วิธีรวบรัดในการปฏิบัติพระกรรมฐาน
จงอย่าสนใจกับจริยาของบุคคลอื่น ให้ทรงพรหมวิหาร 4 มีอิทธิบาท 4 (หลวงพ่อเคยเทศน์ที่บ้านสายลมเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2534 ว่าถ้าไม่มีอิทธิบาท 4 ปฏิบัติอีกโกฏิปีก็เอาดีไม่ได้ อิทธิบาท 4 ได้แก่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา) มีศีลเป็นปกติ คนที่เขามีศีลน่ะ เขาไม่สร้างความยุ่งยากให้กับบุคคลอื่น เพราะว่าเขามองหาความเลวของตัวเป็นสำคัญ ถ้าจิตของเราดีมันก็ไม่ยุ่ง กายก็ดี วาจาก็ดี ถ้าจิตของเราเลวลง วาจาก็เลว กายก็เลว ที่นี้ทุกคนจงสำนึกตัวไว้ อย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นเป็นการผิดระเบียบตามพระพุทธศาสนา และตามระเบียบวินัย แล้วเราก็ควบคุมศีล ศีลของเรามีเท่าไหร่ ปฏิบัติให้ครบ ธรรมะมีเท่าไหร่ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน มีเท่าไหร่ปฏิบัติให้ครบ อารมณ์สมถะมี 40 ปฏิบัติให้มันครบองค์ วิปัสสนาญาณมีเท่าไหร่ปฏิบัติให้ครบ ถ้าพยายามคิดประพฤติอยู่อย่างนี้ มันก็ไม่มีเวลาไปยุ่งกับบุคคลอื่น อันนี้อาการที่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่บุคคลอื่น ก็ชื่อว่าไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเอง
เป็นอันว่าด้านสมาธิจิตของพระโสดาบัน นับไปให้ดีว่ามีอะไรบ้างว่า หนึ่งพุทธานุสสติ สองธัมมานุสสติ สามสังฆานุสสติ สี่สีลานุสสติ ห้าอุปสมานุสสติ หกมรณานุสสติ ทีนี้การเจริญพระกรรมฐานพร้อม ๆ กัน เขาทำยังไง การที่จะเป็นพระโสดาบันมีกฎบังคับว่า ถ้าอารมณ์จิตต่ำกว่าปฐมฌานจะเป็นพระโสดาบันไม่ได้ หรือว่าจะเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ อย่างเลวที่สุด จิตต้องทรงอยู่ในปฐมฌานเป็นปกติ และอย่างดีที่สุดจิตก็จะทรงอยู่ในฌาน 4 เป็นปกติ แต่ฌานที่สี่นี่ปกติไม่ได้ ปกตินี่หมายถึงเวลาที่เราจะใช้ในยามปกติธรรมดา เราพูด เราคุย เราทำงาน จิตต้องอยู่ในปฐมฌานเป็นปกติ แล้วอารมณ์ปฐมฌานเป็นยังไง อารมณ์ปฐมฌานก็คือว่า เมื่อกิจการงานอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น สำหรับเรา อารมณ์นี้จะคุมอยู่ในอนุสสติทั้งหกตลอดเวลา เราจะไม่ลืมพระพุทธเจ้า เราจะไม่ลืมพระธรรม เราจะไม่ลืมพระสงฆ์ เราจะไม่ลืมศีล เราจะไม่ลืมพระนิพพาน เราจะไม่ลืมนึกถึงความตาย นี่ถ้าทุกคนมีอารมณ์อย่างนี้ มันจะมีบ้างไหมที่จะสร้างความเดือดร้อนให้กับบุคคลอื่น จะไปยุ่งกับอาการของบุคคลอื่นไม่มี แต่ถ้าอารมณ์ของเราเลวทรามลงกว่าพระโสดาบันล่ะ ถ้าเป็นพระก็เลยเป็นพระเดรัจฉานไป ถ้าฆราวาส ก็จัดว่าเป็นปุถุชนคนหนาแน่นไปด้วยกิเลส เป็นพาลชนคนโง่ หวังว่าต่อไปนี้ท่านทั้งหลาย คงจะไม่มีใครเลว มีแต่ความดี และก็ทรงความดีทั้งหลายอย่างนี้ไว้
“ความสำคัญมีอยู่อย่างเดียว คือ ทำจิตให้หมดจากกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน นี่เป็นความต้องการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็เป็นความต้องการของผม (หลวงพ่อ) ด้วย”
(คัดลอกและตัดตอนมาจาก “ทางสายเข้าสู่พระนิพพาน ตอน พระโสดาบัน”)