บุพกรรมของโกตุหลิกะ
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
วันนี้ก็จะเล่าเรื่องกฎของกรรม กรรมที่น่าคิดก็คือเรื่องโกตุหลิกะ โกตุหลิกะนี่เป็นตอนหนึ่งของเรื่อง “สามาวดี” กรรมติดตามกันทั้งบุญและบาป อันนี้น่าฟังนะ เรื่องมีอยู่ว่า ท่านโกตุหลิกะนี้ท่านเป็นคนจน ทั้งสองตายายก็จนกันทั้งคู่ เขายังหนุ่มอยู่ มีลูกอยู่คนหนึ่งยังคลานไม่ได้ เวลานั้นเขาอยู่เมืองอารัพภกะ เขาอยู่แคว้นอารัพภกะ เป็นอันว่า เวลานั้นปรากฎว่าข้าวยากหมากแพง ฝนแล้งไม่ตกต้องตามฤดูกาล ความจนเกิดขึ้น และก็ประกอบกับโรคอหิวาต์เกิดขึ้น ทั้งสองคนตายายและลูกน้อยคนหนึ่ง ก็ต่างคนต่างหนีจากเมืองนั้นมา เมืองโกสัมพี ก็เป็นอันว่าคนจนนี่ก็มีอะไรไม่มาก ก็มีข้าวสุกติดมาเล็กน้อย กินน้อย ๆ อยู่ได้แค่สามวันแล้วก็ผ่านป่ามา ยังไม่ทันจะพ้นป่า ข้าวหมด ต้องเดินอดมาอีกสามวัน อดอาหารสามวันนี่ต้องคิด
ทิ้งลูก
ต่อมาท่านสามีคือ โกตุหลิกะ แกคิดว่าลูกเล็ก ๆ อุ้มไม่ไหว ทิ้งไว้นอนตายกลางป่าดีกว่า ต่อมา เมื่อท่านพ่อคิดว่าลูกนี้อุ้มไม่ไหว เพราะอดข้าวมาสามวัน ก็ต้องคิด ปรึกษาภรรยาบอกว่าทิ้งซะดีไหม เราก็ยังหนุ่มยังสาว อยู่ไม่ช้าก็มีลูกใหม่ได้ สำหรับภรรยามีความรักลูก บอกว่าไม่ได้ ทิ้งไม่ได้ ต่อมาวันที่สี่เธอไม่ไหวจริง ๆ ก็ปล่อยภรรยาเดินออกหน้า ไปไกลหน่อยในป่า เธออยู่ข้างหลังเห็นภรรยาไปไกล ก็เข้าไปโคนต้นไม้ เอาใบไม้มารอง เอาลูกวางไว้ ทำเดินช้า ๆ กว่าจะทันภรรยาก็ไกล ภรรยาไม่เห็นลูก ก็ถามว่า ลูกไปไหน เธอก็บอกว่า เอาไปวางไว้ที่โคนต้นไม้โน้น ภรรยาบอกว่า ถ้าไม่มีลูกฉันไปไม่ไหว ก็กลับมาดูลูก พอดีลูกตายไปเสียแล้ว ไอ้นั่นเจตนาจริง ๆ เพราะฆ่าลูก แต่ความโกรธของเขาไม่มี มันไม่ไหวจริง ๆ ดูกฎของกรรมต่อไปนะ เรื่องนี้มีกฎของกรรมตลอด จะได้ทราบเรื่องกฎของกรรม
บ้านนายโคบาล
หลังจากนั้นเดินออกจากป่าก็เข้าถึงเขตเมืองโกสัมพี เมื่อเข้าเขตโกสัมพี เขาก็เข้าไปถึงบ้านนายโคบาล คำว่าโคบาลนี่คนเลี้ยงวัวขาย เลี้ยงโคนม เขามีวัวมาก วันนั้นบังเอิญบ้านนายโคบาลเขามีงานประจำปี เป็นการฉลองทำบุญประจำปี แต่การทำบุญประจำปีคราวนั้น ก็มีพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งที่เขานิมนต์ไว้ สองคนตายายออกจากเขตป่าแล้วหิวโซเซ ก็เดินเข้าไปในบ้านเขา เขาก็ถามว่าคุณสองคนมาจากไหน สองคนตอบว่า มาจากแคว้นอารัพภกะ เขาถามว่า จะมาทำไม บอกว่า อยากจะมาทำงาน รับจ้างทำงาน นายโคบาลเห็นคนท่าทางทรุดโทรมมาก จึงคิดว่าเรื่องทำงานเป็นของไม่ยาก ทีนี้บ้านนี้มีงานให้ทำ แต่ขอให้สองคนรับประทานอาหารเสียก่อน คงจะหิวมาก
เขาก็จัดข้าวมธุปายาส เขามีงานประจำปีของเขา ทำบุญประจำปี มีข้าวมธุปายาสมาก เลี้ยงคนจำนวนมาก เขานำข้าวมธุปายาสสองชามใหญ่ ๆ มาให้สองสามีภรรยา นี่ความจริงข้าวมธุปายาสนี่คนจนกินไม่ได้ เห็นข้าวมธุปายาสก็หม่ำไม่ยั้งตัว กินนะ ไม่เรียกว่ากินนะคุณนะ ต้องหม่ำนะ ว่าไม่ยั้งตัว สำหรับท่านภรรยา กินน้อย ๆ ค่อย ๆ กิน ประเดี๋ยวเดียว โกตุหลิกะกินหมดชาม ภรรยาก็ห่วงสามี ถามว่า พอไหม แกบอกว่ายังไม่พอ ภรรยาก็ส่งส่วนของเธอให้ เธอก็กิตต่ออีก ไม่ยั้งเหมือนกัน
สามีตายแล้วเกิดเป็นสุนัข
แต่ขณะที่กินข้าวมธุปายาส เวลานั้นนายโคบาลก็กินข้าวเหมือนกัน เขามีสุนัขตัวหนึ่ง เป็นพันธุ์พื้นเมือง เป็นตัวเมีย เป็นหมาที่เขาเลี้ยง ในเวลาที่เขากินข้าวเขาก็แบ่งอาหารที่เขากิน เป็นกับข้าวดี ๆ ให้สุนัขกิน เอาจานมาวางเข้าแบ่งอาหารให้กิน เป็นอาหารที่เขากินนะ โกตุหลิกะก็มีความรู้สึกว่า เราเป็นคนยังไม่มีอาหารดี ๆ อย่างนี้กิน สุนัขตัวนี้มันดีกว่าเรา กำลังชมเชยสุนัขอยู่แบบนั้น ไอ้โรคลมก็ดันขึ้นมาอืดตาย ตายปัจจุบัน อาศัยที่ใจเกาะสุนัขอยู่ก่อน จิตออกจากร่างก็เข้าท้องสุนัขทันที อาศัยที่เขาตายจากคน เป็นคนแล้วก็เป็นสุนัข จึงรู้ภาษามนุษย์มาก เกิดมาก็เป็นสุนัขแสนรู้
ในระหว่างนั้น ตามปกตินายโคบาลก็มีพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ที่เขามีความเคารพ เวลาพ้นจากฤดูฝนคือเดือนสิบสองมาแล้ว เขานิมนต์ท่านจากภูเขาคันธมาศน์ มาอยู่ประจำที่ภูเขาข้างบ้าน เช้าท่านก็ไปนิมนต์ท่านมาฉันภัตตาหาร พอเจ้าสุนัขตัวนี้โต เวลาเขาไปนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าเขาก็พาไปด้วย ไปถึงที่ตรงเป็นสุมทุมพุ่มไม้รกมาก นายโคบาลก็เกรงว่าสัตว์ร้ายจะอาศัยอยู่ เวลาที่พระปัจเจกพุทธเจ้าเดินมา อาจจะทำร้ายพระปัจเจกพุทธเจ้าได้ แกจึงเอาไม้ตีพุ่มไม้และก็ส่งเสียงดังเพื่อไล่สัตว์ ไอ้เจ้าสุนัขตัวนั้นก็จำ พอไปถึงปากถ้ำพระปัจเจกพุทธเจ้า นายโคบาลก็หมอบคลานเข้าไปหาพระปัจเจกพุทธเจ้า แสดงความรักแสดงความเคารพ
ต่อมาบางวันที่นายโคบาลไปนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าไม่ได้ ก็สั่งเจ้าสุนัขตัวนี้บอกเจ้าจงไปนิมนต์พระมาฉันเช้า เจ้าสุนัขตัวนั้นมันก็ไป ถึงที่พุ่มไม้ที่นายโคบาลเคยตี มันก็เห่าบ้างกระโชกบ้างเพื่อไล่สัตว์ พอไปถึงหน้าถ้ำพระปัจเจกพุทธเจ้าก็เห่าบ้าง หอนบ้าง เป็นการแสดงว่า เขามานิมนต์ พระปัจเจกพุทธเจ้าห่มจีวร แล้วก็ตามเจ้าสุนัขมาเข้าบ้าน บางวันพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็ลอง คิดว่าเจ้าสุนัขนี้จะรู้แน่หรือไม่รู้แน่ พอถึงทางเลี้ยวท่านทดลอง พอเจ้าสุนัขเลี้ยวท่านไม่เลี้ยวตาม เลี้ยวจะเข้าบ้าน ท่านเดินเลยไป เจ้าสุนัขก็วิ่งไปกั้นหน้า ในเมื่อท่านไม่หยุดมันก็เลยคาบสบงดึงมา ถ้าคาบจีวรดึงไม่มาได้นะคุณนะ ถ้าสบงไม่มาสบงหลุดนะ ต้องมา มันฉลาด ฉลาดพอ
ตายจากสุนัขเกิดเป็นเทวดา
ต่อมาเมื่อถึงฤดูฝน พระปัจเจกพุทธเจ้าต้องไปจำพรรษาที่ภูเขาคันธมาศน์ อาศัยเจ้าสุนัขรักพระปัจเจกพุทธเจ้ามาก ท่านก็ลานายโคบาลไป เมื่อลาเสร็จ ท่านก็ลาสุนัข แล้วท่านก็เหาะไป เหาะไปช้า ๆ สุนัขตัวนี้ก็มองตามพระปัจเจกพุทธเจ้า เห่าบ้าง หอนบ้าง แสดงถึงความอาลัย พอพระปัจเจกพุทธเจ้าสุดสายตา สุนัขก็ขาดใจตาย ทีนี้การนึกถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า ถ้าเป็นอย่างที่เราทำกันเขาเรียกว่า พุทธานุสสติกรรมฐาน เป็นการนึกถึงพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็เป็นพระพุทธเจ้าประเภทหนึ่งเหมือนกัน บรรลุเองเหมือนกัน มีบุญมาก อาศัยที่มีความเคารพรักในพระปัจเจกพุทธเจ้า บุญอันนี้เป็นปัจจัยให้สุนัขตัวนั้นตายจากความเป็นสุนัขไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ มีนางฟ้า 1,000 เป็นบริวาร อันนี้จากกฎของกรรมที่เก็นกุศล จำไว้นะว่าสุนัขก็ทำบุญ เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ทำบุญได้
ต่อมาตามบาลีท่านบอกว่า อาศัยที่เห่าที่หอน แสดงความเคารพ และป้องกันพระปัจเจกพุทธเจ้า เทวดาองค์นี้จึงมีนามว่า โฆษกเทพบุตร โฆษก เขาแปลว่า กึกก้อง เสียงดังมาก แค่กระซิบ ๆ เสียงดังไป 16 โยชน์ กระซิบนะ แย่มั้ง นี่ไม่ต้องใช้สถานีวิทยุ ถ้าหากหัวเราะเต็มที่ดังก้องทั่วดาวดึงส์ แต่ว่าอาศัยที่สัตว์นี้บำเพ็ญกุศลในกำลังสูง คือมีพุทธา
นุสสติกรรมฐาน นึกถึงพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ กำลังบุญใหญ่ แต่ว่าปริมาณบุญน้อย มีเวลาทำน้อย กำลังใจน้อย ไปเป็นเทวดาไม่ช้าไม่นานนัก ก็จุติจากความเป็นเทวดา ญาติโยมฟังตรงนี้จงคิดว่า เวลาที่เขาเป็นเทวดาอาศัยบุญที่เป็นกุศลนะ กรรมที่เป็นกุศลที่เรียกว่ากุศลกรรม คือเคารพในพระปัจเจกพุทธเจ้า บันดาลให้เขาเป็นเทวดา แล้วไอ้กรรมที่ทิ้งลูกให้ตายยังมาไม่ถึง ตอนนี้ถึงละ
กลับมาเกิดใหม่เป็นลูกโสเภณี
ต่อมาเขาจุติมาแล้ว มาเกิดในท้องหญิงโสเภณี สมัยนั้นเขาเป็นตระกูล ๆ หนึ่งที่มีความสำคัญเหมือนกัน ไม่เหมือนสมัยนี้ สมัยนี้เราเหยียดหยามว่าโสเภณีเป็นคนชั้นต่ำ แต่เวลานั้นเขาไม่เหยียดหยาม เขาถือว่าตระกูลนี้มีความสำคัญตระกูลหนึ่ง คราวนี้ตระกูลโสเภณีเขาไม่ต้องการลูกผู้ชาย เขาสืบตระกูลไม่ได้ เขาต้องการแต่ลูกผู้หญิง เธอมาเกิดแล้วก็มาเกิดเป็นลูกผู้ชาย พอคลอดจากครรภ์มารดา คุณแม่ก็ถามคนรับใช้ว่า ลูกฉันน่ะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย คนรับใช้ก็บอกว่าเป็นผู้ชาย ตอนนี้กรรมทิ้งลูกเข้ามาสนองเป็นครั้งที่หนึ่ง เธอก็บอกว่า คำว่าลูกผู้ชายฉันไม่ต้องการ เอามันใส่กระด้งเอาไปทิ้งที่กองหยากเยื่อ นี่ครั้งหนึ่งละนะ กรรมที่ทิ้งลูกมา
ขณะที่เขาใส่กระด้งไปทิ้งที่กองหยากเยื่อ มีสุนัขกับกาล้อมรอบ แต่ว่ากรรมที่มีความเคารพในพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นกุศลกรรมช่วย อันนี้บาปกับบุญเข้าสนองพร้อมกัน คำว่าช่วย หมายความว่า สุนัขก็ดี กาก็ดี จะเข้าใกล้เด็กคนนี้ไม่ได้เลย ทุกตัวเข้าใกล้ไม่ได้ ตอนสายวันนั้น ก็มีชายคนหนึ่งออกมาจากบ้านจะไปธุระ เห็นเด็กเข้า เห็นกากับสุนัขล้อมอยู่ก็มีความสงสัย จึงเข้าไปดู ไปเห็นเด็กเข้าจึงเกิดความรัก มีความรู้สึกว่าต่อนี้ไปเราได้ลูกชายแล้ว ก็นำเด็กไปบ้าน ท่านก็บอกว่าเป็นกฎของกรรมที่เป็นกุศล ที่มีความเคารพมีความรักเห่าหอนป้องกันพระปัจเจกพุทธเจ้า ตอนนี้กรรมของการทิ้งเด็กยังตามมาอีก คนนี้ยังถูกเขาทอดทิ้งจริง ๆ เพื่อฆ่านี่ 7 ครั้ง แต่ว่ากรรมที่มีความเคารพในพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ช่วย 7 ครั้งเหมือนกัน ช่วยครั้งหลังเป็นมหาเศรษฐี
ปุโรหิตทำนาย
ต่อมาวันนั้นปรากฎว่า ท่านมหาเศรษฐีในเมืองนั้น ตอนเช้าธรรมดามหาเศรษฐีต้องไปเฝ้าพระมหากษัตริย์เหมือนกับขุนนางต่าง ๆ ตอนเช้า ก่อนที่จะถึงวังพระมหากษัตริย์ก็พบปุโรหิตของพระมหากษัตริย์ก่อน มหาเศรษฐีถามว่า ท่านอาจารย์ เมื่อคืนนี้ดูดวงดาวหรือเปล่าว่าวันนี้จะมีอะไรบ้าง มีอะไรพิเศษบ้าง ท่านปุโรหิตก็บอกว่า ดูแล้ว วันนี้ไม่มีอะไรเป็นกรณีพิเศษ เว้นไว้แต่ว่าเด็กเกิดวันนี้ ต่อไปจะเป็นมหาเศรษฐีที่มีชื่อเสียงมากในวันหน้า พอดีก็เป็นการบังเอิญภรรยามหาเศรษฐีกำลังตั้งครรภ์แก่ ท่านมหาเศรษฐีก็บอกคนรับใช้ว่า กลับไปบ้านซิ ดูว่าเมียฉันออกลูกหรือยัง คนรับใช้ก็กลับมาบอกว่า ยังไม่ออกขอรับ
ท่านมหาเศรษฐีกลับจากเฝ้าพระราชาแล้วก็มานั่งคอยวันเวลา วันนั้นทั้งวันปรากฎว่าตั้งแต่เช้ายันเย็นภรรยายังไม่คลอดบุตร จึงเรียกสาวใช้มีนามว่ากาฬี เอ้า กาฬีเอาตังค์ไปพันกหาปนะ เท่ากับพันตำลึง ดูว่าเด็กคนไหนที่ปรากฎว่าเกิดวันนี้ที่มีอยู่ จงซื้อเขามาหนึ่งพันกหาปณะ พอดีกาฬีสาวใช้ไปที่บ้านนั้นก็ทราบ ไปสืบแล้ว เห็นว่ามีเด็กอยู่บ้านเดียว ก็ไปถามว่าเด็กคนนี้เกิดเมื่อไร แม่บ้านก็บอกเกิดวันนั้น เธอก็ต่อรองซื้อตั้งแต่ 1 ตำลึงไปถึง 1,000 ตำลึง เขาก็ให้ ให้แล้วมหาเศรษฐีก็นำมา มาทิ้งไว้อยู่หลายวัน มหาเศรษฐีก็เลี้ยงไว้ ประมาณเวลาล่วงเลยมาประมาณ 3-4 วันข้างหน้า ก็ปรากฎว่าลูกของแกออกมาเป็นผู้ชาย ทีแรกตอนที่นำมาเลี้ยงก็มีความรู้สึกว่า ลูกของเราเป็นผู้หญิง จะให้แต่งงานกัน ถ้าลูกเราเป็นผู้ชาย ไอ้เด็กคนนี้ต้องฆ่า เพราะมันจะแย่งตำแหน่งมหาเศรษฐีของลูกเรา ในเมื่อลูกของแกเกิดมาเป็นผู้ชาย อารมณ์คิดฆ่าก็เกิดขึ้น นี่กรรมที่ทิ้งเด็ก
มหาเศรษฐีให้นำทารกไปให้โคเหยียบ
ต่อมาวันหนึ่ง คืนวันหนึ่งเธอก็เรียกนางกาฬีเข้ามาบอกว่า ตอนเช้าตรู่ก่อนที่เขาจะปล่อยวัว วัวของแกมีหลายร้อยตัว มหาเศรษฐีนะ เอ็งจงเอาไอ้เด็กคนนี้ไปวางที่ปากคอกวัว แล้วเอาอะไรหมกไว้ เอาอะไรบังไว้ อย่าให้นายโคบาลเห็น อย่าให้คนเลี้ยงวัวเห็น เวลาเช้ามืด เขาปล่อยวัว วัวจะเหยียบเด็กคนนี้ตาย บอกว่า เจ้าจงดูด้วยว่าเด็กมันจะตายหรือยังไม่ตาย แล้วแจ้งให้ฉันทราบ นางกาฬีก็ไปทำแบบนั้น ไอ้นี่ถือว่าเป็นกรรมทิ้งลูก เมื่อเขาไปวางแล้ว ทีนี้กรรมที่มีความเคารพในพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ช่วย ฟังให้ดีนะ จำด้วยนะ เอาสองกรรมมาประสานกันเข้าเลยนะคุณนะ คือว่ากรรมที่ช่วยสงเคราะห์พระปัจเจกพุทธเจ้าก็มา เกิดเป็นว่าวัวนายฝูงตามปกติมันออกทีหลังเพื่อน แต่วันนั้นพอเขาเอาเด็กไปวางไว้ มันออกก่อนตัวอื่น ออกมาแล้วก็ยืนคร่อมเด็ก ไม่ยอมให้วัวต่าง ๆ เหยียบ วัวอื่นก็ต้องหลีกไป เมื่อวัวตัวอื่นไปแล้วมันก็ยังไม่ไป ยังคร่อมอยู่ พอดีนายโคบาลนายเลี้ยงวัวทราบเข้า เห็นแปลกใจจึงเข้าไปดู ไปเห็นเด็กเกิดความรักจึงคิดว่า เด็กคนนี้น่ารัก เราได้ลูกผู้ชายแล้ว นี่กรรมที่เคารพพระปัจเจกพุทธเจ้า
ให้เกวียนทับ
ต่อมา มหาเศรษฐีก็มีความรู้สึกว่า เด็กคนนี้ปล่อยไม่ได้ต้องฆ่า มันเป็นหนามยอกอก จะแย่งตำแหน่งมหาเศรษฐีของลูกเรา วันหนึ่งก็คิดว่า วันนี้เกวียนห้าร้อยเล่มจะออกจากเมืองโกสัมพี และทางออกก็มีอยู่ทางเดียว จะไว้ใต้ท้องเกวียนหรือไม่ก็ให้วัวที่มันลากเกวียนมาเหยียบตาย จึงเรียกนางกาฬี เธอจงนำเด็กคนนี้แต่เช้าตรู่ เช้ามืดยังมืด ๆ อยู่ เกวียนเขาออกเช้าตรู่ เอาไปวางไว้ที่รอยเกวียน วัวอาจจะเหยียบตายก็ได้ ล้ออาจจะทับตายก็๋ได้ แล้วเจ้าจงสังเกตุดูด้วย ก็เป็นอันว่าเช้าตรู่ก่อนหน้าเกวียนจะออกมา นางกาฬีไปวางไว้ตามนั้น ทีนี้เวลาเช้าตรู่เกวียนออก ไอ้เกวียนขบวนหน้าพอไปถึงเด็ก วัวไม่ยอมเดิน เจ้าของจะตีอย่างไรก็ตาม บังคับอย่างไรก็ตาม ก็ไม่ยอมเดิน เจ้าของเกวียนก็แปลกใจ ลงไปข้างล่างเห็นเด็กเข้า เกิดความรักในเด็ก เอาไปเป็นลูกอีก กรรมสองอย่างเข้ามาประสาน ที่เขาทิ้ง เป็นกรรมที่ทิ้งลูก ที่เจ้าของเกวียนเกิดความรัก เป็นกรรมที่เคารัพในพระปัจเจก
พุทธเจ้า
ทิ้งที่ป่าช้า
ต่อมามหาเศรษฐีก็คิดว่า เด็กคนนี้จะทำอย่างไรดี คิดว่าป่าช้าผีดิบมีอยู่ เราควรจะเอาเด็กไปทิ้งที่ป่าช้าผีดิบ ตามธรรมดาป่าช้าผีดิบไม่มีคนเข้าไป จึงบอกนางกาฬีที่เป็นหญิงรับใช้บอก วันพรุ่งนี้แต่เช้าตรู่ เธอจงเอาเด็กไปทิ้งที่ป่าช้าผีดิบ เอาไปทิ้งเข้าไป
ลึก ๆ หน่อย คนจะได้มองไม่เห็น ปกติคนไม่เข้าไปอยู่แล้ว นางกาฬีก็นำไปวางไว้ตามนั้น แต่ว่าเป็นการบังเอิญ ตอนเช้าวันนั้นคนเลี้ยงแพะนำฝูงแพะมาเลี้ยงใกล้ ๆ ป่าช้า เมื่อฝูงแพะเข้ามาใกล้ป่าช้าผีดิบ แพะตัวอื่นไม่ได้สนใจ แต่บังเอิญมีแพะลูกอ่อนตัวหนึ่งเข้าไปในป่าช้าผีดิบ ตรงเข้าไปย่อตัวเองเอานมให้เด็กกิน เห็นไหม ขนาดพุทธานุสสตินะ อย่าลืมนะทุกคนนะ ว่าบุญกับบาปมันเคียงกันเลย เรื่องนี้ดีมาก ๆ
คราวนี้เวลาตอนเย็น คนเลี้ยงแพะเห็นแพะหายไปตัวหนึ่งก็สงสัย เข้าไปดูในป่า เห็นแม่แพะตัวนั้นยืนย่อลง ก็เห็นเด็กอยู่ข้างล่าง กำลังกินนม เมื่อไปเห็นเด็กก็เกิดความรักว่า เวลานี้คิดว่าเราได้ลูกผู้ชายแล้ว อานิสงส์นะ เป็นเป็นอันว่า เอาเด็กคนนั้นไปเลี้ยง นางกาฬีสังเกตแล้วก็บอกท่านมหาเศรษฐีทราบว่าเด็กคนนี้ไม่ตาย คนเลี้ยงแพะเอาไปเลี้ยงอีกแล้ว ท่านมหาเศรษฐีก็มีหน้าที่จ่ายสตางค์ จ่ายอีกพันกหาปณะ ีกหนึ่งพันตำลึง เอ็งไปซื้อกลับมาหนึ่งพันตำลึง กาฬีก็ไปซื้อมา
ทิ้งเหว
ต่อมาก็ต้องใช้เวลา ไม่ใช่วันต่อวันนะ ใช้เวลานาน ท่านมหาเศรษฐีก็คิดไว้ว่าเหวลึกประมาณสองร้อยเมตรมีอยู่ ถ้าเอาเด็กคนนี้ไปทิ้งที่เหว ข้างล่างมีหินมันต้องตายกันแน่ ถ้าไม่กระทบหินตายก็ต้องอดตาย เพราะไม่มีใครเข้าไป ก็สั่งนางกาฬี บอกว่า วันพรุ่งนี้ก็เอาเด็กไปทิ้งที่เหวมันต้องตายแน่ นางกาฬีก็ไปทำแบบนั้น เป็นอันว่าบุญที่ป้องกันพระปัจเจกพุทธเจ้า และเคารพพระปัจเจกพุทธเจ้าก็บังเกิดขึ้นอีก คือว่าในเหวนั้นมีกอไผ่แต่ในหลังกอไผ่มีเถาวัลย์หนามากทับอยู่ พอเขาโยนเด็กลงไป เด็กตกลงในเถาวัลย์ เด็กไม่ตายอีก วันนั้นก็ปรากฎว่า มีคนสองคนพ่อลูกเป็นช่างจักสาน เผอิญตอกขาดมือจะต้องตัดไผ่เอาตอก จะเข้าไปในเหวนั้น ปรากฎว่าได้ยินเสียงเด็กก็สงสัย เอาไม้พาดขึ้นไปพบเด็ก ก็เกิดความรักคิดว่าเราได้ลูกผู้ชายอีกแล้ว นี่บุญช่วยนะ นางกาฬีเรียนให้เจ้านายทราบว่า ช่างจักสานไปนำมา ก็เป็นอันว่าท่านเศรษฐีต้องจ่ายอีกพันกหาปณะ
ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว
ไปซื้อมาแล้ว ทีนี้ปล่อยไว้นาน คิดไม่ออกว่าจะฆ่าแบบไหนดี เด็กคนนี้ชื่อโฆษก ชื่อตามเดิมเหมือนกับชื่อที่เป็นเทวดา เขาให้นามว่าโฆษก ต่อมาก็มีความรู้สึกว่า เรามีเพื่อนเป็นช่างหม้ออยู่คนหนึ่ง ก็จึงได้เข้าไปติดต่อนายช่างหม้อ ในเมื่อไปหาช่างหม้อแล้วเอาเงินไปพันกหาปณะ คุยไปคุยมาก็ให้สตางค์หนึ่งพันกหาปณะ นายช่างหม้อถามว่าให้เงินเพื่ออะไร เธอก็บอกว่าไม่ใช่เพื่อเรา คิดถึงกันเป็นเพื่อนกัน ฉันมีสตางค์มากฉันก็แบ่งให้ใช้ ก็เกิดความรักความชอบใจเกิดขึ้น
ต่อมาท่านมหาเศรษฐีก็บอกความต้องการว่า ฉันมีลูกชั่วอยู่คนหนึ่งมันเลวแสนเลว ดื้อด้านพาลเกเรทุกอย่าง ว่านอนสอนยาก หมายความว่ามันไม่เชื่อฟัง ต้องการจะฆ่าให้มันตาย แต่ว่าฉันจะฆ่าเองในฐานะที่เป็นพ่อก็เสียศักดิ์ศรีเสียชื่อ ใครเขารู้ก็แย่ ต้องวานมือนายช่างหม้อฆ่า นายช่างหม้อถามว่าจะให้ทำอย่างไร เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน วันพรุ่งนี้ฉันจะให้เด็กคนนั้นมา พอเด็กมาถึงเธอก็นำเข้าไปในห้องปิดให้มิดชิด ลับมีดให้คม ตัดเป็นท่อน ๆ เป็นท่อนเล็กท่อนใหญ่ใส่ตุ่มแล้วก็เผาไปกับหม้อเลย นายช่างหม้อก็รับคำ บอกว่าผมพร้อมรับปฏิบัติตามครับ เพราะได้สตางค์ไปพันกหาปณะ ท่านมหาเศรษฐีบอกว่าถ้าเธอทำได้ฉันจะให้รางวัลมากไปกว่านี้ ช่างหม้อตกลงตามนั้น
วันรุ่งขึ้นมหาเศรษฐีก็เรียกโฆษกลูกเลี้ยงมา แต่ความจริงโฆษกไม่ทราบว่าเป็นลูกเลี้ยงเขาคิดว่าเป็นลูกตัว เพราะไม่รู้ไม่มีใครบอกเขา บอกว่าวันนี้พ่อมีธุระกับนายช่างหม้อ สั่งงานเขาไว้ แต่สงสัยว่านายช่างหม้อจะทำหรือไม่ทำก็ไม่ทราบ แต่งานนั้นเป็นงานมีธุระด่วน เธอจงไปบ้านนายช่างหม้อว่างานที่พ่อสั่งไว้ทำแล้วหรือยัง ถ้ายังไม่ทำพ่อสั่งให้รีบทำด่วนทำไว ๆ เธอก็ไม่เข้าใจว่าเรื่องอะไรกัน ก็ไปตามคำสั่งพ่อ แต่อาศัยที่บุญบารมีมีอยู่ คือบุญเคารพพระปัจเจกพุทธเจ้ามีอยู่ ลงไปจากบ้านก็เจอะลูกชายจริง ๆ ของมหาเศรษฐี ลูกชายแท้ ๆ กำลังเล่นตีคลีกับเพื่อน แพ้เพื่อน แต่ตามปกติเขาบอกว่าโฆษกเก่งในการตีคลี แต่น้องชายก็บอกว่าพี่โฆษกมาช่วยฉันตี ฉันแพ้เขา โฆษกก็บอกว่าไม่ได้หรอก พ่อสั่งให้พี่ไปบ้านนายช่างหม้อ ลูกชายจริง ๆ ของมหาเศรษฐีก็บอกว่าไม่เป็นไร งานอะไรที่พ่อสั่งบอกฉัน ฉันจะไปแทน ฉันจะทำแทน พี่ตีคลีแก้ตัวฉันทีเถอะ ก็เป็นอันว่าลูกชายมหาเศรษฐีก็ไปแทนโฆษก โฆษกก็เล่นตีคลีแทนน้องชาย ถึงเวลาเย็นขึ้นมาเห็นว่าน้องชายยังไม่กลับก็ขึ้นบ้านก่อน
ท่านมหาเศรษฐีเห็นเข้าถามว่า เธอไม่ได้ไปบ้านนายช่างหม้อหรือ โฆษกก็บอกว่าไม่ได้ไป น้องชายไปแทนครับ เท่านั้นแหละท่านมหาเศรษฐีจะตายให้ได้ วิ่งแจ้นไปเลย ออกวิ่งแจ้นไปร้องตะโกนไป บอกว่าช้าก่อน ๆ ช่างหม้อ อย่าเพิ่งทำ อย่าเพิ่งทำ แกร้องจากบ้านแก พอถึงบ้านนายช่างหม้อ ช่างหม้อก็ดีจริง ๆ พอถึงแล้วปั๊บ ท่านมหาเศรษฐีร้องไปนั้น นายช่างก็บอกว่าเรื่องอื่นทิ้งไว้ก่อนครับท่านมหาเศรษฐี งานที่ท่านสั่งทำเรียบร้อยแล้วครับ เรียบร้อยไปนานแล้ว เผาไปเรียบร้อยไปนานแล้ว อีตานั่นจะบ้าตาย แกก็กลับบ้าน
ถือจดหมายมรณะ
ต่อมาไอ้การคิดฆ่ายังไม่หมด เห็นไหม บาปทิ้งเด็กน่ะ แต่ว่าที่พ้นไปเพราะพุทธานุสสติกรรมฐาน ใช่ไหม เคารพพระปัจเจกพุทธเจ้า ต่อมาก็เป็นครั้งสุดท้าย ครั้งสุดท้ายนี่คิดรวมตั้งแต่แม่ทิ้ง เป็นครั้งที่ 7 นะ ครั้งสุดท้ายนี่ด้วยนะ ครั้งสุดท้ายท่านมหาเศรษฐีก็คิดว่า เรามีบ้านส่วยอยู่สิบหลัง ต้องการให้คนเก็บส่วยฆ่านายโฆษกคนนี้ ก็เขียนจดหมาย โฆษกนั้นไม่รู้หนังสือ ก็คิดฆ่าอย่างเดียว ไม่ได้เรียนหนังสือ เขียนจดหมายบอกว่า บอกคนเก็บส่วยบอกว่า ลูกชายคนนี้ของเรามันเกเรมาก มีความประพฤติเลวมาก เมื่อมาถึงที่นี้แล้วให้ฆ่าทันที ฆ่าแล้วเอาศพทิ้งในส้วม ในหลุมส้วม
เขียนแล้วก็ห่อผ้าให้โฆษกถือไป เอาผ้าขาวม้าคาดพุงไป บอกว่านำจดหมายนี้ไปให้นายเสมียนเก็บส่วย โฆษกก็บอกว่าอาหารระหว่างเดินทางผมไม่มีครับ บ้านมันไกล ท่านมหาเศรษฐีก็บอกว่า ในเมืองชนบทจากนี้ไปพอดีวัน มีอนุเศรษฐีเพื่อนของฉันอยู่ที่นั่น ให้ไปแวะที่นั่น แล้วบอกว่าเป็นลูกชายฉัน เขาจะให้อาหารเอง โฆษกก็ไปด้วยความเชื่อในบาปที่ทิ้งเด็ก
บุพเพสันนิวาส
พอไปถึงบ้านนั้น บังเอิญอยู่แต่ภรรยามหาเศรษฐี ภรรยามหาเศรษฐีเห็นเข้าก็เกิดความรักคิดว่าเหมือนกับเป็นลูก นี่บุญช่วยนะ จำให้ดีนะ ฟังไปคิดตามไปด้วยนะ และบังเอิญท่นมหาเศรษฐีมีลูกสาวอยู่คน อายุตามบาลีบอกว่าสิบห้าหรือสิบหก ในเมื่อเป็นสาว พ่อและแม่ให้อยู่บนปราสาทเจ็ดชั้น บ้านชั้นที่เจ็ด และมีสาวใช้ประจำอยู่คนหนึ่ง ขณะที่โฆษกเข้าไปที่นั่น เมียท่านอนุเศรษฐีก็ตั้งใจจะเลี้ยงอาหาร ก็พอดีสาวใช้ของลูกสาว ลูกสาวกำลังใช้ให้ไปตลาดลงมาพอดี เธอก็เรียกให้ช่วยจัดอาหารเลี้ยงโฆษกด้วย จัดที่พักให้ด้วย เธอทำเสร็จก็ไปตลาด เมื่อไปตลาดกลับมาแล้วนายอยู่ชั้นบน เห็นว่าสาวใช้ไปช้าเกินไปก็เริ่มโกรธ พอเริ่มจะด่าสาวใช้ก็บอกว่าอย่าเพิ่งด่า ที่ช้าเกินไปไม่ใช่ไปเที่ยว ไม่ใช่แวะเที่ยว เห็นว่ามีแขกเข้ามาที่บ้าน แม่ใหญ่ใช้รับแขกก่อน
ลูกสาวเศรษฐีก็ถามว่าคนที่มาน่ะชื่ออะไร เธอก็ตอบว่า ชื่อโฆษก พอได้ยินว่าโฆษก ความรักก็เกิดทันที ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าลูกสาวอนุเศรษฐีคนนี้ คือภรรยาเดิมของเขาสมัยที่เป็นโกตุหลิกะ เมื่อโกตุหลิกะตายแล้ว ตามบาลีท่านบอกว่าเธอไม่ได้ไปจากบ้านนั้น เธอคิดว่าถ้าเราอยู่บ้านนี้ที่มีพระปัจเจกพุทธเจ้าเพื่อถวายทาน เธอก็ถวายทานด้วยข้าวหนึ่งทะนาน ต่อมาก็แสดงความเคารพ วันหลังเธอคิดว่าเราไม่มีของถวาย เราไหว้ท่านก็ดีแล้ว อาศัยที่ถวายทานกับพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยข้าวหนึ่งทะนาน มาเกิดเป็นลูกสาวท่านอนุเศรษฐี เป็นอันว่าเป็นคู่ครองเก่าที่เรียกว่าบุพเพสันนิวาส เพียงว่าได้ยินชื่อก็เกิดความรัก
ลูกสาวเศรษฐีแปลงสาส์น
เมื่อคนเผลอก็ย่องมาดูห้องของโฆษก เห็นโฆษกหลับ เห็นห่อผ้าก็มาแก้ดู อ่านจดหมายก็ตกใจคิดว่าคนเขลาอะไรแบบนั้น จดหมายคิดฆ่าตัวเองก็หอบมาด้วย จึงแปลงสาส์นเสียใหม่ เขียนถึงนายเสมียนบอกว่า ผู้ชายคนนี้เป็นที่รักสุดยอดของเรา เราต้องการให้แต่งงานกับลูกสาวอนุเศรษฐี คือว่า พอมาถึงให้จัดการปลูกบ้านให้อยู่อย่างมิดชิด ให้ปลอดภัย ตั้งแต่งรั้วรอบขอบชิดให้ดี ตั้งคนรักษาความปลอดภัยไม่น้อยกว่าเวรละสิบคน หลังจากนั้น ให้เอาเครื่องบรรณาการจากบ้านส่วยร้อยหลังมาเป็นทุนสำรองขอลูกสาวอนุเศรษฐีแต่งงาน แล้วพยายามรักษาให้ดี อย่าให้มีอันตราย เขียนเรียบร้อย สาวแปลงสาส์นนะ ไม่ใช่ฤาษีแปลงสาส์นนะ พอตื่นขึ้นเช้า โฆษกไม่ได้แก้หนังสือดูเพราะอ่านไม่ออก ไม่ได้สงสัย ก็เดินทางต่อไป
พอไปถึงปลายทาง นายเสมียนแก้จดหมายอ่าน ตกใจคิดว่า เจ้านายไว้วางใจเราขนาดนี้เชียวหรือ ขนาดให้จัดที่ให้ลูกชายอยู่ เป็นเถ้าแก่ขอลูกสาวอนุเศรษฐีให้ ใช่ไหม ก็ประกาศให้บรรดาเจ้าส่วยต่าง ๆ มาพร้อมกัน ต่างคนต่างก็ช่วยปลูกบ้านให้สองชั้น ทำรั้วรอบขอบชิดเป็นอย่างดี ตั้งเวรยามรักษาเวรละสิบกว่าคน ต่อมาก็นำเครื่องบรรณาการนายบ้านส่วยร้อยหลังไปขอลูกสาวอนุเศรษฐีแต่งงานเรียบร้อย นี่ลูกสาวอนุเศรษฐีท่านทราบความเป็นมาของโฆษกเป็นอย่างไร เมื่อแต่งงานอยู่บ้านใหม่ก็สั่งคนใช้ทั้งหมด คนรักษาทั้งหมดว่า คนที่มาหาท่านเศรษฐีคือสามีน่ะ จงอย่าให้พบสามีก่อน ให้พบฉันก่อน เพราะเขารู้เรื่องดี
มหาเศรษฐีส่งคนมาฟังข่าว
ต่อมาไม่ช้าท่านมหาเศรษฐีก็ให้คนมาถามข่าวว่า โฆษกเวลานี้ตายแล้วหรือยัง ให้ถามว่าโฆษกมีความเป็นอยู่อย่างไร ถามนายเสมียน อีตาคนเก็บส่วยก็บอกตามความเป็นจริงว่า เรียบร้อยดีครับ ปลูกบ้านสองชั้นให้อยู่ ตั้งเวรยามรักษาเป็นอย่างดี อีตาเศรษฐีฟังแล้วป่วยเลย ขนาดป่วยนี่ แต่ว่าต่อมาก็ส่งคนที่สองมาอีก คนที่สองมาก็สังเกตการณ์ เพราะว่าคนที่สองมา ภรรยาโฆษกก็ถามว่า ท่านมหาเศรษฐีสบายดีอยู่หรือ คนที่มาบอกว่า ท่านเริ่มป่วยหลายวันมาแล้ว เขาถามว่าป่วยมากไหม ก็บอกว่าป่วยน้อย ก็เลยบอกว่าเธอยังกลับไม่ได้นะ จะกลับได้ต่อเมื่อฉันสั่งให้กลับ
คนที่หนึ่งไม่กลับ ก็สั่งคนที่สองมาอีก ก็คนที่สองมาเธอก็ถามว่าป่วยมกาหรือยัง เขาก็บอกว่าป่วยมากกว่าเก่า แต่พอพูดรู้เรื่อง เขาก็สั่งเก็บไว้อีก สั่งให้พักยังไปไม่ได้ ต่อมาเมื่อมหาเศรษฐีป่วยหนักจริง ๆ พูดไม่รู้เรื่อง ส่งคนที่สามมา เมียโฆษกก็ถามว่าป่วยมากไหม ก็บอกว่าไม่ได้เรื่องแล้วครับ เธอก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นพักอยู่ก่อน ฉันจะเตรียมตัวไปเยี่ยม ตอนนี้ก็บอกกับโฆษกว่า บิดาของคุณกำลังป่วยหนัก ตอนที่จะไปเยี่ยมบิดาทั้งทีต้องมีเครื่องบรรณาการไปด้วย มีของไปฝาก นำของมีอะไรบ้างทุกอย่างกว่าจะเต็มเกวียนก็ใช้เวลาหลายวัน คนไข้ก็ป่วยหนักขึ้น
ขณะที่เดินทางไปครึ่งทางเธอก็บอกว่า มีของมาหนักอย่างนี้เกวียนเดินช้า พ่อก็ป่วยหนักเอาของไปเก็บก่อนเถอะ เกวียนจะได้เบา กลับไปซะอีก ใช่ไหม แล้วก็เดินทางกลับมา ก่อนจะถึงให้สัญญาณกับท่านโฆษกบอกว่า ถ้าไปถึงพ่อของคุณ คุณยืนที่ปลายเท้านะ ฉันจะนั่งข้าง ๆ กลางตัว ทำตามนั้นก็แล้วกัน พอเข้าไปถึงก็ทำตามนั้น ท่านมหาเศรษฐีเมื่อโฆษกเข้าไปถึง ก็ถามท่านทนายประจำบ้านว่า เจ้าโฆษกมันมาแล้วหรือยัง เขาก็ตอบว่ามาแล้ว ท่านถามว่าเวลานี้อยู่ที่ไหน เขาก็บอกว่ายืนอยู่ด้านปลายเท้า ท่านมหาเศรษฐีก็อยากจะพูดว่า ทรัพย์สมบัติทั้งหมดกูไม่ให้มึง ใช่ไหม แต่กลับพูดว่า ทรัพย์สมบัติกูให้ คราวนี้เจ๊งเลย ยายนั่นแกแสดงความเสียใจ เอาหัวกระแทกอกตายไปเลย แกแกล้งร้องไห้ใช่ไหม ร้องไห้หัวกระแทกอกมหาเศรษฐีตายเลย ก็เป็นอันว่าได้ทรัพย์สมบัติเป็นมหาเศรษฐี
เห็นไหม นี่กรรมที่เคารพพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็สรุปแล้วเป็นอันว่า โฆษกเทพบุตรลงมาเป็นลูกนางหญิงแพศยา แต่ในที่สุดก็เป็นมหาเศรษฐีตามนี้นะ ที่เอาเรื่องนี้มาคุยให้ฟังให้ทราบว่าเป็นกฎของกรรม กรรมดีจะมาช่วย กรรมชั่วจะทำลาย ให้ดูตัวอย่างโฆษกเทพบุตร สวัสดี.
*****************