ค้างคาวฟังธรรม
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย ตอนนี้ก็ขอพบกับบรรดาท่านพุทธบริษัทในเรื่องการปฏิบัติธรรมง่าย ๆ เป็นกฎของกรรมเดิม แล้วก็เข้าถึงซึ่งพระนิพพานอีก ทั้งนี้ก็เพราะว่า ความง่ายในการปฏิบัติในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคมีอยู่ สมเด็จพระบรมครูสอนไว้
แต่ทว่า สำหรับที่ท่านทั้งหลายเห็นว่า การปฏิบัติในศาสนาขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อเข้าถึงพระนิพพานเป็นของยาก
อาตมาเองก็มีความสงสัยเหมือนกันว่า ทำไมหนอ สาวกขององค์สมเด็จพระทรงธรรมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้ชอบสอนแบบนั้น จะไปโทษสาวกขององค์สมเด็จพระทรงธรรมทุก ๆ องค์ก็ไม่ได้ เราต้องเรียกว่า คณาจารย์ทั้งหลายตั้งเหตุผลกันขึ้นมา หาเหตุยาก ๆ มาสอนบอกว่า พระธรรมคำสั่งสอนที่องค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนนั้น ต้องปฏิบัติกันให้ตึงเครียดกันแบบนี้มันจึงจะดี
นี่สิบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย การเรียนปฏิบัติแบบนี้อาตมาไม่อยากจะพูดว่าเป็นการทำลายความดีของพระพุทธเจ้า จะขอพูดเสียใหม่ว่า ท่านทั้งหลายมีความเข้าใจผิด คิดว่าสอนให้ลูกศิษย์ปฏิบัติในแบบฉบับที่ยาก ๆ มันเป็นของขลังดี ความรู้สึกอย่างนี้เป็นเหตุให้เสียผล ที่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้ปรารถนาในความดี แต่ความจริงถ้าสาวกขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่บรรลุมรรคผลแล้ว สอนตามแบบฉบับที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วสอน ก็รู้สึกว่าเป็นของไม่ยาก
ถ้าจะว่ากันไปอีกที สำหรับท่านทั้งหลายที่เป็นพระอรหัตผล สอนคนไม่ยากจริง ๆ ทั้งนี้เพราะว่า ท่านทั้งหลายเหล่านั้นท่านได้บรรลุแล้ว ย่อมทราบดีกว่า พระธรรมคำสั่งสอน ขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วที่ท่านได้บรรลุมาแล้ว สิ่งใดบ้างที่พอสมควรกับกำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัท เหมือนกับการเดินทาง ถ้าเรารู้จักทางลัดแต่ว่าไม่เสียผลประโยชน์ เราเดินทางลัดจะถึงไวกว่า ดีกว่าปล่อยให้บุคคลผู้ไม่รู้จักทาง เดินบุกเข้าป่าเข้ารก ไปพบหนามบ้าง พบสัตว์ร้ายบ้าง ในที่สุดเขาเหล่านั้นก็จะคลายความพยายาม เห็นว่าคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายากเกินไป เลยหมดกำลังใจที่จะพึงปฏิบัติ
นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท บรรดาคณาจารย์ทั้งหลายที่สอนกัน หรือเขียนตำราขึ้นมา นิยมเขียนให้มันยาก แต่ความจริงองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เวลาสอนคน องค์สมเด็จพระทศพลไม่ได้สอนยาก หาวิธีที่บุคคลผู้รับฟังจะเข้าใจได้ง่ายที่สุดเท่าที่จะง่ายได้
เรามาฟังเรื่องราวขององค์สมเด็จพระจอมไตร ฟังกันไปจะเห็นว่าองค์สมเด็จพระบรมครูสอนแบบง่าย ๆ ตอนนี้ก็จะนำเอาสัตว์เดรัจฉานเข้านิพพานมาให้ฟังอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งความจริงก็เป็นพวกเดียวกับงูเหลือม ฟังธรรมพร้อมกัน
สำหรับการฟังธรรมของสัตว์เดรัจฉานกลุ่มนี้ ก็ฟังเช่นเดียวกับงูเหลือม ชอบใจเฉพาะในเสียงธรรม เขาไม่ได้รู้เรื่องว่าผู้ที่ไปกล่าวนั้นเป็นพระ เขาไม่รู้จักคำว่าพระ และเขาเองก็ไม่รู้จักภาษามนุษย์ เสียงที่กล่าวไปจะหาว่าเขารู้จักว่าเป็นธรรมก็เปล่า เพียงแค่พอใจในเสียงเท่านั้น เมื่อตายจากความเป็นสัตว์ไปเกิดเป็นเทวดา พ้นจากเทวดาเป็นลูกของชาวประมงเป็นคน จากลูกชาวประมง บวชเป็นพระในสำนักของพระสารีบุตร ฟังธรรมนั้นซ้ำอีกครั้งเดียวเป็นพระอรหัตผล เรียกว่าเร็วกว่างูเหลือม
งูเหลือมต้องมาเกิดเป็นคน มาบวชเป็นอเจลกแล้วก็ได้ทิพจักขุญาณ กว่าจะเข้าถึงพระศาสนาขององค์สมเด็จพระพิชิตมารต้องใช้เวลาตั้งหลายสิบปี คือตอนบวชเป็นพระได้ทิพจักขุญาณ แล้วพระเจ้าอโศกมหาราชยังเป็นเด็ก ต่อมาเมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชครองราชสมบัติแทนพระราชบิดา ก็แสดงว่าอย่างน้อยพระองค์ต้องมีอายุไม่น้อยกว่า 30 ปี หลวงตาองค์นี้ก็คงจะปาเข้าไปถึง 60 – 70 ปี เข้าไปแล้ว เสียเวลามาก สำหรับกลุ่มหลังนี้ไม่เสียเวลามาก
เรื่องนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายเคยฟังพระเทศน์มามาก แต่อาจจะไม่ได้สนใจ ท่านพวกนี้คือใคร ท่านพวกนี้คือ ค้างคาว 500 ตัว ที่ไปนอนห้อยหัวอยู่ในถ้ำเดียวกับงูเหลือม ขณะนั้น พระสงฆ์ทั้งหลายพากันไปซ้อมพระอภิธรรม
การซ้อมแบบนั้นเป็นการซ้อมให้คล่อง ไม่ใช่ว่าจะซ้อมอภิธรรมให้เกิดความชำนาญแล้วนำไปสวดศพเพื่อหวังจะได้ปัจจัยมาหล่อเลี้ยงชีวิต พระสมัยนั้นท่านไม่ได้คิดแบบนั้น ท่านคิดอย่างเดียวว่า ทำอย่างไรหนอเราจะเป็นอรหันต์เข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้ นี่เป็นอารมณ์ใจส่วนใหญ่ และมีปริมาณสูงสุด ในขณะที่พระพุทธเจ้ายังดำรงพระชนม์อยู่
เมื่อพระทั้งหลายเหล่านั้นเรียนอภิธรรม จากสำนักของสมเด็จพระบรมครูแล้ว จึงได้นำเอาพระอภิธรรมที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วสอน ไปสาธยายให้ขึ้นใจ เพื่อจะได้จำข้อธรรมไว้ประพฤติปฏิบัติ
ฉะนั้น ในขณะที่ท่านทั้งหลายเข้าไปซ้อมอภิธรรมในถ้ำหลังนั้น คือในถ้ำเดียวกันกับที่งูเหลือมนอนอยู่ แต่ว่าค้างคาวพวกนี้ไม่ได้ชอบธรรมะขององค์สมเด็จพระบรมครู หรือชอบเสียงอภิธรรมแต่เฉพาะบทอายตนะ ท่านชอบฟังเสียงทั้งหมด แต่ไม่รู้ว่าเสียงนั้นว่าอย่างไร พระทั้งหลายไปซ้อมกันก็ซ้อมแบบเสียงพร้อม ๆ กัน ทำเสียงให้สม่ำเสมอกันเพื่อความคล่องและความมีระเบียบ ค้างคาวทั้งหมดชอบใจเสียงทั้หมด เพราะว่าฟังเรียบ ๆ เสนาะดี จะรู้ว่าเสียงนี้เป็นเสียงธรรมก็หาไม่ ฟังมาฟังไป ฟังไปฟังมา เผลอหลับ เท้าก็หลุดหล่นลงมา ศีรษะกระทบหินตายหมดทั้ง 500 ตัว
เมื่อตายแล้วเพราะฟังเสียงในธรรม พอใจในธรรม ก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกทั้งหมด มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ มีนางฟ้า 500 เป็นบริวาร
นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ฟังพระสูตรคือบุคคลตัวอย่าง ก็ดูตัวอย่างค้างคาว บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายที่มีเครื่องบันทึกเสียง เมื่อฟังธรรมจากเสียง ถ้าบังเอิญเสียงในธรรมบทใดบทหนึ่งก็ตาม อันเป็นที่พอใจของบรรดาท่านพุทธบริษัท พยายามฟังบทนั้นไว้ให้ขึ้นใจ เราจะจำได้หรือไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าทำจิตใจให้รัดรึงผูกติดเข้าไว้กับธรรมบทนั้น หมายความว่าขณะจะตาย ถ้าเปิดธรรมบทนั้นฟังก็ดี หรือไม่เปิดฟังธรรมบทนั้น แต่ทว่าจิตใจจับอยู่ในธรรมบทนั้น
เป็นอันว่าจิตใจของท่านจับอยู่ในธรรม ที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า จิตฺเต ปาริสุทฺเธ สุคติ ปาฏิกงฺขา เพราะว่าในขณะใดที่จิตใจเราพอใจในธรรม ขณะนั้นจิตก็ว่างจากกิเลส ถ้าเป็นอย่างนั้น ท่านเองก็จะได้ผลดีเช่นเดียวกับค้างคาวทั้ง 500 ตัว หรือว่าเช่นเดียวกับงูเหลือม
ตอนนี้มาคุยกันถึงเรื่องค้างคาวต่อไป เป็นอันว่าท่านทั้งหลายทราบแล้วว่า วิธีไปสวรรค์แบบง่าย ๆ ด้วยการพอใจในการฟังธรรม พอใจบทไหนมาก ฟังซ้ำอยู่แค่นั้น เราไปสวรรค์ได้เอาไว้ตอนหนึ่งก่อน อันดับแรก เรายึดสวรรค์ไว้เป็นทุนก่อน
ต่อมา ค้างคาวพวกนั้น ที่ฟังธรรมในศาสนาขององค์สมเด็จพระชินวรไม่รู้เรื่อง แต่ว่าพอใจในเสียง เมื่อศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้น คือพระพุทธเจ้าทรงมาอุบัติในโลก เป็นพระพุทธเจ้าประกาศพระศาสนา ปรากฎว่าเทวดาค้างคาวทั้ง 500 ก็จุติจากเทวดา (คำว่าจุติ แปลว่า เคลื่อน ไม่ได้หมายความว่า ตาย) มาเกิดเป็นลูกชาวประมงในเขตของพระพุทธศาสนา ชาวประมงพวกนี้มีความเลื่อมใสในพระสารีบุตรมาก
ต่อมาค้างคาวทั้ง 500 ที่มาเปิดเป็นลูกชาวประมง ขอได้โปรดทราบ ไม่ได้เกิดพ่อเดียวแม่เดียวกัน ถ้าเกิดพ่อเดียวแม่เดียวกันทั้ง 500 อย่างนี้ เขาเรียกว่าครอก ไม่ใช่ เหล่าคนมาเกิดในคณะนั้นร่วมกัน ร่วมคณะ ไม่ใช่ร่วมพ่อร่วมแม่คนเดียวกัน พ่อแม่คนหนึ่งอาจจะมีลูกห้าคน สามคน สี่คน แบ่งกันเกิด ไม่ใช่ไปรวมไปเกิดท้องเดียวคราวละ 500 คน เห็นจะแย่
เมื่อเกิดมาแล้ว ต่อมาโตขึ้นก็มีความพอใจในพระสารีบุตร ซึ่งเป็นอัครสาวกเบื้องขวาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอบวชในสำนักของพระสารีบุตร เมื่อบวชแล้วก็อยู่ในสำนักของพระสารีบุตร
ในกาลนั้น ปรากฎว่าเป็นเวลาที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า กำลังไปแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพระพุทธมารดา คือนำเอาอภิธรรมทั้ง 7 คัมภีร์นี้ไปสอนพระพุทธมารดา พร้อมไปด้วยเทวดาและพรหมทั้งหมด
ในวันหนึ่ง องค์สมเด็จพระบรมสุคต เวลาเช้าลงมาบินฑบาต ความจริงเมื่อถึงเวลาเช้าทุกวันร่างกายต้องการอาหาร เพราะว่าการที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นไปเทศน์โปรดพระพุทธมารดา พระองค์ไปด้วยอภิญญาสมาบัติ ยกกายไปทั้งกาย ไม่ใช่ว่าถอดจิตขึ้นไปอย่างที่พระได้มโนมยิทธิ
การขึ้นไปของพระต่างกัน บางท่านที่ได้เฉพาะมโนมยิทธิก็เอาไปแต่นามกาย คือกายภายในที่เราเรียกกันว่า จิต จิตในที่นี้จะไปหมายความว่ามันเป็นดวง ๆ ก็ไม่ถูก ความจริงแล้วมันเป็นกายอีกกายหนึ่งที่เราเรียกว่า อทิสมานกาย มีหัว มีเท้า มีขา มีร่างกายเหมือนกัน
แต่ว่ากายนี้จะสวยหรือไม่สวยปานใด ต้องวัดกันถึงด้านกุศลผลบุญที่เราทำไว้ ถ้าเราทำบาป กายนี้ก็จะเสื่อมโทรมมองดูไม่สวย ถ้าเรามีบุญร่างกายก็สวย ถ้าบุญมากเท่าไรกายนี้ยิ่งสวยมากเท่านั้น ถ้ากายของพระที่ประกอบไปด้วยนิพพาน จะเป็นแก้วประกายพรึกทั้งดวง มีแสงสว่าง กายประเภทนี้เราจะทราบได้เมื่อเราได้เจโตปริยญาณ เพราะอาศัยที่เรามีความเคารพในศาสนา ขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเหตุ ความรู้อันนี้ องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ได้มาแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงได้สอนพวกเราเหล่าพุทธบริษัท ถ้าเราปฏิบัติตามเราก็ได้เช่นเดียวกัน
มาพูดกันต่อไปว่า เมื่อถึงเวลาบิณฑบาต องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงใช้ปาฏิหาริย์เนรมิตรูปพระขึ้นองค์หนึ่ง เหมือนกับพระองค์ ให้เทศน์ต่อ พระองค์ก็ลงมาบิณฑบาตยังเมืองมนุษย์
ในวันหนึ่ง พระองค์เห็นพระสารีบุตรที่ขอบสระโบกขรณี องค์สมเด็จพระชินสีห์จึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสเรียกพระสารีบุตรว่า สารีปุตฺต ดูก่อนสารีบุตร เธอจงมาหาตถาคตในเวลากลับจากบิณฑบาตแล้ว พระสารีบุตรกำลังจะกลับวัด องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์จึงมาดักพระสารีบุตรอยู่ เพราะว่าองค์สมเด็จพระบรมครูทรงทราบว่า พระที่เป็นลูกศิษย์ของพระสารีบุตรทั้ง 500 รูป เดิมทีเดียวเคยฟังอภิธรรมทั้ง 7 คัมภีร์ ถ้าเขาฟังซ้ำอีกที เขาจะได้บรรลุมรรคผล
เมื่อองค์สมเด็จพระทศพลทรงทราบอย่างนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์จึงได้ไปดักพระสารีบุตรที่ขอบสระโบกขรณี เมื่อพระสารีบุตรพบองค์สมเด็จพระชินสีห์ เข้ามากราบถวายบังคมแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า สารีปุตฺต ดูก่อนสารีบุตร เธอจงเรียนปกรณ์ 7 ประการนี้ไป คำว่า ปกรณ์ หมายความถึง หัวข้อธรรมที่บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายนำมาสวดผีตาย คือคนตายในเวลานี้
แล้วองค์สมเด็จพระชินสีห์ก็มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า สารีบุตร ลูกศิษย์ของเธอทั้ง 500 รูป ที่บวชอยู่ในสำนักของเธอ เดิมทีเขาเป็นค้างคาว 500 ตัว เคยฟังปกรณ์ 7 ประการนี้มาแล้ว และก็หล่นลงมาตายพร้อมกัน ไปเกิดเป็นเทวดาทั้ง 500 ท่าน เมื่อหมดบุญจากเทวดา ก็จุติลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นลูกชาวประมง เวลานี้บวชในสำนักของเธอ ถ้าเขาฟังปกรณ์ 7 ประการนี้จบด้วยความเคารพ ท่านทั้งหมดนั้นจะเป็นอรหันต์ทั้งหมดทันที
เมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแนะนำพระสารีบุตรแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็บอกกับพระสารีบุตร ให้เรียนปกรณ์ทั้ง 7 ประการ คืออภิธรรมทั้ง 7 คัมภีร์ องค์สมเด็จพระชินสีห์กล่าวธรรมแต่เพียงโดยย่อ พอได้ความตามที่พระนำมาสวดเวลาคนตายในเวลานี้
เมื่อจบแล้ว องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็แยกจากพระสารีบุตรขึ้นไปสู่สวรรค์
เทวโลกชั้นดาวดึงส์ เสด็จประทับที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์เทศน์ต่อ พระที่องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถทรงเนรมิตไว้ ทั้งนี้ พรหมและเทวดาทั้งหมดจะทราบก็หาไม่ เพราะเป็นอำนาจพระพุทธปาฏิหาริย์
สำหรับพระสารีบุตรนั้น เมื่อได้สดับปกรณ์ทั้ง 7 ประการ จากองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดามาแล้ว กลับมาก็ปฏิบัติตามกระแสคำแนะนำขององค์สมเด็จพระประทีบแก้วคือ ฉันข้าวเสร็จแล้วจึงได้เรียกพระที่เป็นบริษัททั้ง 500 รูป มาประชุมกันแล้วก็แสดงปกรณ์ 7 ประการ พร้อมด้วยคำอธิบายให้เข้าใจ
บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อได้ฟังปกรณ์ 7 ประการ พร้อมด้วยคำอธิบาย ก็ปรากฎว่าบรรลุอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลสูงสุดในพระพุทธศาสนา
นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยทั่วหน้า การที่นำประวัติความเป็นมาของงูเหลือมก็ดี ค้างคาวก็ดี มาแสดงให้แก่บรรดาพุทธบริษัททราบ ก็มีความหวังตั้งใจอยู่อย่างเดียว คือว่า การสั่งสมบุญบารมีในเขตของพระพุทธศาสนานี้ และการเข้าถึงนิพพานเป็นของไม่ยากนัก
ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายมีความเคารพในองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ดัดแปลงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้เสียผล ท่านทั้งหลายที่เกิดมาเป็นคน พบพระพุทธเจ้าแล้วก็มีความเคารพในพระพุทธศาสนา ตั้งหน้าบำเพ็ญกิริยาวัตถุ คือสร้างความดีทุกประการ ตามที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ที่เป็นเช่นนี้ก็แสดงว่า ท่านทั้งหลายเคยพบองค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้ว และมีน้ำใจผ่องแผ้วประกอบไปด้วยกุศล บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนจึงมีความพอใจในการสดับและปฏิบัติธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ แสดงว่าบุญบารมีของท่านทั้งหลายสร้างมาแล้วใหญ่โตมาก จึงมีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้เคยได้พบตัวพระพุทธเจ้า แต่ก็มีความแน่ใจว่าพระพุทธเจ้ามีจริง
เรื่องอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง จะเปรียบเทียบกันได้ว่า คนที่เขาเป็นเพื่อนกับท่านก็ดี อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงก็ดี ที่ได้มีความเคารพในศาสนาขององค์สมเด็จพระชินสีห์อย่างท่านอาจจะไม่มี ท่านไปพูดเรื่องพระพุทธศาสนา เขาจะสั่นหัวว่า เรื่องของศาสนา เป็นยาเสพติด ใช้ไม่ได้ นักบวชในศาสนาขององค์สมเด็จพระจอมไตรเป็นผู้ถ่วยความเจริญ ถ่วงความมั่งมีศรีสุขของสังคมอย่างนี้เป็นต้น
นี่แหละบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน เป็นการเปรียบเทียบถึงบุญบารมี หากว่าท่านทั้งหลายจะบอกว่า บารมีที่ข้าพเจ้าสร้างมาน้อยเต็มที ไม่สามารถจะเป็นพระอรหันต์ได้ แต่บางท่านไม่พูดอย่างนั้น พูดเสียใหม่ว่า ข้าพเจ้าไม่มีบุญบารมีมาเลย ไม่สามารถจะเป็นพระอรหันต์ได้
ถ้าหากว่า บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายคิดอย่างนี้ ก็ขอโปรดประทานอภัยกลับใจคิดเสียใหม่ คิดว่า ถ้าเราไม่เคยมีบุญบารมีที่เคยสะสมไว้ เราจะพอใจในคำสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ ดูตัวอย่างเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงของท่านก็แล้วกัน ท่านพอใจในพระธรรม แต่เขาไม่มีความพอใจ เปรียบเทียบบารมีกันได้ในตอนนี้ เป็นอันว่าท่านทั้งหลายทราบแล้วว่า เวลานี้ท่านมีบารมีพอสมควร
รวมความแล้วก็ดีกว่าค้างคาว ดีกว่างูเหลือมมาก อย่างน้อยที่สุดท่นก็รู้ว่า นี่เป็นพระผู้มีพระภาคเจ้าที่สอนไว้ ถ้าบุคคลผู้ใดปฏิบัติตามจะมีความสุข หรือถ้าความเลื่อมใสไม่มีถึงแค่นั้น ท่านทั้งหลายก็ยังรู้จักคำพูดที่พระท่านสวด หรือฟังเครื่องบันทึกเสียงที่ฟังว่า นี่เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า รู้ภาษาแห่งคำพูด ถ้าจะเปรียบเทียบกับค้างคาวและงูเหลือม ท่านดีกว่าหลายแสนเท่า
ในเมื่อค้างคาวและงูเหลือมเป็นสัตว์เดรัจฉาน ฟังธรรมไม่รู้ว่าธรรม และก็ไม่รู้เรื่อง พอใจแต่เพียงเสียง ตายแล้วเป็นเทวดาได้ อันนี้เป็นทุนใหญ่เบื้องแรก แล้วกลับลงมาเกิดเป็นคน ฟังธรรมซ้ำอีกคราวหนึ่ง ปรากฎว่าสำเร็จอรหัตผล
บรรดาท่านพุทธบริษัทเกิดเป็นคน ฟังภาษาก็รู้เรื่อง และก็มีความเข้าใจว่า นี่เป็นคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอันว่าท่านมีกำไรดีกว่างูเหลือมและค้างคาวทั้งหมด
หากว่าท่านพอใจในเสียงธรรมขององค์สมเด็จพระบรมสุคต ที่บรรดาพระสงฆ์สาวกนำมาแสดง ฟังแล้วจงอย่าทิ้งไป เลือกฟังหลาย ๆ เรื่อง อย่ากลัวเปลืองเวลาและอย่ากลัวเปลืองเงิน บันทึกเข้าไว้หลาย ๆ เรื่อง หลาย ๆ ตอน แล้วก็พิจารณาพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินวรว่า เรื่องไหนเราชอบใจมากที่สุด มีอยู่เท่าไร ฟังตอนที่เราชอบใจให้หนัก ให้ขึ้นใจ
เวลาก่อนจะหลับ นึกถึงพระธรรมบทนั้น หนักเข้าไว้สัก 2-3 นาที แล้วก็หลับไปไม่เป็นไร เวลาตื่นใหม่ ๆ นึกถึงพระธรรมบทนั้นเข้าไว้สักนิดหน่อย เป็นการกระตุ้นเตือนใจ เวลากลางวันประกอบกิจการงาน ถ้าว่างเมื่อไรนึกถึงธรรมบทนั้นเข้าไว้
ถ้าเป็นอย่างนี้ ถ้าบุญวาสนาบารมีท่านยังอ่อน จะต้องเร่ร่อนไปในวัฏสงสาร ถ้าตายไปจากมนุษย์เมื่อไร อย่างน้อยที่สุดท่านก็เกิดเป็นเทวดาหรือพรหม
ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีจากเทวดาหรือพรหม มาเกิดเป็นคน ฟังธรรมซ้ำอีกหนเดียว เพราะว่าพระอรหันต์ก็ดี พระพุทธเจ้าก็ดี ย่อมรู้ใจคนว่ามีกุศลส่วนใดมาในชาติก่อน องค์สมเด็จพระชินวรจะสอนบทนั้นเป็นการซ้ำ หรือสะกิดแผลเก่า จะทำให้เราเข้าถึงธรรมบทนั้นได้โดยฉับพลัน และเป็นอรหันต์ทันที
เวลาที่เราเกิดเป็นเทวดา ถ้าพระศรีอาริย์ตรัสขึ้นมา เรายังเป็นเทวดาหรือพรหม ถ้าฟังเทศน์จากพระศรีอาริย์เพียงจบเดียว บรรดาท่านพุทธบริษัทก็จะได้บรรลุมรรคผลพระนิพพาน เพราะว่าองค์สมเด็าจพระพิชิตมารเทศน์สอนพุทธบริษัทคราวใด ปรากฎว่าเทวดาหรือพรหมบรรลุมรรคผลมากกว่าคน เพราะว่าเทวดาก็ดี พรหมก็ดี มีกายเป็นทิพย์ มีความเป็นอยู่เป็นทิพย์ ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความกังวล เมื่อจิตน้อมไปในส่วนของกุศลแล้ว ก็ปรากฎว่ามีความเข้าใจในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วได้ดี เป็นเหตุให้บรรลุมรรคผลได้ง่าย
เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ขอยุติคำแนะนำในเรื่องของพระสูตรไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ท่านพุทธบริษัททุกท่าน สวัสดี
***************