หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    บุพกรรมของอปุตตกเศรษฐี (เศรษฐีผู้ไม่มีบุตร)
    บุพกรรมของอปุตตกเศรษฐี (เศรษฐีผู้ไม่มีบุตร)
     
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
     
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ)
    กัมมัง สัตเต วิภชตีติ
     
                            ณ โอกาสบัดนี้ อาตมภาพจะแสดงพระสัทธรรมเทศนาในกฎของกรรมคาถา เพื่อเป็นเครื่องโสรจสรงองคศรัทธาบารมี ที่บรรดาท่านนริศราทานบดีทั้งหลายได้พร้อมใจกันมาบำเพ็ญกุศลประจำปักษ์ในวันนี้ การที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายตั้งใจมาบำเพ็ญกุศลบุญราศี เพราะว่ามีความดีที่จะพึงปฏิบัติ เพราะทุกคนได้มีความเคารพในองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์เป็นเหตุ จึงได้พากันปฏิบัติตนตามคำแนะนำขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ ก็คือ
                            1. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน เพราะการให้ทานเป็นปัจจัยการตัดโลภะ ความโลภ เป็นบันไดขั้นหนึ่งที่จะไปนิพพาน
                            ประการที่ 2 สีลมัย ทุกคนตั้งใจสดับรับรสพุทธพจน์เทศนาในคำแนะนำ คำว่าศีลเสียก่อน คือรับศีลก่อน เพราะว่าศีลองค์สมเด็จพระชินวรทรงกล่าวว่า เป็นปัจจัยทำลายโทสะ ความโกรธ เป็นบันไดขั้นที่สองเข้าถึงนิพพาน
                            ประการที่ 3 บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ตั้งใจสดับรับรสพุทธพจน์เทศนาเป็นคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันเป็นเหตุการสดับรับรสพุทธพจน์เทศนานี้ องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์กล่าวว่า เป็นปัจจัยให้เกิดปัญญา เป็นการตัดโมหะ ความหลงโดยที่สุด ความตรงที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายตั้งใจปฏิบัติวันนี้ ก็คือหวังนิพพานเป็นเหตุ ว่าหนึ่ง ทานเป็นการตัดโลภะ ความโลภ สอง ศีลตัดโทสะ ความโกรธ   สามฟังเทศน์ ตัดโมหะ ความหลง เป็นการปฏิบัติตรงต่อพระนิพพาน ตามที่สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องการ
     
    อุปตตกเศรษฐี
     
                            สำหรับการเทศน์วันนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัทอากาศมันก็หนาวมากไปหน่อย คนเทศน์ก็หนาว พระเทศน์ก็หนาว คนฟังเทศน์ก็หนาว เป็นอันว่าถ้าเทศน์เวลาหนาว ๆ และถ้าเทศน์ธรรมะมากไปคนฟังก็หลับ รวมความว่าวันนี้ขอเทศน์พระสูตรเป็นเรื่องใหญ่ ขอนำพระสูตรเรื่องนี้ที่องค์สมเด็จพระจอมไตรตรัสไว้ คือเรื่อง อปุตตกเศรษฐี อปุตตกเศรษฐีแปลว่า เศรษฐีไม่มีบุตร เนื้อความก็มีอยู่ว่า
                            เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ เวลานั้นองค์สมเด็จพระบรมครูปรารถเศรษฐีคนหนึ่ง ที่มีนามว่าอปุตตกเศรษฐี ในการนั้น องค์สมเด็จพระมหามุนีประทับอยู่ในพระมหาวิหาร ปรากฎว่าตอนกลางวันเวลายังไม่เย็นยังไม่ค่ำ เป็นเวลาแปลกกว่าวันอื่นตามธรรมดา พระเจ้าปเสนทิโกศลบรมกษัตริย์ พระบาทท้าวเธอจะทรงเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเฉพาะเวลาใกล้ค่ำหรือเวลาค่ำ บรรดาพระสงฆ์เสร็จภารกิจแล้ว แต่ทว่าวันนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลได้เข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระประทีปแก้วเป็นเวลากลางวัน คือบ่ายเพียงเล็กน้อยเมื่อตะวันคล้อยไปไม่มาก เสร็จภารกิจก็เข้าไปแวะหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าเห็นพระเจ้าปเสนทิโกศลมาเวลาแปลก คือมาผิดเวลากว่าวันอื่น จึงมีพระพุทธฎีกาว่า มหาราชะ ขอถวายพระพรพระมหาบพิตรพระราชสมภาร วันนี้มีเวลาว่างจากกิจการงานหรือไรจึงมาแต่วัน
     
    สมบัติเป็นของหลวงผ่านมา 6 ชาติแล้ว
     
                            พระเจ้าปเสนทิโกศลก็กราบทูลองค์สมเด็จพระภควันต์ว่า ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า วันนี้ข้าพระพุทธเจ้าไปจัดการให้เจ้าหน้าที่ขนทรัพย์สมบัติของอปุตตกเศรษฐี คือว่าเศรษฐี มหาเศรษฐีที่ไม่มีบุตร ที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้จักดี เวลานี้เธอตายจากความเป็นคนไปแล้ว ครั้นเมื่อเธอตายจากความเป็นคนแล้ว ก็ประกาศหาญาติเป็นผู้รับมรดก แต่ปรากฎว่าไม่มีใครเป็นญาติของเธอ เธอไม่มีลูก เธอไม่มีหลาน เธอไม่มีใครทั้งหมด ฉะนั้น เมื่อทรัพย์ทั้งหลายของบุคคลใดก็ตาม ไม่ปรากฎทายาทเป็นผู้รับมรดก จึงจะให้บรรดาข้าทาสชายหญิงทั้งหลายเป็นอัสระ แล้วก็ขนทรัพย์ของมหาเศรษฐีนั้น ต้องขนทั้งสิ้นเวลา 7 วันจึงจะหมด เมื่อทรัพย์หมดวันนี้ ข้าพระพุทธเจ้าจึงได้แวะมาหาองค์สมเด็จพระชินสีห์
                            แล้วพระพุทธเจ้าก็กล่าวว่า มหาราชะ ขอถวายพระพรพระมหาบพิตรพระราชสมภาร แต่ความจริงเศรษฐีคนนี้เมื่อเป็นมหาเศรษฐีแล้ว ตายแล้วก็ต้องนำทรัพย์เข้าเป็นของหลวงนั้นถึง 7 ชาติด้วยกัน คือชาติก่อน ๆ ผ่านมาแล้ว 6 ชาติ ก็มีสภาพแบบนี้ เมื่อเธอเป็นมหาเศรษฐีแล้วตายก็ไม่มีใครรับมรดก คือไม่มีลูกรับมรดก ถ้าไม่มีลูกเขาก็ถือว่า หลานที่ใกล้ชิดมีไหม หลานที่ใกล้ชิดก็มี แต่ว่าหลานนี้ต้องเป็นลูกของลูก ในเมื่อไม่มีลูกก็ต้องไม่มีหลาน เมื่อลูกไม่มีจะรับมรดก หลานไม่มีรับมรดก ก็ต้องตกเป็นของหลวง พระพุทธเจ้าบอกว่า อาการอย่างนี้เป็นมาแล้ว เป็นชาติที่ 7 แล้ว สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า มหาราชะ ขอถวายพระพรพระมหาบพิตรพระราชสมภาร เหตุความเป็นมาของมหาเศรษฐีมีดังนี้
     
    กรรมที่ทำให้ไม่มีลูก
     
                            คือว่าในกาลนานมาแล้ว ในสมัยองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว คือพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ เศรษฐีคนนี้เกิดขึ้นมาเป็นคนแบบนี้ เป็นคนร่ำรวยแบบนี้ แต่ทว่าเขามีพี่ชายอยู่คนหนึ่ง ต่อมาพี่ชายก็มีลูกเล็ก ๆ คนหนึ่ง ในเมื่อพี่ชายมีลูกเล็ก ๆ พี่ชายก็ตายหมดอายุขัย หลังจากนั้นเขาจะไปทางไหนเขาก็นำลูกชายของพี่ชายไปด้วย สำหรับลูกชายของพี่ชายนั้นก็เป็นเด็กพูดเก่ง เป็นเด็กที่มีความฉลาด เมื่อไปถึงทิศไหนพบใครก็บอกว่า
                            “นี่คุณอาของผมครับ รถที่ขี่มานี่เป็นรถของพ่อของผม บ้านที่ผมอยู่ก็เป็นบ้านของพ่อผม ทรัพยฺ์สินต่าง ๆ ก็เป็นทรัพย์สินของพ่อผม”
                            เธอก็พูดอย่างนี้ตลอดเวลา ปรากฎว่าต่อมามหาเศรษฐีคนนี้ซึ่งเป็นอาต้องเลี้ยงเด็กคนนั้น ก็มาคิดในใจว่า เจ้าหลานชายคนนี้ ในเมื่ออายุมันแค่เล็ก ๆ แค่ 3-4 ปี ขณะนี้ มันยังพูดอย่างนี้ว่า โน่นก็ทรัพย์ของพ่อผม นี่ก็ของพ่อของผม ทุกสิ่งทุกอย่างของพ่อมันทั้งหมด ขนาดที่เป็นเด็กมันพูดอย่างนี้ แล้วถ้าโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่เป็นหนุ่มเป็นสาว ทรัพย์สมบัติทั้งหลายเหล่านี้ทั้งหมดเราก็ไม่มีสิทธิ์จะครอง เพราะเจ้าเด็กคนนี้มันก็ต้องครองทรัพย์สินแทนพ่อของมัน แต่ความจริงเราเป็นน้องเราก็มีสิทธิ์รับมรดก แต่ว่าอาการอย่างนี้ที่จะปรากฎถึงความเดือดร้อนจะมีกับเรา จึงหาทางตัดไฟแต่ต้นลม วันหนึ่งก็นำเด็กคนนี้ นำหลานชายเข้าไปเที่ยวในป่าหลังบ้าน พอไปที่ลับหูลับตาของคนแล้ว ก็จัดการบีบคอเด็ก บีบคอเสียจนตายก็ซุกไว้ เอาใบไม้ทับแล้วกลับบ้าน
                            องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า กฎของกรรมอย่างนี้ติดตามเขามานาน แต่องค์สมเด็จพระพิชิตมารยังไม่กล่าวถึงกฎของกรรมชั่วหรือบาปในตอนนี้ องค์สมเด็จพระมหามุนีก็กล่าวว่า การที่เขาจะเป็นมหาเศรษฐีได้เพราะมีบุญเก่าอย่างนี้
     
    บุญที่ทำให้เป็นมหาเศรษฐี
     
                            ท่านกล่าวว่า ในสมัยครั้งหนึ่ง มีพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ท่านมาบิณฑบาตรใกล้บ้านของเขา เข้ามาในเขตของบ้าน เจ้าของบ้านคนนี้ปรากฎว่าไม่เคยให้ทานมาในกาลก่อน ขึ้นชื่อว่าต้องควรจะให้อย่างนั้นกับคนนั้น ควรจะให้อย่างนี้กับคนนี้ก็ดี   ควรจะนำของถวายพระก็ดี ไม่เคยออกปากมาก่อน คือไม่เคยให้ทาน แต่ทว่าวันนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านเสด็จมา เขาก็เกิดความรำคาญว่า สมณะโล้นคนนี้พยายามรบกวนเราอยู่เสมอ แต่ความจริงท่านไม่เคยมา เขาจึงกล่าววาจาด้วยความไม่ตั้งใจว่า เอ้า..ใครอยากจะให้อะไรก็ให้ไปก็แล้วกันนะ  แล้วเขาก็ลุกหนีไปด้วยความรำคาญ
                            เป็นอันว่าแม่บ้านคือภรรยาของเขา ได้ฟังคำว่าใครจะให้อะไรกับพระก็ให้เถิดอย่างนี้ เธอคิดว่าถ้อยคำนี้ไม่เคยมีแก่บุคคลคนนี้ แต่ทว่าวันนี้คนนี้ใจดี แนะบอกให้เราให้อะไรก็ให้ได้ จึงนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าเข้ามาในบ้าน นิมนต์ท่านนั่งแล้วก็รับบาตร เมื่อรับบาตรแล้วก็จัดอาหารอย่างดีที่สุดที่ตนเองก็ไม่ค่อยจะได้กินนัก เป็นธรรมดาของชาวบ้านที่เวลาที่จะทำบุญ บางทีตนเองก็ไม่มีอะไรจะกิน มีเล็ก ๆ น้อย ๆ มีผักบ้าง มีพริกบ้าง มีปลาทูบ้าง บางทีปลาทูก็ไม่มีบ้าง กินกันไปแค่อิ่ม ๆ แต่ทว่าเวลาจะทำบุญนี้จริง ๆ จัดอาหารที่มีรสเลิศที่ดีที่สุดที่คิดว่าจะพึงมีได้ บางทีตนเองก็ไม่ได้กินอย่างนั้น นี่เป็นเวลาของคนที่ทำบุญด้วยศรัทธาแท้ เมื่อแม่บ้านจัดอาหารอย่างดีเสร็จ ก็บรรจุลงในบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อใส่ของเต็มเป็นที่พอใจแล้ว ก็ประเคนพระปัจเจกพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าก็รับบาตรไป ก็เดินออกไปจากบ้าน ก็พอดีนายบ้านคือพ่อบ้านเดินสวนทางมาพอดี
     
    ทานที่ให้ขาดเจตนาแต่ก็มีอานิสงส์
     
                            เขาก็คิดในใจว่า สมณะโล้นคนนี้ได้อะไรบ้างนี่ เขาไม่เต็มใจ จึงถามท่านว่า ท่านได้อะไรมาบ้าง พระปัจเจกพุทธเจ้าก็บอกว่า ได้ตามที่เขาให้มา เขาจึงขอดูบาตร พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ให้ดูบาตร เขามีความรู้สึกว่าอาหารที่มีรสเลิศ อาหารชั้นเลิศดี ๆ ทั้งหมดที่คนในบ้านให้พระปัจเจกพุทธเจ้าไป รู้สึกเสียดายในอาหาร ขาดเจตนาหลัง แล้วก็มีความรู้สึกในใจว่า อาหารอย่างดีอย่างนี้ไม่ควรจะมีแก่สมณะโล้น เพราะว่าสมณะโล้นนี่กินแล้วก็นอน ไม่มีการมีงาน ไม่เป็นประโยชน์กับเรา ถ้าหากอาหารทั้งหลายเหล่านี้ทำให้แก่ทาสกรรมกรของเราจึงจะมีประโยชน์กว่า เพราะว่าเธอกินแล้วเธอก็ทำงานให้กับเรา เขาคิดอย่างนี้นะ แค่คิดแต่ว่าเขาไม่ได้ทำ คือไม่ได้แย่งข้าวมา หลังจากนั้นแล้วก็ส่งบาตรให้พระปัจเจกพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าก็หลีกไป เขาก็กลับเข้ามาบ้าน
                            องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า มหาราชะ ขอถวายพระพรพระมหาบพิตรพระราชสมภาร เพราะอาศัยบุญที่เขาบำเพ็ญกับพระปัจเจกพุทธเจ้าโดยไม่มีการเต็มใจ นั่นคือเขาไม่ได้ให้กับมือของเขา ที่เขาพูดไปก็กล่าววาจาลอย ๆ ว่า ใครจะให้อะไรก็จงให้ แต่เขาพูดด้วยความไม่เต็มใจ ด้วยความไม่อยากจะให้ หลังจากที่พระปัจเจกพุทธเจ้ารับทานแล้ว เขาก็ยังมีความเสียดายว่า ให้กับสมณะโล้นไม่มีประโยชน์ ไม่ทำงานให้กับเรา ถ้าให้กับทาสกรรมกรของเราจะมีประโยชน์กว่า เธอกินอิ่มแล้วก็ทำงานให้กับเรา นี่ความจริงอาการอย่างนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกคนอาจจะคิดว่า บุญนี้ไม่มีอานิสงส์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า บุญนี้ก็มีอานิสงส์
                            1. เขาไม่ตั้งใจ (จำให้ดีนะ)
                            2. พูดสั่งลอย ๆ ว่า ใครจะให้อะไรก็ให้ โดยไม่มีความเต็มใจ
                            3. มีความรู้สึกเสียดาย เวลาที่พระปัจเจกพุทธเจ้ารับไปเห็นว่าเป็นของดี
                            อันนี้ ถ้าเราจะถามกันระหว่างนักเทศน์ ก็ตอบว่าไม่มีอานิสงส์ แต่ความจริงตอบอย่างนี้ผิด
                            พระพุทธเจ้ากล่าวว่า พระมหาบพิตรพระราชสมภาร บุญอย่างนี้ก็มีอานิสงส์ เป็นเหตุให้บุคคลคนนี้พร้อมด้วยครอบครัวที่บำเพ็ญกุศลแล้ว ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกถึง 7 ครั้ง เห็นไหม แต่ว่าการเป็นเทวดาของบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย การบำเพ็ญกุศลโดยไม่เต็มใจ สภาพความเป็นทิพย์ก็เศร้าหมองเล็กน้อย แต่ว่าถึงอย่างไรเขาก็เป็นเทวดา ผัวก็เป็นเทวดา เมียก็เป็นนางฟ้า ลูกเต้าก็เป็นเทวดาบ้าง นางฟ้าบ้างร่วมกัน ตลอดจนกระทั่งคนรับใช้ที่เขาช่วยจัดการงาน จัดอาหารให้พระปัจเจกพุทธเจ้า ช่วยกันบรรจุในบาตร ทุกคนก็เป็นนางฟ้าเป็นเทวดาร่วมกัน พระพุทธเจ้ากล่าวว่า บุญประเภทแค่เล็กน้อยเท่านี้ ถึงเขาไม่เต็มใจ ก็บันดาลให้เขาเกิดเป็นเทวดาเป็นถึงนางฟ้า
    7 ครั้ง แล้วก็ลงมาเป็นมหาเศรษฐีในเมืองมนุษย์ ในกรุงสาวัตถีนี้จริง ๆ โดยเฉพาะเมืองนี้ 7 ครั้งเหมือนกัน
     
    ผลของทาน
     
                            แต่ละคราวที่เขาเป็นมหาเศรษฐี องค์สมเด็จพระมหามุนีตรัสอย่างนี้ บุคคลคนนี้ใช้ของดีไม่ได้ กินของดีที่มีรสเลิศไม่ได้ กินข้าวปกติไม่ได้ กินข้าวมีเม็ด ๆ เต็มเม็ดไม่ได้ กินข้าวหักก็ไม่ได้ ต้องกินปลายข้าวละเอียด อาหารที่เขากินประจำนั้นก็คือ ปลายข้างต้มกับน้ำผักดองเป็นกับ เขากินได้เท่านี้ เอร็ดอร่อยมากเป็นที่พอใจ ครั้นเวลาคนทั้งหลายนำถาดทองคำใส่อาหารมาให้ เขาก็หาว่าประชดประชันเขา เขาก็ไล่ขว้าง ไล่ตีบ้าง ถ้านำผ้าใหม่ ๆ มาให้ เขาก็หาว่าประชดประชันเขา เขาไล่ขว้าง ไล่ตีบ้าง ก็โยนทิ้งไป ต้องนุ่งผ้าเก่า ๆ ที่ชาวบ้านใช้ซ้ำแล้วซ้ำอีกนั่นแหละ เขานุ่งได้ ร่มธรรมดาที่คนใช้จะกางร่มให้เวลาร้อน เขาก็ไม่ต้องการ ไล่ทุบไล่ตี หาว่าประชดประชัน แต่ว่าเขานั้นจะใช้แค่กิ่งไม้ที่มีใบไม้บ้างบังแดดเท่านั้น เป็นที่พอใจ
                            องค์สมเด็จพระจอมไตรกล่าวว่า ความเป็นมหาเศรษฐีที่มีขึ้นมาได้ เพราะอานิสงส์ที่มีคำสั่งให้ทุกคนใครก็ได้ ใส่บาตรแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ว่าเขาสั่งด้วยความไม่เต็มใจ แต่ว่านั่นเป็นคำสั่ง ผลทานเกิดแก่เขา อันนี้ บันดาลให้เขาเป็นมหาเศรษฐี แต่ว่าการเกิดเป็นมหาเศรษฐีแต่ละครั้งก็ใช้ของดีไม่ได้ เพราะการไม่เต็มใจถวายพระ ความไม่เต็มใจนี่ แทนที่จะกินอาหาร มีมธุปายาส เป็นต้น นี่กินไม่ได้ อาหารที่ข้าวที่เป็นเม็ดเต็มก็กินไม่ได้ เม็ดหักก็กินไม่ได้ ต้องกินปลายข้าวกับน้ำผักดอง นี่การถวายภัตตาหารแก่บรรดาพระสงฆ์ พระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นประธาน อันนี้เพราะความไม่เต็มใจ
                            ต่อมา พระพุทธเจ้าก็ทรงบอกว่า เขาไม่มีบุตร เกิดทุกชาติ 7 ชาติ นี่เขาไม่มีบุตร เพราะโทษฆ่าลูกของพี่ชาย การฆ่าลูกชายของพี่ชายนี่เป็นปัจจัยให้เขาเองไม่มีบุตร ไม่มีใครรับมรดก ฉะนั้น การเป็นมหาเศรษฐีในเมืองสาวัตถีของเขา 7 ครั้ง ลงจากความเป็นเทวดามาบุญหย่อนหน่อยหนึ่งก็มาเกิดเป็นมหาเศรษฐี ตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดเป็นเทวดา ลงจากเทวดาก็เป็นมหาเศรษฐี สลับกันไปสลับกันมาอย่างนี้เป็นครั้งที่ 7 เพราะกำลังบุญที่ถวายกับพระปัจเจกพุทธเจ้าครั้งเดียว โดยความไม่เต็มใจ
     
    กรรมเก่าส่งผล
     
                            แต่องค์สมเด็จพระจอมไตรก็บอกว่า เขาเป็นมหาเศรษฐีอย่างนี้เพราะอาศัยการไม่มีบุตร เมื่อเขาตายแล้วต้องขนทรัพย์เป็นของหลวง 7 ชาติ ที่ผ่านมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า การที่เขาเป็นเทวดาเกิดบนสวรรค์ได้ถึง 7 ครั้ง แล้วเกิดเป็นมนุษย์ 7 ครั้ง สลับกันไปสลับกันมาอย่างนี้ กฎของกรรมที่เป็นอกุศลยังไม่ให้ผล นั่นคือเป็นผลของความดีที่ถวายทานกับพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง ๆ ที่ไม่เต็มใจ ต่อมาชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย นั่นคือ เขาลงมาจากความเป็นเทวดาแล้วก็เกิดเป็นคน เป็นมหาเศรษฐี ต้องใช้ของเลว ๆ กินของเลว ๆ แบบนี้ เพราะไม่เต็มใจถวายทาน
                            เมื่อเขาตายชาตินี้แล้ว องค์สมเด็จพระพิชิตมารก็กล่าวกับพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า มหาราชะ ขอถวายพระพรพระมหาบพิตรพระราชสมภาร ต่อแต่นี้ไปที่เขาตายแล้วนั้น เขาไม่กลับไปเป็นเทวดาอีก เพราะบุญบารมีที่ถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นหมดแล้ว  ครั้งที่ 7 หมดกัน เกิดเป็นเทวดา 7 ครั้ง เกิดเป็นคน 7 ครั้ง   ถวายทานครั้งเดียวหมดกัน บุญหมดไป ต่อนี้เขารับผลกฎของกรรมใหญ่ คือฆ่าลูกของพี่ชาย เวลานี้มหาเศรษฐีคนนี้คืออปุตตกเศรษฐี ไปเกิดในนรกชื่อว่า  มหาโรรุวนรก เป็นนรกขุมที่ 7 มีอายุเสวยกฎของกรรมอยู่ที่นรกขุมนั้นสิ้นเวลาครึ่งกัป เมื่อพ้นจากกฎของกรรมในนรกขุมที่ 7 แล้ว ก็ต้องผ่านนรกบริวาร 4 ขุม เวลานับไม่ได้ ก็เรียงลำดับมากว่าจะเกิดเป็นคนก็นาน
                            นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน วันนี้นำพระสูตรเรื่องสั้น ๆ มาคุยสู่กันฟัง เพราะว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย จะได้พึงทราบกฎของกรรมว่า กรรมที่เราทำความดีคือ ทำบุญ บุญ ก็แปลว่า ดี หรือกรรมที่กระทำความชั่ว คือ บาป มันไม่ทิ้งจากเราไป ขณะใดที่กรรมที่เป็นกุศลให้ผลอยู่ เวลานั้นเราก็มีความสุข ถ้าตายจากความเป็นคนก็ไปเสวยความสุขในสุคติ มีสวรรค์บ้าง พรหมบ้าง เป็นต้น ทั้งนี้ ถ้ากำลังใจยังไม่ถึงที่สุด แต่ถ้าหากว่าบุญนั้นยังไม่ส่งผลที่สุดเพียงใด ถ้าบุญคลายตัวลงมาเป็นเทวดาหรือเป็นนางฟ้าไม่ได้ อ่อนไป บุญอ่อนไปก็มาเกิดเป็นคน หลังจากเกิดเป็นคน ประกอบความดีบ้างเล็กน้อยพอสมควร อาศัยบุญเก่ายังไม่สิ้นไป ตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดเป็นเทวดาเกิดเป็นนางฟ้า อย่างนี้ย่อมมีอยู่ อาการอย่างนี้เป็นปัจจัยให้บุคคลตกอยู่ในความประมาท คิดว่าการเป็นเทวดา การเป็นนางฟ้าของเราจะยืนนาน จะทรงตัวนานตลอดกาลตลอดสมัย แต่ก็ลืมไปว่ากฎของกรรมเก่าของเรามีที่เป็นอกุศล คือ
                            1. การฆ่าสัตว์ เรามี
                            2. การลักทรัพย์ ขโมยทรัพย์ ยักยอกทรัพย์ อาจจะมีก็ได้
                            3. กาเมสุมิจฉาจาร เราอาจจะมีอยู่บ้าง
                            4. การพูดมุสาวาท เราอาจจะมีอยู่บ้าง          
                            5. การดื่มสุราเมรัย เรายังมีอยู่
                            ว่าเฉพาะ ปัญจเวร 5 ประการนี้ยังหยาบเกินไป กฎของกรรมที่ทำให้เราตกนรกยิ่งกว่านี้มีอยู่อีกฝ่ายธรรมะ แต่ก็จะยังไม่พูดในวันนี้ เพราะเวลามันเหลือนิดหน่อย ฉะนั้น ในเมื่อความดีที่เราทำอยู่ แต่กฎของกรรมความชั่วยังไม่ให้ผล เราก็หลงระเริงคิดว่าเรามีความสุข ต่อไป ถ้าเราเผลอเมื่อไร หรือว่ามีความประมาท คิดว่าความดีมีมากพอแล้ว ไม่ส่งเสริมต่อ ถ้ากฎของความดีนั้นหมดไปเมื่อไหร่ ก็เหมือนกับอปุตตกเศรษฐีต้องลงนรก ใกล้อเวจี เหลืออีกขุมเดียวก็ถึงอเวจี การทำบาปที่เป็นอาจิณกรรม ที่เป็นปาณาติบาต เป็นต้น สามารถดลบันดาลให้คนลงอเวจีได้
     
    คุณพระรัตนตรัย
     
                            โดยเฉพาะอย่างยิ่งของสงฆ์หรือของวัด ไม่ว่าวัตถุใด ๆ แม้จะเป็นกระเบื้องแตก ๆ เล็ก ๆ ชิ้นเล็ก ๆ ก็ถือว่าเป็นของสงฆ์ ถ้าบุคคลนำไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากสงฆ์ คำว่าสงฆ์นี่ ต้องสงฆ์หรือว่าพระเห็นชอบพร้อมกัน ไม่ใช่พระองค์ใดองค์หนึ่ง หรือไม่ใช่เจ้าอาวาสนำของสงฆ์ไปโดยที่สงฆ์ไม่เห็นชอบด้วย ท่านทั้งหลายลงอเวจีมหานรกเลย กฎของกรรมอย่างนี้อาจจะมีอยู่กับบรรดาท่านพุทธบริษัท ฉะนั้น ขอให้ทุกคนจงอย่างประมาท หาทางหนีกฎของกรรมของอกุศลกรรม คือความชั่ว  ว่าคนทุกคนย่อมมีความชั่ว ตั้งใจคิดว่า ถ้าตายคราวนี้ ผลของความชั่วต้องไม่มีกับเรา คือความชั่วน่ะมีอยู่ แต่ผลไม่ได้เกิดกับเรา เราทำอย่างไร อันดับแรกก็ตั้งใจนึกถึงคุณพระรัตนตรัย คือคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ เป็นที่พึ่ง
                            ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงแนะนำว่า ทุกคนพยายามทำบุญบ่อย ๆ คำว่าทำบุญนี้ ท่านพุทธบริษัทก็ไม่จำเป็นต้องสิ้นเงินสิ้นทองเสมอไป เรามีอาหารเราก็ถวายอาหาร เรามีข้าวเราก็ถวายข้าว มีผักเราก็ถวายผัก มีพริกถวายพริก ถ้าเผอิญมันไม่มีจริง ๆ ข้าวทัพพีเดียวก็ไม่ยอมจะมี มีบ้างพอกินบ้างเล็กน้อยก็ไม่สมบูรณ์บริบูรณ์ ทำยังไงจะเป็นบุญ ก็ใจกำลังใจของเรา บรรดาท่านพุทธบริษัท น้อมใจเคารพในองค์สมเด็จพระจอมไตร คือพระพุทธเจ้า พอตื่นขึ้นเช้าปั๊บ กว่าจะผ่านจากที่นอนไป ก็เข้าห้องพระหรือว่าพระมีอยู่ที่หัวนอน ตั้งใจกราบพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพ จะว่า นะโม ตัสสะ หรือไม่ว่าก็ตามใจ ให้ใจเคารพก็แล้วกัน ทุก ๆ ครั้ง ที่เราจะจากที่นอนไป ตั้งใจไหว้พระด้วยความเคารพ ด้วยความจริงใจ เพียงเท่านี้ทุกวัน ต่อไปจิตของท่านจะชิน พอจิตนึกถึงพระพุทธรูปเป็นการชินแล้ว คำว่าชิน นั้นหมายถึงฌาน
                            ฌาน คืออารมณ์ชิน มันนึกจนชิน ถึงเวลาคิดว่าเวลานี้เป็นเวลากราบพระของเรา เราก็กราบ ต่อไปถ้าไปอยู่ในสถานที่ใดที่อื่นจากบ้านของเรา ถึงเวลานั้นเราก็คิดว่า เวลานี้เป็นเวลาจะกราบพระ ถึงแม้ไม่มีพระพุทธรูปอยู่ เราก็ตั้งใจกราบด้วยความเต็มใจ ถ้าเป็นอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ถือว่าทุกท่านมีฌานในพุทธานุสสติกรรมฐาน

    • Update : 30/4/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch