปีอธิกมาศปน เดือนแปดสองหน ปีนั้นมีวันมากรา
ค นับวันได้ สามร้อยหนา กับแปดสิบห้า วันยิ่งตามโหรนิยมไว้
ฤดูกาลทั้งสาม
ค อนึ่งฤดูมีสามไซร้ คือเหมันต์ไป คิมหันต์ วัสสานะนา
ค เดือนสิบสองแต่แรมมา เดือนสี่เพ็ญหนา สี่เดือนนี้ชื่อเหมันต์
ค แต่แรมเดือนสี่จนวัน เพ็ญเดือนแปดนั้น สี่เดือนนี้คิมหันต์นา
ค &
|
Update : 14/5/2554
|
|