ภายในมหาปราสาทแห่งความรักของพระสิทธัตถะนั้น เต็มไปด้วยความสงบสุขและรื่นรมย์ พระพุทธองค์ของเราไม่เคยรู้จักความทุกข์ เรื่องเดือดร้อนอันใดก็ไม่เคยได้ยิน เพราะพระบิดาตรัสสั่งไว้อย่างเข้มงวดหนักหนาว่า อย่าให้ผู้ใดเอ่ยถึงสิ่งที่เกิดขึ้นนอกกำแพงปราสาทนี้เลยเป็นอันขาด แม้กระนั้น ก็มีหลายครั้งที่พระบรมโอรสบรรทมหลับแล้วทรงสุบินว่า ได้เสด็จออกไปนอกปราสาท ทอดพระเนตรเห็นโลกอันกว้างใหญ่ บ่อยครั้งที่พระองค์ทรงสะดุ้งผวาตื่น ออกโอษฐ์อุทานว่า
“โลกของฉัน โลก-ฉันได้เห็น ได้ยินและได้รู้ทั้งหมด ฉันมาในโลกนี้แล้ว”
และเมื่อนั้นพระนางยโสธราเทวี ซึ่งถวายการปรนนิบัติพัดวีอยู่ ก็จะประหวั่นจิตหวาดพระทัย และทูลถามว่า ประชวรเป็นอะไรไปหรือ พระสิทธัตถะก็จะทรงรู้สึกองค์และทรงปลอบโยนพระชายาให้หายตระหนกอกสั่น พระพักตร์ของพระองค์ซีดสลด น้ำพระเนตรไหลคลอพระนัยนา แต่ก็ทรงฝืนยิ้มและรับสั่งให้นางนาฏกาดีดพิณสีซอถวาย ผู้อื่นได้สดับเสียงซอนั้นก็ชื่นจิตเหมือนได้ยินเพียงคนสรวลระเริงใจ แต่องค์พระโอรสนั้นทรงแว่วว่า เสียงซอครวญสะอื้นไห้รำพันว่า
“เรานี้คือเสียงของลมพายุ ซึ่งพัดไปด้วยความโหยหา ความสงบแห่งดวงจิต แต่ก็หามีเวลาสงบลงได้ไม่ ชีวิตของมนุษย์ก็เช่นเดียวกับลม ความสงบไม่มี จึงมีแต่ความครวญคร่ำ โหยหาและสะอื้นไห้
เรามาจากไหน ไปที่ใด เกิดจากแหล่งใดไม่เคยทราบ เราก็เหมือนท่าน เราเป็นเพียงที่ว่าง ไม่มีอะไรยืนยง เรามีแต่ความทุกข์ไม่รู้จักหาย แต่พระองค์มีแต่ความสุขสำราญ ไม่รู้จักหมด แต่ความรักนั้นก็จะหมดลงสักวันหนึ่ง เพราะชีวิตก็เหมือนกันกับสายลม ไม่มีความยืนยงคงอยู่ตลอดไป
พระโอรสแห่งมายา จงทราบเถิด ในโลกนี้เต็มไปด้วยความทุกข์แสนสาหัส เราได้ท่องเที่ยวไปรอบโลก ได้เห็นความทุกข์หลายอย่างต่าง ๆ กัน
ชีวิตนี้คือความว่างเปล่า เราจะไขว่คว้าอะไรมาไว้เป็นของเราได้หรือ เราจะคว้าเมฆมาไว้ในหัตถ์และห้ามห้วงน้ำมิให้ไหลรินได้หรือ
โอ้ -พระโอรสทรงตื่นเถิด อย่าบรรทมหลับอยู่เลย โลกกำลังเศร้านัก โลกกำลังจะจม โลกกำลังรอคอยพระองค์อยู่
ขอพระทรงตื่นขึ้นและทรงช่วยมนุษย์ให้พ้นทุกข์เถิด จงละเสียซึ่งอำนาจจักรพรรดิในประเทศ
เราคือลมซึ่งพัดไปรอบโลก และเรามาครวญคราง ณ สายซอหิรัญนี้ ก็เพื่อหวังจะให้พระผู้หลับอยู่และไม่รู้จัก ได้รู้จักโลก เราหวังจะให้พระรู้ว่ากษณะนี้พระองค์ได้เล่นแต่เงางามเท่านั้น”
นับแต่นั้นมา พระหฤทัยของพระบรมโอรสก็มิอาจตั้งอยู่ในความรื่นเริงดังแต่ก่อนได้ เสียงซอก็กลายเป็นลมคราง นางระบำและการฟ้อนทั้งหลายล้วนแต่ทำให้เกิดความเหนื่อยหน่าย พระองค์กลับสนพระทัยในนิยายต่าง ๆ ซึ่งนางกำนัล นำมาเล่าถวาย ในคราวหยุดพักจากการฟ้อนรำ นางนั้นเล่าถึงสิ่งประหลาดต่าง ๆ เล่าถึงบุคคลผู้มีผิวขาว เล่าถึงดวงตะวันอันตกจมลงในมหาสมุทรในยามสนธยา พระทรงฟัง แล้วก็ซักถามไม่ได้หยุด โลกของเรานั้นใหญ่กว้างนักหรือ มนุษย์ผู้อื่นที่เหมือนเรานั้นยังมีอีกหรือ ถ้าเรารู้จักเขา เราจะช่วยเขาได้ไหม พระอาทิตย์นั้นขึ้นจากขอบฟ้าในเวลาเช้า และไปตกลงในมหาสมุทรยามอัสดง เราจะเป็นเหมือนพระอาทิตย์ ไปอยู่บนท้องฟ้า ดูแลคนให้ทั่วได้หรือ
พระสิทธัตถะรู้สึกพระองค์ว่าทรงกลัดกลุ้มพระทัยเหมือนจะประชวรไข้อยู่ แล้วตรัสถามเขาถึงเรื่องม้ากายสิทธิ์อันเหาะได้รวดเร็วของเทวดาว่า มีจริงหรือ พระองค์ทรงปรารถนาม้านั้น เพื่อจะได้ขับขี่ไปดูโลกอันกว้างใหญ่ ทรงปรารถนาปีกของนกอินทรี อันจะพาพระองค์เหาะทะยานลิ่วออกไปยืนบนยอดเขาหิมาลัยอันสูงสุด แล้วมองดูว่าภายนอกพระทวารปราสาทนั้นมีอะไรอยู่บ้าง
มีผู้ล่วงละเมิดพระบรมราชโองการพระบิดาเป็นคนแรก กราบทูลว่า ภายนอกนั้นมีเรือกสวนไร่นาป่าร้าง และมีโบสถ์ มีพระมหานครอันกว้างใหญ่ของพระเจ้าพิมพิสาร และในโลกนี้มีมนุษย์หลายอย่างต่าง ๆ กัน หลายสิบโกฏิเหลือจะพรรณนาได้
พระโอรสรับสั่งว่า “ดีแล้ว ไปบอกฉันนะผู้สารถี ให้เทียมรถของเราไว้ พรุ่งนี้จะออกไปดูอะไรที่ไกล ๆ ออกไป”
พระเจ้าสิริสุทโธทนะได้ทรงสดับอำมาตย์ทูลความปรารถนาของพระโอรส ก็ทรงว้าวุ่นพระทัยยิ่งนัก พระองค์ทรงตระหนักดีว่า ถึงเวลาแล้วที่พระโอรสจะได้ทรงรู้จักโลก แต่อีกพระทัยหนึ่งก็เกรงพระสิทธัตถะจะไปทอดพระเนตร เห็นความสกปรกและสิ่งโทมนัสพระทัยเข้า จึงทรงสั่งให้ป่าวประกาศราษฎรทุกคนว่า พระโอรสจะเสด็จเลียบพระนคร ให้ตกแต่งบ้านเรือนให้งามตา เอาบุปผานานาพรรณมาแต่งซุ้มประตู สิ่งที่จะทำให้หดหู่ใจให้เก็บซ่อนเสียจงสิ้น ในวันนั้น คนแก่ชราร่างร้าย คนเจ็บจวนตาย คนพิการง่อยเปลี้ยเสียขา อย่าปรากฏให้เห็น แม้กระทั่งการเผาศพซึ่งจำเป็นก็ของดไว้ก่อน ให้วันนั้นสิ้นไปแล้วจึงทำ
ด้วยเหตุนี้ เมื่อพระโอรสเสด็จทอดพระเนตรพระนคร ก็ทรงเห็นแต่สิ่งล้วนงามตา ชาวเมืองหญิงชายเด็กเล็กแต่งกายอย่างดีที่สุก มาหมอบเฝ้ารายเรียงถวายช่อดอกไม้และคารวะ ต่างยิ้มสรวลสันต์เบิกบานประหนึ่งว่าโลกนี้หาเคยมีคำว่าทุกข์ไม่ พระสิทธัตถะทรงพอพระทัยยิ่ง ตรัสว่า
“โลกของเรานี้ งามจริงหนอ คนทั้งหลายก็ใจดี หนุ่มสาวเหล่านี้ก็ล้วนขยันในการงาน เขาช่างใจดีจริงหนอ ดูสิฉันยังไม่ทันทำอะไรให้เขาเลย เขาก็มาเอาใจใส่ในฉัน เด็ก ๆ เหล่านี้ก็รักฉัน เขาคงจะรู้ว่าฉันรักเขาเป็นแน่ เขารู้ได้อย่างไรหนอ ดีจริง ประหลาดจริง บ้านเมืองของเรานี้ช่างมีแต่คนยิ้มแย้มแจ่มใส ฉันนะ ขับรถออกนอกประตูเมืองสิ โลกนี้งามดีชวนให้ดู เราอยากเห็นทั้งหมด”
พอรถทรงเจ้าชายหนุ่มผ่านไป ฝูงชนโห่ร้องด้วยความยินดี บ้างเอาดอกไม้พวงมาลามาถวาย บ้างก็เข้าไปลูบคลำวัว เอาขนมและถั่วไปให้วัวกิน ต่างคนมีความยินดีทั่วหน้า ที่ได้เห็นเจ้านายของตน
ท่ามกลางความสวยงามและความโห่ร้องยินดีนั้นเอง ชายชราร่างเล็กคนหนึ่งคลานงุ่มง่ามออกมาจากกระต๊อบอันมีหลังคาโหว่และฝาทะลุของแก ร่างกายชายนั้นแสนจะสกปรก เครื่องนุ่งห่มสีซีดและเปื่อยขาด แค่พันกายก็เกือบจะมิมิด หลังงองุ้มจวนจะพับเป็นสองอยู่แล้ว เพราะต้องแบกภาระมานาน เนื้อหนังตกกระ ถูกแดดเผาดำเกรียมเหี่ยวย่นติดกระดูก จะหาเนื้อแต่สักน้อยก็แสนยาก ขอบตาแดงช้ำด้วยสนิมน้ำตาอันเกาะเป็นคราบมานานหนักหนา ลูกตามัวเป็นน้ำข้าว เมื่ออ้าปากก็ไม่มีฟัน ขากรรไกรสั่นอยู่งันงกประดุจเป็นไข้สันนิบาต แกถือไม้เท้าตัวสั่นรัวเดินหลังโค้งโก้งมาถึงกระบวนคนซึ่งยืน อยู่ หอบหายใจฮัก ๆ พลางร้องครางว่า
“ได้โปรดสงสารคนยากจนเถิด หิวจะตายอยู่แล้ว”
คนยืนอยู่ข้าง ๆ เห็นแกออกมาก็ตกใจ พากันฉุดแข้งขาลากแขนให้แกออกไปเสีย พลางบอกว่า
“นั่นเจ้านาย เห็นไหม กลับไป กลับไปรังของแก”
พระโอรสหันมาทอดพระเนตรเห็นเข้าก็ตกพระทัย ทรงพิศวงยิ่งนัก ด้วยไม่เคยทรงเห็นคนแก่ชราอย่างนี้มาแต่ก่อน ทรงถามนายสารถีว่า
“ฉันนะ นั้นตัวอะไรน่ะ ดู ๆ ก็คล้ายคน แต่ทำไมหลังงอโค้ง ตัวสั่นลำบากดังนั้น น่าสงสารเหลือเกิน เขาไม่มีอาหารกินหรือ กระดูกจึงได้โปนออกมาดังนั้น ทำไมเขาจึงร้องว่าเขาจะตาย มันแปลว่าอะไร ฉันนะ จงบอกให้เขาเข้ามาเถิด”
นายฉันนะสารถีผู้มีใจซื่อ ทูลถามความเป็นจริงว่า
“พระทูลกระหม่อมเจ้าข้า นี้คือคนเหมือนกัน และเมื่อแปดสิบปีก่อน เขายังแข็งแรงว่องไวสวยงามอยู่ นัยน์ยาก็ใสแจ๋วดี ดวงประทีปซึ่งเคยสุกใสในครั้งหนึ่งนั้น บัดนี้น้ำมันได้หมดเสียแล้ว ไส้ก็ไหม้ดำ ดวงชีวิตของเขายังเหลืออยู่น้อยหนึ่ง ไม่ช้าก็จะดับไปพระเจ้าข้า”
พระโอรสรับสั่งถามว่า “ฉันนะ คนเราต้องเป็นดังนี้ทุกคนหรือ”
“เมื่อมีอายุล่วงนานไปก็เป็นดังนี้ทุกคนพระเจ้าข้า”
“ฉันก็เหมือนกันหรือ ฉันนะ ถ้ายโสธราอยู่ถึงแปดสิบปี ก็เป็นดังนี้หรือ ชาลินี คุงคา โคตมี หัสดาน้อย และ ใคร ๆ ก็เป็นดังนี้หรือ ฉันนะ”
“พระเจ้าข้า เช่นนั้น” นายสารถีทูลสนองพระวาจา
พระโอรสรับสั่งว่า “กลับรถเถอะ ฉันนะ พาฉันไปส่งบ้าน เราได้เห็นสิ่งซึ่งเราไม่เคยคิดเลยว่าจะมีอยู่”
พระโพธิสัตว์ มีพระพักตร์อันซีดเผือด พระทัยเศร้าหมองและหดหู่ รีบเสด็จเข้าวัง แล้วนิ่งขรึม ไม่แย้มสรวล และไม่เสวยกระยาหาร ไม่เหลียวดูเหล่านางรำที่ขับฟ้อนบำเรอ ให้เห็นที่สำราญหฤทัย ยโสธราเทวีเห็นพระสวามีหม่นหมอง และไม่เอื้อนโอษฐ์แต่ประการใด ก็หวาดหวั่นพระทัยนัก เกรงไปว่าพระองค์ไม่พอพระทัยในการปรนนิบัติของพระนาง จึงกันแสงไห้แล้วทูลถามว่า พระนางได้ทรงกระทำอันใดไม่เป็นที่พอพระทัยหรือ
พระสิทธัตถะปลอบชายาว่า ที่พระองค์เศร้าเช่นนี้ หาใช่เพราะนางไม่ หากเพราะทรงคำนึงถึงว่า ความสุขทั้งหลายนั้น ที่แท้คือความทุกข์หนัก เพราะมันไม่อยู่ยืนนาน เวลาย่อมเข้ามาแทรกแซง ทำลายสิ่งสวยงามให้หมดสิ้นไป ร่างกายจะเต็มไปด้วยเส้นเอ็นระเกะระกะ หลังงอโค้ง และเนื้อก็เหี่ยวย่น เมื่อตรองถึงสิ่งนี้ พระองค์ก็มิอาจเป็นสุขอยู่ได้
ในคืนวันนั้น พระบิดาทรงสุบินถึงสิ่งน่าหวาดหวั่น และซึ่งเข้าพระทัยไม่ได้อยู่เจ็ดประการ
อันแรกซึ่งสุบินเห็นคือ ธงใหญ่ของพระอินทร์ถูกลมพัดขาดยับ และปลิวไปตกยังฝุ่นละออง ทันใดนั้นมีเงาเข้ามาหยิบเอาธงขาดออกไป
อันที่สอง เห็นช้างสารใหญ่งาขาวสิบเชือก เดินสะเทือนเลื่อนลั่นมาจากทิศทักษิณ พระโอรสประทับมาบนคชสารใหญ่ตัวนำ และมีฝูงชนเดินตามมาเป็นแถว
อันที่สาม ทรงเห็นราชรถเพลาตก ลากด้วยม้าวิเศษสี่ตัว และพระโอรสประทับอยู่ในรถนั้น
อันที่สี่ มีจักรทองหมุนวนมาแต่ไกล กำกงฝังเพชรพลอยสุกใส มีอักษรจารึกในดุมกงของล้อ และเวลาที่หมุนไปก็มองดูโชติช่วง ประดุจแสงเพลิง เสียงดนตรีเสนาะกังวานออกจากคำจารึกนั้น
อันที่ห้า คือกลองใหญ่มหึมาวางอยู่ระหว่างเมืองและขุนเขาต่าง ๆ พระโอรสถือตุ้มเหล็กใหญ่เสด็จมาตีกลอง เสียงสนั่น ก้องไปทั่วทุกทิศ
อันที่หก เป็นหอใหญ่สูงโดดขึ้นไปถึงฟ้า พระสิทธัตถะยืนอยู่บนหอ สองหัตถ์โปรยแก้วมณีนพรัตน์ลงมาดังสายฝนให้แก่ปวงชนทั่วโลก ซึ่งเบียดเสียดกันเข้ามาเก็บแก้วมณี
อันที่เจ็ด คือเสียงคนร้องโอดครวญแล้วมีคนหกคนเดินร้องไห้ออกไป
พระเจ้าสิริสุทโธทนะทรงให้บรรดาโหราจารย์ทำนาย พระสุบินนี้ แต่หามีใครอาจทายถูกไม่ พอดีมีผู้เฒ่าคนหนึ่ง แต่งกายอย่างฤๅษีมาจากไหนไม่ปรากฏ รับอาสาทำนายพระสุบินถวาย ผู้ชรากราบทูลพระราชาว่า พระสุบินนี้ดียิ่งนัก สิ่งที่เห็นทั้งเจ็ดอย่างนั้นแหละคือความปีติใหญ่ยิ่ง ๗ ประการ ด้วยกัน
อันที่หนึ่ง ธงพระอินทร์ขาดยับนั้นหมายความว่า ความเชื่อถืออย่างเก่าจะหมดไป
อันที่สอง ช้างสารสิบเชือกนั้นหมายถึงทศพลญาณของพระบรมศาสดา
อันที่สาม ม้า ๔ ซึ่งเทียมราชรถนั้นหมายถึงว่า จตุราริยลัจซึ่งจะนำพระโอรสให้พ้นความเศร้าหมองและสงสัยทั้งปวง
อันที่สี่ ล้อหมุนคือพระธรรมจักรอันล้ำเลิศ และ
อันที่ห้า กลองใหญ่ซึ่งพระโอรสทรงตี หมายความว่า คำสอนของพระองค์จะสะท้อนไปทั่วทั้งโลกสาม
อันที่หก รัตนะมีค่าล้ำที่พระโอรสทรงโปรยปรายประทานปวงชนนั้น คือพระธรรมอันล้ำเลิศซึ่งไม่เคยมีมาแต่ก่อน และเป็นที่ต้องประสงค์ของมนุษย์และเทพยดาทั้งหลาย
อันสุดท้าย หกคนที่ร้องไห้นั้น คืออาจารย์ของพระโอรสผู้ยิ่งกว่าตนเอง
ผู้ชรานั้นทำนายถวายแล้วก็กราบบังคมลาหายไป พระเจ้าสิริสุทโธทนะให้อำมาตย์ไปตาม เพื่อพระราชทานรางวัล แต่หาตามพบไม่ เขากลับมากราบทูลว่า เมื่อไปถึงที่เทวาลัยซึ่งฤๅษีนั้นอยู่ ได้พบแต่นกเค้าแมวบินจากแท่นบูชาเท่านั้นเอง
พระเจ้าสิริสุทโธทนะได้ทรงสดับคำทำนายก็ยิ่งทวีความหวาดหวั่นว่า พระโอรสจะเสด็จออกทรงผนวชเพื่อแสวงหาธรรมเสีย จึงรับสั่งให้เพิ่มจำนวนทหารยามประตูขึ้นอีก การดูแล ให้เข้มงวดกวดขันยิ่งขึ้น
แต่อนิจจา พระองค์จะทรงห้ามดวงตะวันมิให้ส่องแสง ห้ามได้หรือ ?
พระโอรสหนุ่มขอพระราชทานอนุญาตเสด็จเลียบพระนครอีกครั้งหนึ่ง และคราวนี้ขอเสด็จอย่างเงียบ ๆ ปลอมพระองค์อย่างชนสามัญออกไป และขออย่าให้ราษฎรรู้ตัวก่อน เพราะทรงปรารถนาจะเห็นภาวะที่แท้จริงของราษฎร ทูลพระบิดาว่า
“กลับมาคราวนี้ หม่อมฉันจะไม่ทูลขออีกต่อไป เพราะได้เห็นทุกอย่างสิ้นแล้ว ถ้าได้เห็นว่าคนเป็นสุขทั้งหมดก็จะสบายใจ แต่ถ้าได้เห็นคนเป็นทุกข์ หม่อมฉันก็คงได้ความฉลาดขึ้นบ้าง”
พระบิดาไม่อาจขัดพระทัยพระโอรส จำต้องพระราชทานอนุญาต
ดังนั้น ในวันรุ่งขึ้น โดยพระบรมราชโองการ ทหารยามต้องเปิดประตูให้พ่อค้าคนหนึ่งและเสมียนออกไป พระสิทธัตถะกับนายฉันนะนั่นเอง
อันสภาพของชาวเมืองกบิลพัสดุ์ ซึ่งพระสิทธัตถะทอดพระเนตรเห็นในครั้งนี้ ก็เป็นไปดังที่มันเป็นอยู่แต่เดิม ปราศจากการตบแต่งเพื่อลวงแต่อย่างใด
ตามถนนเซ็งแซ่ไปด้วยศัพท์สำเนียงต่าง ๆ พ่อค้านั่งขัดสมาธิริมทาง ร้องขายเครื่องเทศและเสื้อผ้าอึงมี่ ผู้ซื้อก็ยืนต่อราคา เกี่ยงกัน ทะเลาะกันวุ่นวาย รถบดหินวิ่งมาและเสียงร้องตะโกนให้หลีกทาง คนหามแคร่เดินร้องเพลงมาอย่างสบายใจ มองไปอีกทางหนึ่ง ก็เห็นร้านชำขายของต่าง ๆ แมลงวันตอมอยู่วุ่น หญิงหนึ่งทูนไหน้ำเดินมาท่าทางทะมัดทะแมง มือหนึ่งอุ้มเด็กอ่อนตาดำ ๆ ช่างทอผ้าก็ชักเส้นด้าย กระตุกกระสวย ช่างทำเกราะเอาฆ้อนตีแผ่แผ่นเหล็กออกไปให้บาง บ้างก็เอาหอกดาบซุกเข้าไปในเตาไฟแดงฉาน ไอ ร้อนพุ่งมาปะทะ สุนัขวิ่งมาด้อม ๆ มอง ๆ หาอาหาร ทหารเดินผ่านไป เสียงดาบกระทบฝักดังกริ่ง ๆ พราหมณ์เดินหลีกเจ้าไพร่ศูทรไปอย่างถือตน หมองูนั่งเป่าปี่เสียงแหบโหย งูตัวใหญ่ตาลุก แผ่พังพานร่าน่าสะพรึงกลัว เจ้าสาวแต่งกายสีงาม นั่งคลุมหน้ามาในรถวิวาห์ หญิงหนึ่งถือเครื่องสักการะเข้าไปในเทวาลัย เพื่อขอบุตรจากเทพเจ้า พระโอรสทรงเพลินไปในการทอดพระเนตรสิ่งเหล่านี้ ด้วยไม่เคยเห็นมาแต่ก่อน
ทันใดนั้นเอง พระองค์ได้สดับเสียงครางข้างถนนว่า “ช่วยด้วย ช่วยด้วย จะตายก่อนถึงเรือนอยู่แล้ว” คนเจ็บเป็นกาฬโรคคนหนึ่งนอนจมฝุ่นอยู่ ร่างกายเต็มไปด้วยผื่นแดง เหงื่อเม็ดใหญ่เต็มหน้าผาก บิดตัวเครียด ๆ ชักไปมา ปากบูดเบี้ยว นัยน์ตาเหลือกถลน มองดูน่าเวทนา เขาพยายามลุกขึ้นยืน แต่ก็โงนเงนล้มคว่ำลงไปอีก ปากร้อง โอย โอย ด้วยความเจ็บปวด
พระบรมโอรสทรงผละจากนายสารถี วิ่งเข้าไปประคองไว้ทันที พระหัตถ์ลูบร่างกายคนเจ็บเบา ๆ ด้วยความเวทนา ทรุดองค์ลงนั่ง แล้วยกศีรษะคนเจ็บวางบนพระชงฆ์ ปลอบโยนแล้วตรัสถามด้วยปรานีว่า
“ภราดร เจ้าเป็นอะไรไปหรือ ?”
เมื่อไม่ได้คำตอบ ก็ตรัสถามมหาดเล็กว่า “ฉันนะ คนผู้น่าสงสารนี้เป็นอะไร ?”
นายฉันนะทูลสนองว่า “พระยุพราชพระจ้าข้า คนนี้ เขาเจ็บเป็นกาฬโรค แต่ก่อนเขาก็แข็งแรงอยู่ เลือดบริสุทธิ์ อย่างคนทั้งหลาย แต่บัดนี้โรคร้ายกินเขาแล้ว หัวใจเขาเพลียไป เต้นช้าและไม่เป็นจังหวะ เส้นประสาทของเขาก็ตึงเครียด เจียนจะขาด ทอดพระเนตรดูเขาสิ พระเจ้าข้า เขาชักใหญ่ ตาแดงดังไฟ หายใจแรง ประเดี๋ยวเถิด ประเดี๋ยวกาฬโรคทำลายเขาหมด เขาต้องตายอย่างทุเรศ ทรงวางเขาเสียเถิด พระองค์ ไม่ดีดอก โรคอาจติดต่อถึงพระองค์ได้”
พระยุพราชหนุ่มหาอาจทอดทิ้งเขาได้ไม่ ทรงลูบคลำเขาต่อไป แล้วรับสั่งว่า “ฉันนะ คนอื่นก็เป็นอย่างนี้ได้เหมือนกันหรือ ?”
“พุทโธ่ ได้สิพระเจ้าข้า โรคร้ายมีหลายอย่าง กลาก เกลื้อน เหน็บชา อัมพาต สันนิบาต อหิวาต์ พยาธิ และ อื่น ๆ อีก สัตว์ทั้งหลายต้องเจ็บตามยถากรรมของตน”
“โรคมันมาสู่คนอย่างไร ฉันนะ ? มันไม่มีตัวไม่ใช่ หรือ ?”
มันมาเหมือนงูพิษพระเจ้าข้า มาเงียบ ๆ มาเร็ว เหมือนอสุนีบาต บางคนมันก็ทำลาย บางคนมันก็เว้น”
“ถ้าอย่างนั้นมนุษย์ก็อยู่ด้วยความกลัว เวลาจะนอนใจเขาสั่นระริก หลับไม่สบายเลย เพราะว่าเขากลัวความเจ็บไข้ เจ็บแล้วก็พิการ และแก่อย่างนั้นหรือ ฉันนะ ?”
“พระเจ้าข้า ดังนั้น”
เมื่อเจ็บนาน ๆ และเมื่อชราลงมาก ๆ แล้ว เขาเป็นอย่างไรในที่สุด”
“ตาย พระเจ้าข้า คนเราต้องตายทุกคน นั่นอย่างไร เล่าคนตาย ทอดพระเนตรสิพระเจ้าข้า”
บุคคลหมู่หนึ่งเดินคร่ำครวญสะอื้นไห้มาสู่ริมแม่น้ำ คนหนึ่งถืออ่างดินใส่ถ่านสุกแดงแกว่งนำหน้ามา ถัดไปก็ญาติ โกนผมแสดงความทุกข์ ผ้าพันศีรษะไม่มี ปากเขาร้อง “รามะ-โอ รามะจุ่งโปรด” ถัดจากนั้นก็มีคนหามแคร่ไม้ ไผ่ ภายในมีผี ซากศพแข็งผอมแห้ง ขาเหยียดตึง สีข้างกลวง ซี่โครงขึ้นเป็นอัน ๆ ยิงฟันแหง กายนั้นชโลมด้วยขมิ้นและเหลือง เขานำไปยังจิตกาธานริมลำธาร แล้วก็จุดไฟขึ้นเผา ห