บุพกรรมของกัณหา – ชาลี
โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
ท่านสาธุชนทั้งหลาย วันนี้ขอพบกับบรรดาท่านพุทธบริษัทในเรื่องของกรรมเก่า ที่ตามภาษาบาลีท่านเรียกว่าบุพกรรม คือ กรรมของกัณหา – ชาลี
ในเรื่องนี้ปรากฎว่า บรรดาประชาชนในสมัยปัจจุบันพากันโจมตีองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่เนือง ๆ ความจริงการโจมตีพระพุทธเจ้านี้ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับบรรดาผู้พูด เพราะเรื่องราวต่าง ๆ มันผ่านพ้นไปนานแล้ว แต่เห็นทางมีอยู่ทางเดียว คือจะประณามองค์สมเด็จพระประทีปแก้วบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เสื่อมทราม แต่ทว่า การจะทำอย่างไรก็ตาม พระพุทธเจ้าจะเสื่อมทรามหรือเสียหายไม่ได้
ทั้งนี้เพราะว่า องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเข้าสู่พระปรินิพพานไปแล้ว เราจะนั่งนินทาว่าร้ายพระพุทธเจ้าสักเพียงใดก็ตาม ความชั่วมันก็ตกอยู่กับตัวของบุคคลผู้พูดแต่ฝ่ายเดียว ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า นินฺทา ปสํสา คำว่านินทาและสรรเสริญ เป็นความชั่วของบุคคลที่เกิดมา ผลที่เขาจะพึงได้รับในปัจจุบันนั่นคือความเสียหาย เขาเสียหายกันตรงไหน บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย จะพูดให้ฟัง คือเสียหายเพราะเสียเวลาประกอบกิจการงานของเขา ถ้าเขาจะเอาเวลาที่เขามานั่งนินทาพระพุทธเจ้าไปประกอบการงานให้เป็นประโยชน์ เขาก็จะมีประโยน์ มีทุนทรัพย์ขึ้นมามาก
สมมุติว่า เขานั่งนินทาวันละ 1 นาที ถ้า 10 วัน ก็ 10 นาที 100 วัน 100 นาที ปีหนึ่ง 365 วัน สิ้นเวลาการงานไป 365 นาที ถ้าลองคิดว่า เวลา 365 นาทีนี้ ถ้าเขาจะถอนหญ้าหน้าบ้านเขานาทีละ 1 ต้น หญ้าที่มันรกอยู่มันก็จะเตียนไป 365 ต้น เห็นไหม บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน ท่านผู้ถูกนินทาไม่มีความเสียหาย แต่ว่าบุคคลที่นินทาเท่านั้นมีแต่ความเสียหาย เมื่อการนินทาไม่ได้อะไร แล้วก็เสียหายผลประโยชน์ของตน
ต่อแต่นี้ไป เรามาพูดถึงอุปนิสัยคือ จริยาขององค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระองค์ทรงให้ทานกัณหาและชาลี นี่เป็นประเพณีของบุคคลที่จะเป็นพระพุทธเจ้าทุกท่าน เพราะมีกฎเกณฑ์บังคับว่า ท่านที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ต้องเสียสละใหญ่ คือเสียของที่รักที่สุดของตัว นั่นก็คือ บุตรธิดาและภรรยา เป็นต้น เพราะสิ่งทั้งสองประการนี้ บรรดาประชาชนทั้งหลายมีความรักกันมาก คนที่จะเป็นองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าต้องเป็นนักเสียสละเพราะอะไร เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่มีค่าจ้างรางวัลใด ๆ แม้แต่เทศน์ให้ชาวบ้านฟัง ก็ไม่มีค่าจ้างเหมือนกับพระสมัยปัจจุบัน สิ่งที่จะตอบสนองคุณท่านนั้นก็คือความดีของบรรดาท่านพุทธบริษัท พระองค์มีความพอใจอยู่เพียงนั้น ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทผู้รับฟังมีผลตามความประสงค์ คือ
1. ไม่ทำความชั่วทั้งหมด
2. ทำแต่ความดี
3. รักษาชำระจิตใจของตนเองให้สะอาดบริสุทธิ์จากกรรมที่เป็นอกุศล
องค์สมเด็จพระทศพลต้องการผลตอบสนองเพียงเท่านี้ นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ที่ทรงบำเพ็ญบารมีมาถึง 4 อสงไขย กำไรแสนกัปป์ ต้องการผลเพียงเท่านี้ ไม่ใช่ค่าจ้างรางวัล ใครเขาจะนินทาว่าร้ายนั้น องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้คำนึงถึง เพราะพระองค์ทรงทราบอยู่แล้วว่า เขาจะนินทาแบบไหนก็ตาม ถ้าพระองค์ทำดี พระองค์ก็ไม่ทรงเลวไปตามเขาว่า แต่ถ้าพระองค์เลวแล้ว ใครจะชมสักเท่าไรก็ตามที พระองค์ก็ไม่ดีตามคำชม
ทีนี้กฎเกณฑ์แห่งการเป็นพระพุทธเจ้า จะต้องเสียสละลูกและเมียเป็นทาน ถ้ายังไม่สละลูก ไม่สละเมียเป็นทานเพียงใด ท่านผู้นั้นจะถือว่าเป็นพระพุทธเจ้ายังไม่ได้ จะไม่มีโอกาสได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ และโดยปกติ ลูกและเมียทั้งสองฝ่ายนี้ ถ้าหากสร้างกรรมดีเข้าไว้ ก็จะไม่ต้องทุกข์ทรมานอะไร ดูตัวอย่างเช่นพระนางมัทรี
เมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร หน่อพระบรมพงศ์โพธิสัตว์ เมื่อให้ลูกเป็นทานไปแล้ว ต่อมาองค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ให้นางมัทรีเป็นทาน สละเมียเป็นทานไปอีก ตอนสละเมียเป็นทานนี้ ความจริงพระนางมัทรีไม่มีกรรมใหญ่ที่จะเข้าสนองผล ก็เป็นเหตุให้ทิพยอาสน์ของพระอินทร์บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ที่เคยอ่อนประดุจสำลีแข็งกระด้างขึ้นมา
ท้าวเธอมีความสงสัยว่า เหตุอะไรจะเกิดแก่บุคคลผู้มีบุญ ก็ทรงทราบอุปนิสัยความนึกคิดขององค์สมเด็จพระจอมไตร ในสมัยที่เป็นพระเวสสันดรว่า หน่อพระทินกรจะต้องสละพระนางมัทรีให้เป็นของคนอื่น และพระนางมัทรีนี้ก็เป็นคนคู่บารมีขององค์สมเด็จพระชินสีห์มานาน เป็นกษัตริย์และเป็นคนดี ถ้าให้ไปกับคนอื่นที่มีนิสัยหรือมีสัญชาติเป็นทาส ทาสี ก็ไม่เหมาะ สมควรที่พระองค์เองจะต้องเสด็จไปรับเสียเอง
ฉะนั้น พระอินทร์มีความกรุณาในพระนางมัทรี เพราะอาศัยความดีที่สั่งสมบารมีมามาก เป็นคู่บารมีขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พระอินทร์จึงได้แปลงเป็นพราหมณ์ลงมาขอพระนางมัทรี องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ทรงประทานให้ ก่อนที่จะประทานให้ก็แจ้งกับพระนางมัทรีว่า อันนี้เป็นจริยาของบุคคลที่จะได้บรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องให้ลูกและภรรยาเป็นทาน ขอนงคราญจงอย่าขัดข้องเลย จงโมทนาด้วย
เมื่อพระนางมัทรีทรงทราบเจตนาองค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ไม่ว่าอะไร ตามใจทุกอย่าง ยอมไปตกอยู่ในอำนาจของพราหมณ์ แล้วองค์สมเด็จพระพิชิตมารเวลาที่เป็นพระเวสสันดรก็นำพระนางมัทรีมา แล้วนั่งใกล้ท่านพราหมณ์ เขาเรียกกันว่าอินทพราหมณ์ คือ พระอินทร์แปลงตัวเป็นพราหมณ์ เมื่อเข้ามาใกล้แล้วจึงได้หลั่งทักษิโณทกให้ตกบนฝ่ามือ แสดงถึงการให้
เมื่อพระอินทร์ได้รับพระราชทานพระนางมัทรีแล้ว จึงได้กล่าวถวายองค์สมเด็จพระประทีปแก้วว่า เวลานี้พระนางมัทรีเป็นสิทธิของข้าพระพุทธเจ้า แต่ว่าข้าพระพุทธเจ้าขอถวายคืนเข้าไว้ แต่ขอพรว่า ถ้าจะให้พระนางมัทรีกับใครแล้ว ต้องขออนุญาตข้าพระพุทธเจ้าก่อน เพราะข้าพระพุทธเจ้าเป็นเจ้าของ แต่การมอบไว้นี้ก็ให้เป็นสิทธิ์ในการใช้สอย อยู่ร่วมในฐานะสามีภรรยาก็ได้ หรือจะรับไว้เป็นคนใช้ก็ได้ ห้ามบุคคลอื่นทั้งหลายที่จะมาขอต่อ ถ้าใครจะมาขอต่อก็ต้องขออนุญาตก่อน เมื่อข้าพระพุทธเจ้าไม่อนุญาต องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถจะให้ไม่ได้ องค์สมเด็จพระจอมไตรในสมัยนั้นที่เป็นพระเวสสันดรก็ทรงรับ
นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท มาดูพระนางมัทรีที่ถูกให้ แต่กฎของกรรมเดิมที่นางทำไว้ กรรมชั่วมันไม่มี ก็เป็นเหตุให้ทิพยอาสน์ของท้าวโกสีย์สักกเทวราชแข็งกระด้างเป็นเครื่องเตือนใจ เป็นเหตุให้พระนางมัทรีไม่ต้องไปอยู่กับพราหมณ์ แต่ความจริงไปอยู่ก็ไม่เป็นประโยชน์ เพราะพราหมณ์นั้นเป็นพระอินทร์ เมื่อพระองค์พระราชทานพระนางมัทรีให้เป็นชายาของพราหมณ์ พราหมณ์ถวายแล้ว พราหมณ์จึงได้แสดงความจริงกับองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว แปลงกายจากพราหมณ์กลับมาเป็นพระอินทร์ตามเดิม แล้วก็ประกาศให้ทรงทราบว่า ข้าพเจ้าคือพระอินทร์ พระนางมัทรีเป็นของข้าพเจ้า พระองค์จะให้ใครไม่ได้เด็ดขาด
เมื่อองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถทรงรับรองแล้ว จึงได้ขอพรกับพระอินทร์ 8 ประการ พร 8 ประการนี้คือ
1. ขอให้ได้เข้าครองพระราชฐานตามเดิม
2. ให้ได้รับความกรุณาเมตตาจากพระราชบิดาพระราชมารดา และประชาชนทั้งหลาย เป็นต้น
เป็นอันว่าพร 8 ประการ ไม่ต้องกล่วกัน เราไม่ได้มาเทศน์อัฏฐพรกัน อัฏฐพร คือ พร 8 ประการที่ขอจากพระอินทร์ ไม่ได้เทศน์เรื่องนี้
เรามาคุยกันถึงเรื่องบุพกรรมของกัณหา และชาลี ที่ชาวบ้านชอบโจมตีว่า พระเวสสันดรเห็นแก่ตัวมาก ไม่เห็นแก่ความลำบากของลูกและเมีย แต่ว่าคนที่พูดนั้นไม่ทราบความจริงก็ไม่น่าตำหนิท่าน ถ้าคนเราลองโง่เสียอย่างเดียว ตำหนิกันไม่ได้ แต่คนที่จะตำหนิได้นั้นก็ต้องเป็นคนที่ไม่โง่ แต่ว่าคนโง่แล้วไม่รู้ตัว่าโง่ อวดฉลาด อย่างนี้เขาเรียกกันว่า โง่แกมหยิ่ง ไม่ว่าชายหรือหญิง ใช้อะไรไม่ได้ทั้งหมด แต่องค์สมเด็จพระบรมสุคตท่านได้ตำหนิ อาตมาก็ไม่ได้ตำหนิ แต่พูดให้ฟังว่าโง่จริง ๆ นี่น่าสงสาร ถ้าโง่แกมหยิ่ง ไม่น่าสงสารเลย
เรามาพูดถึงเรื่องกัณหาและชาลี เมื่อพระราชบิดามอบหมายตนเองให้เป็นสิทธิของตาชูชก เมื่อตาชูชกแกได้กัณหาและชาลีเป็นสิทธิแล้ว ตาแก่ผู้ใจแกล้วแทนที่จะปลอบโยนกัณหาและชาลีเป็นการเอาอกเอาใจ กลับมีความคิดเสียใหม่ว่า เด็กทั้งสองคนนี้เป็นลูกของกษัตริย์ ถ้าเราจะเอาใจเธอทั้งสองคน พ่อหน้ามนก็จะทะนงตัว เมื่อไปอยู่กับเราก็จะถือตนว่าเป็นลูกกษัตริย์ จะเป็นนายของเราเข้าไป จึงตั้งอารมณ์เสียใหม่ว่า เราต้องข่มขู่เสียตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ฉะนั้น ตาชูชกจึงได้นำเถาวัลย์มาผูกมือทั้งสองของกุมารากุมารีแล้วก็เฆี่ยนตี ฉุดกระชาก ใช้อำนาจให้เด็กทั้งสองกลัว
นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท ตอนนี้เองที่บรรดาท่านทั้งหลาย หลายท่านด้วยกันโจมตีองค์สมเด็จพระทรงธรรมบรมศาสดาว่า เป็นคนเห็นแก่ตัว สร้างความชั่วให้แก่บุคคลอื่นเพื่อความดีของตน ความจริงถ้าเขารู้จักองค์สมเด็จพระทศพลเขาก็คงไม่พูดแบบนั้น แต่ว่าเราจะเอาขนมอะไรไปป้อนให้ควายกินเล่า บรรดาท่านพุทธบริษัท ควายที่จะมาชอบทองหยิบฝอยทองนั้นมันไม่มี หรือว่าจะหาขนมเค้กอย่างดี ขนมอะไรก็ตามมาป้อนให้กิน ควายมันก็ไม่ชอบ เพราะควายมันชอบกินหญ้า ข้อนี้มีอุปมาฉันใด คนที่โง่แกมหยิ่งมันก็เหมือนกัน บรรดาท่านพุทธบริษัท ชอบคิดแต่สิ่งที่ชั่วร้าย ส่วนที่เป็นความดีที่เป็นเหตุแห่งความสบายใจเขาไม่ชอบคิดกัน
ทีนี้ก็จะกล่วถึงบุพกรรมของกัณหาและชาลี เรื่องนี้เคยมีพระถามพระพุทธเจ้าในกาลที่เล่าเรื่องเรียบร้อยแล้ว บรรดาพระสงฆ์จึงได้กราบทูลองค์สมเด็จพระประทีปแก้วว่า กัณหาและชาลี ทั้งสองศรีนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นขัตติยราช เป็นบุตรกษัตริย์ เป็นคนมีจริยาดี แสดงความเคารพนบนอบ อ่อนโยนกับตาชูชกด้วยดี แต่ว่าเมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์พระราชทานแล้ว ทำไมตาชูชกจึงได้ทำอย่างนั้น
องค์สมเด็จพระภควันต์จึงได้ทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหตุที่จะเกิดขึ้นเช่นนั้นก็เพราะอาศัยกรรมเก่าของกัณหาและชาลี เดิมทีกัณหาและชาลีเป็นลูกของชาวบ้าน คือชาวนาธรรมดา ตาชูชกตัวแก่เฒ่าชราคนนี้แกเป็นควายแก่ เมื่อต้นข้าวขึ้นมาใหม่ ๆ บิดาและมารดาให้สองศรีนี้ไปเฝ้าต้นข้าว เพื่อกันควายไม่ให้เข้ามากิน พอเด็กสองคนนี้เผลอเมื่อไร เจ้าควายแก่ก็ย่องเข้ามากินเมื่อนั้น บิดาและมารดาก็ดุว่าเด็กทั้งสองนี้บ้าง เฆี่ยนตีบ้าง หาว่าละเลยหน้าที่ เมื่อจะไล่จะปาสักเท่าไรก็ตามที เจ้าควายแก่ตัวนี้มันไปไม่ไกล ทำทีเหมือนว่าหันหน้าหนีไปแล้ว กินหญ้าอยู่ พอโฉมตรูทั้งสองกุมารเผลอเมื่อไร มันก็ย่องเข้ามากินต้นข้าวอ่อนเมื่อนั้น เป็นเหตุให้สองกุมารมีความโกรธ จึงได้พากันจับควายเฒ่าตัวนั้นไปผูกไว้กับต้นไม้ คือเอาเชือกผูกที่ตะพายแล้วก็ผูกติดกับต้นไม้ สองคนพี่น้อยช่วยกันหาไม้เรียวหนามมาตีควายแก่ตัวนี้เสียจนหนำใจ เรียกว่าจนพอใจ แล้วจึงปล่อยควายแก่นี้ไป
องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เพราะกรรมในอดีตที่กัณหาและชาลีตีควายแก่ กรรมนั้นมันมาสนองเธอทั้งสอง เจ้าควายแก่ตัวนั้นมันมาเกิดเป็นชูชก ทีนี้เมื่อมอบหมายให้ชูชกแล้ว กรรมเก่ามันเข้าสนองใจ ทำให้ชูชกเห็นผิด คิดในใจว่า เราต้องปราบปรามให้เด็กพวกนี้เข็ดเสียก่อน กลัวเรา ไม่เช่นนั้นแล้ว ไปอยู่กับเราก็จะทำตัวเป็นนาย เพราะจะถือตัวว่าเป็นลูกเจ้าใหญ่นายโต
นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท ความสงสัยของบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายในเรื่องนี้ก็คงจะหมดไป หรือไม่หมดก็ตามใจ เพราะบุคคลที่สอนได้นั้นก็มีอยู่ 3 ขั้นด้วยกันคือ
อุคฆฏิตัญญู มีปัญญาดีมาก แนะนำแต่เพียงหัวข้อก็มีความเข้าใจ
คนระดับที่สองรองลงมานั้นไซร้ ก็คือ วิปจิตัญญู คนประเภทนี้ องค์สมเด็จพระบรมครูบอกว่า แนะนำหัวข้อเขาไม่เข้าใจ จะต้องอธิบายนิดหน่อย จึงจะเข้าใจ
คนประเภทที่สามเรียกว่า เนยยะ คนประเภทนี้จะสั่งสอนเท่าไรก็ไม่สามารถจะเป็นพระอริยเจ้าได้ แต่ก็มีความดี เข้าถึงไตรสรณาคมน์ มีศีล 5 บริสุทธิ์ ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ดี จัดเป็นกัลยาณชน คือคนดี หรือคนงาม
คนประเภทที่สี่ คือ ปทปรมะ ท่านแปลว่า มีบทบาทอย่างยิ่ง บุคคลประเภทนี้จะเป็นชายจะเป็นหญิง จะศึกษาวิชาการสูงขนาดไหนก็ตาม ก็มีความโง่เป็นปกติ เรื่องความดี เรื่องบุญ เรื่องกุศล ทำตอน และบุคคลอื่นให้มีความสุข บุคคลประเภทนี้ไม่เคยคิด และก็เป็นคนไร้เหตุไร้ผล ไม่ยอมรับทราบ ผลของบุคคลผู้ใด เหตุผลจะเป็นประการใดฉันไม่ฟัง ฉันต้องการอย่างเดียว คิอคัดค้านให้มันพินาศไป
แม้แต่ประเทศชาติของตนที่กำลังเป็นไท ไม่ใช่ทาส บุคคลประเภทนี้ก็พยายามทำลายชาติให้พินาศ ด้วยการขายชาติให้แก่ศัตรู ความจริงตัวของเขาเองไม่รู้หรอก บรรดาท่านพุทธบริษัท ว่าการขายชาติของเขามันมีผลร้ายสักเพียงใด ญาติพี่น้องของเขาทั้งหลายที่เกิดอยู่ในประเทศไทยก็จะพากันลำบาก ตัวเขาเองที่ถูกป้อยอว่า ถ้ายึดประเทศไทยได้เมื่อไร เขาจะให้เป็นใหญ่
แล้วใครที่ไหนเล่า บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เขาจะให้คนจัญไรประเภทนี้ปกครองประเทศ แม้แต่บ้านพ่อบ้านแม่ บ้านปู่ย่าตายายของเขา เขายังทรยศได้ แล้วเจ้านายผู้จ้างเขามา เป็นอะไรที่เขาจะไว้วางใจ เรื่องการไว้วางใจย่อมไม่มีในที่สุด คนอัปรีย์พวกนี้ก็จะต้องตายโหงไปตาม ๆ กัน
นี่เราพูดกันเรื่องกรรมนะ กรรมของกัณหาชาลีเป็นเช่นใด คนที่สร้างกรรมชั่วไว้ ผลกรรมก็จะต้องรับเหมือนกัน ที่นำผลของกรรมมากล่าวกับบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน เพื่อให้มีความเข้าใจในกฎของกรรม ที่เป็นความดีหรือความชั่ว ขอท่านทั้งหลายจงระมัดระวังตัว จงอย่าคิดว่ากรรมชั่วนิดหน่อยมันจะไม่ให้ผล
ตามที่องค์สมเด็จพระทศพลกล่าวถึงกฎของกรรม ของกัณหาและชาลี ความจริงถ้าจะคิดกันไปดูอีกที เจ้าควายตัวนี้มันมาลักข้าวเขากิน การลงโทษประเภทนั้นควรจะมีผลเสมอกัน กล่วคือหายกันไป แต่ความจริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น มันไม่หายสิ มันติดตามมาเล่นกัณหาและชาลีเข้าในชาติสุดท้าย ตอนที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาเป็นพระเวสสันดรหน่อพระบรมพงศ์โพธิ์สัตว์
ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทจำไว้ให้ดี จงอย่าคิดว่า ยุงตัวเล็ก ๆ มันเป็นเด็ก ฆ่าแล้วไม่บาป หรือที่เขากล่าวกันบอกว่า สัตว์ทั้งหลายเกิดมาเป็นอาหารของมนุษย์ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาฆ่ากินกัน แล้วกรรมทั้งหลายเหล่านี้นั้นมันก็ไม่ให้อภัยกับบุคคลผู้ฆ่าเหมือนกัน ต่อไปในชาติเบื้องหน้า ถ้าเกิดใหม่ก็ต้องฆ่ากันไปฆ่ากันมา ผลัดกันฆ่าอยู่แบบนั้น เช่นเจ๊กกับหมู เจ๊กกับไก่ เป็นต้น
นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ดูในกาลต่อไป เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของเทวดา การที่ชูชกจะรู้ว่ากัณหาและชาลีอยู่ที่ไหน ก็เป็นเรื่องของเทวดาช่วย นางอมิตตดาที่เป็นเมียชูชก อยู่ ๆ เธอก็โกรธชูชกขึ้นมา หาว่าชาวบ้านด่าเธอ เธอปฏิบัติความดีกับชูชกมาก ดีเกินหน้าไป เป็นเหตุให้บรรดาสาวสรรกำนัลใน คือหญิงชาวบ้านแถวนั้นถูกผัวไปต่อว่า ว่านางอมิตตดาเขามีผัวแก่ เขายังมีความดี สร้างความดีให้แก่สามีมีความสุข ส่วนตนเองเป็นสามีภรรยาอายุไล่เรี่ยกัน แต่ไม่ปฏิบัติตามนั้น ทำให้มีความทุกข์
เมื่อบรรดาหญิงทั้งหลายเหล่านั้น ได้รับการกระทบกระเทือนถูกด่าว่าจากสามี จึงได้มาโกรธนางอมิตตดา นี่เป็นนิสัยพาล มาด่ามาว่า มาพูดประชดประชัน อยากจะให้นางอมิตตดาไปเสียจากที่นั้น ตัวจะได้มีความสุข สามีจะได้ไม่ว่าไม่ด่า ไม่ทุบ ไม่ตี
นางอมิตตดาเมื่อถูกหญิงทั้งหลายเหล่านั้นว่าประชดประชัน ใจก็นึกขึ้นมาว่า เวลานี้องค์สมเด็จพระทรงธรรมพระเวสสันดร หน่อพระบรมพงศ์โพธิ์สัตว์ออกสู่ภิเนษกรมณ์ จะต้องให้บุตรและภรรยาเป็นทาน ความจริงนางไม่รู้เรื่องเพราะบ้านเมืองสมัยนั้นไม่มีวิทยุ ไม่มีหนังสือพิมพ์ แต่ที่นางรู้ขึ้นมาได้ก็เพราะเทวดาเขาแนะนำกัน ถ้าหากพระเวสสันดรไม่มีโอกาสให้สองกุมารเป็นทาน พระเวสสันดรก็ไม่มีโอกาสที่จะบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณได้
เมื่อกัณหาชาลีทั้งสองศรีนี้ไซร้ ถูกชูชกทรมานไประหว่างทาง ก็ปรากฎว่าเทวดาก็เข้ามายุ่งอีก คือเมื่อเวลากลางคืน ก็แปลงเป็นพระเวสสันดรองค์หนึ่ง แปลงเป็นพระนางมัทรีองค์หนึ่ง มาให้สองกุมารนอนบนตัก ปฐมพยาบาลจนหลับไป พอตื่นขึ้นเช้า ทั้งสองเทวดาก็หายไป ชูชกลากไป
คราวนี้เทวดาผู้เป็นเจ้ากี้เจ้าการก็เลยพาให้ชูชกหลงทาง พอไปหาพระเจ้าปู่ เมื่อไปหาพระเจ้าปู่ ไปใกล้พระเจ้าปู่เห็นเข้า พระเจ้าปู่จึงได้ให้อำมาตย์ทั้งหลายไปตามเข้ามา เพราะจำได้ว่าเป็นหลาน ว่าใครหนอไปลักหลานของเรามา ไปจับมันเข้ามา เมื่อพระเจ้าปู่พบพระเจ้าหลานแล้ว จึงได้เรียกหลานแก้วทั้งสองให้ขึ้นมานั่งบนตัก
ตอนนี้เทวดาก็มีสร้างความเมตตาขึ้นมาอีก ก่อนที่พระเวสสันดรจะไป เทวดาก็ดลใจให้ถูกไล่ ตอนนี้เทวดาก็ดลใจให้พระเจ้าปู่ พระเจ้าย่า คือพระเจ้ากรุงสญชัยกับพระนางผุสดีคิดถึงพระเวสสันดร บรรดาพสกนิกรทั้งหลายที่เคยโกรธก็ไม่โกรธ ที่ชาวบ้านเขาโกรธเพราะเทวดาแกล้งดลใจให้โกรธ นี่มันเรื่องของเทวดาปรารถนาจะให้พระองค์เป็นพระพุทธเจ้าให้ได้ ให้บำเพ็ญบารมีให้เต็ม
เมื่อเด็กทั้งสองพบพระเจ้าปู่ พระเจ้าย่าแล้ว จึงได้บอกว่า พ่อตีราคามา ถ้ายังไม่ชำระหนี้ก็ยังไม่เป็นไท ยังเป็นทาสของชูชกอยู่ สมเด็จพระเจ้าปู่จึงได้มีพระมหากรุณาธิคุณ อนุญาตให้นำเงินนำทองมาไถ่หลาน แล้วก็เลี้ยงดูชูชกจนอิ่มหนำสำราญ เมื่อแกกินมากเข้าไป ธาตุย่อยไม่ไหว เพราะเป็นขอทานมานาน ไม่เคยกินของดี ๆ ในที่สุด ตา
ชูชกนี้แกก็ตายเพราะธาตุไม่ย่อย
พระเจ้ากรุงสญชัยจึงได้บอกให้คนทั้งหลาย ประกาศหาญาติของตาชูชก ก็หาญาติไม่ได้ เป็นอันว่าทรัพย์สมบัติทั้งหลายที่ยกให้ชูชกก็ตกเป็นของหลวงไป แล้วก็ถามสองกุมารว่า บิดามารดามีความสุขหรือประการใด เด็กทั้งสองก็บอกว่า บิดามารดามีความทุกข์มาก ลำบากด้วยความเป็นอยู่และการบริโภค
ฉะนั้น พระเจ้ากรุงสญชัยบรมกษัตริย์ พระบาทท้าวเธอจึงสั่งจตุรงคเสนา ยกกองทัพไปรับพระเวสสันดรกลับเข้าเมือง เรื่องมันแค่นี้แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท ที่คนเขาโจมตีพระเวสสันดรอย่าเห็นกับเขาด้วยเลย จงพากันรับทราบกฎของกรรมว่า กรรมเพียงเล็กน้อย มันย่อมให้ผลใหญ่
เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับบุพกรรมของกัณหา ชาลี ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน สวัสดี
(จากหนังสือธรรมสัญจร เล่ม 4)