หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    บุพกรรมของพระนางสามาวดี
    บุพกรรมของพระนางสามาวดี, ขุตฉุตตรา
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
     
                            คนที่เกิดมาในโลกนี้ จะมีบุญวาสนาบารมีแบบไหนก็ตาม ต้องถูกกฎของกรรมเดิมลงโทษ ท่านจงอย่าคิดว่าเราเจริญกรรมฐานแล้ว เราให้ทานแล้ว จะเกิดมาใหม่ มีแต่ความสุข อันนี้ขอยืนยันว่า คนที่ถวายสังฆทานแล้วมาเกิดใหม่เป็นมหาเศรษฐีทุกคน ถ้าไม่เชื่อให้มาต่อว่าฉัน จะเอาสัญญา จะปรับไหม ยังไงก็ยอม แต่แกต้องตายไปก่อนเถอะ ตายไปแล้วไปเป็นเทวดาเป็นนางฟ้าที่ไหนก็ไปเถอะ แล้วกลับมาเป็นคนใหม่ ถ้าไม่เป็นมหาเศรษฐีแล้ว จะชำระหนี้ให้
                            จะยกตัวอย่างให้ฟัง ถึงแม้จะเป็นพระอริยเจ้าก็ไม่พ้นกฎของกรรม เอาเรื่องย่อ ๆ เวลามีนิดเดียว เรื่องของพระนางสามาวดี มีหญิงคนใช้คนหนึ่งเป็นหญิงหลังค่อม รูปร่างหน้าตาดี ๆ ใช้ออกจากวังไม่ได้ ก็ได้แต่หญิงค่อมคนเดียวใช้ไปซื้อดอกไม้ หญิงหลังค่อมคนนี้ชือว่า ขุตฉุตตรา  แกก็เป็นคนฉลาด วันหนึ่งพระเจ้าอุเทนให้ค่าดอกไม้พระนางสามาวดีวันละ 8 ตำลึง แต่ว่าแม่ค่อมนี่ก็บอกแล้วว่าฉลาด ไม่ใช่คนโง่ แกก็เก็บไว้ 4 ตำลึง ซื้อ 4 ตำลึง ต่อมาวันสุดท้ายพระพุทธเจ้าเสด็จเมืองนั้น ก็พอดีนายมาลาการคนประจำสวนดอกไม้ของมหาเศรษฐี ได้นิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยสาวก ว่าพรุ่งนี้ขอเลี้ยงพระ ขอถวายทานกับพระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน พระพุทธเจ้าก็ทรงรับ นางขุตฉุตตราก็เอาเงิน 8 ตำลึงไป อีก 4 ตำลึงยังไม่ได้เก็บ ไว้เก็บทีหลัง ไปถึงนายมาลาการก็บอกว่า เรื่องดอกไม้ไม่ใช่ของแปลก เตรียมไว้แล้ว แต่ว่าการถวายทานมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน มีพระอรหันต์สาวกหาไม่ได้ หายาก ช่วยกันถวายทานก่อน เสร็จแล้วจะจัดดอกไม้ให้ เธอก็ช่วย เมื่อพระพุทธเจ้าฉันเสร็จท่านก็เทศน์ คำว่าโมทนาก็คือเทศน์ โมทนาบอกถึงอานิสงส์ความดีที่ทำ ขุตฉุตตราฟังจบเดียวเป็นพระโสดาบัน ทำยังไง พระโสดาบันศีล 5 ต้องครบ วันนั้นเลยซื้อดอกไม้ 8 ตำลึง
                            พอมาถึงพระนางสามาวดีก็แปลกใจ ถามว่า ทำไมพระราชาให้ค่าดอกไม้มากกว่าวันก่อนรึ เธอก็บอกว่าให้เท่ากัน แต่ทว่าวันก่อนฉันแบ่งให้ 4 ตำลึง บอกตรงไปตรงมา พระโสดาบันนี่ไม่คดแล้ว คนที่พอจะเชื่อได้ทางคณะสงฆ์เขาถือว่าต้องเป็นพระโสดาบันที่จะเป็นพยานนะ พระนางสามาวดีก็เลยบอกว่าอีก 4 ตำลึงที่เธอเก็บแล้ว ให้เก็บไว้ได้ อนุญาต แค่ 4 ตำลึงก็พอ บอกไม่ได้ พระพุทธเจ้าเทศน์แล้ว บอกบาป ที่เอาไว้ก่อนคืนหรือเปล่าไม่ทราบ บาลีไม่ได้บอกนะ ก็เป็นอันว่าถามว่าทำไมจึงไม่เอา ก็บอกว่าวันนี้ไปซื้อของ ไปพบพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระอรหันต์ เลี้ยงพระ   พอเลี้ยงเสร็จเทศน์จบ ฉันเป็นพระโสดาบัน
                            หญิงทั้ง 500 มีพระนางสามาวดีเป็นประธาน ก็ขออยากจะฟังเทศน์บ้าง เธอก็บอกว่าฟังเทศน์น่ะฟังได้ แต่ต้องมีอาสนะสูงกว่า เวลาพระพุทธเจ้าเทศน์ต้องมีอาสนะสูงกว่าคนธรรมดา ประการที่ 2 ต้องแต่งตัวสวย ประการที่ 3 ต้องอาบน้ำก่อน เธอก็เอาน้ำหอมอาบ 16 หม้อ แต่งตัวสวย จัดธรรมาสน์ให้ เธอก็เทศน์ ความจริงเทศน์ดีมาก พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญภายหลัง ทรงยกย่องว่า เป็นผู้เลิศในการแสดงธรรมฝ่ายสตรี  เธอก็เทศน์ในลีลาเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เล่า ในใจความพระพุทธเจ้าพูดแบบไหนจำหมดทุกคำ ว่าเรื่อย ลีลาเหมือนกัน ผู้หญิงทุกคนฟังก็จับใจ พอเทศน์จบ อีก 500 คน เป็นพระโสดาบัน
                            เมื่อฟังเทศน์จบ ต่างคนต่างเป็นพระโสดาบัน ต่างคนต่างตั้งใจเคารพพระพุทธเจ้า เป็นอันว่าการเคารพของหญิง 500 กับ 1 คน คือหญิงเป็นบริวาร 500 คน แล้วพระนางสามาวดี 1 เป็น 500 กับ 1 คน เคารพในพระพุทธเจ้ามาก ทีนี้มีเมียมากอีกคนหนึ่ง ไม่ใช่เมียน้อย พระเจ้าอุเทน มีเมีย 3 คน มีพระนางวาสุนทัตรา เป็นคนแรก 2 ก็พระนางสามาวดี 3 พระนางมาคันธินยา เมียคนแรกไม่มีเรื่องยุ่ง
                            ขอเล่าเรื่องลัด ๆ พระนางสามาวดีกับหญิง 500 ถูกพระนางมาคันธิยาให้น้าชายไปเผาปราสาท เอาน้ำมันไปบอกว่า เอาน้ำมันไปทาเสาทำให้มั่นคง เกรงปลวกจะกิน ปราสาทเป็นไม้ ขอบรรดาพระแม่เจ้าทั้งหลายจงอยู่ข้างใน เขาอยู่ข้างหน้าก็เอาตะปูตีหน้าต่างก็ไม่มี ประตูก็ออกไม่ได้ เขาก็เอาไฟจุด พอจุดไฟเสร็จ พระนางสามาวดีพอเห็นแสงไฟก็ประกาศว่า
                            “พวกเราจงอย่าโกรธในพระนางมาคันธิยา อย่าโกรธในน้าชายของพระนางมาคันธิยา พวกเราที่ถูกไฟไหม้ครั้งนี้ เพราะอาศัยมีกรรมเป็นเหตุ”
                            แต่ความจริงท่านเป็นพระอริยเจ้าหมดแล้ว คือ เป็นพระโสดาบัน อาศัยที่ไฟที่จะไหม้เข้ามา จิตก็นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ นึกถึงพระพุทธเจ้า นึกว่าความตายจะเข้ามาถึง เราจะไม่มีชีวิตต่อไป จิตใจก็ละเอียด บางท่านก็เป็นสกิทาคามี  บางท่านก็เป็นอนาคามี  รวมความว่าเขาเผาพระอริยเจ้า 500 กับ 1 คน
                            ต่อมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ บรรดาพระสงฆ์ก็เข้าไปถามองค์สมเด็จพระบรมครู ถามว่า
                            “ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า เพราะเหตุใด หญิง 500 มีพระนางสามาวดีเป็นประธาน เป็นพระอริยเจ้าด้วย เป็นคนดีมาก และมีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ามาก ทำไมถูกไฟเผา”
                            พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า “ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หญิง 500 นี้ สมัยชาติก่อน เป็นบริวารของพระราชาองค์หนึ่ง” ฟังแล้วก็นึกไปด้วยเป็นวิปัสสนาญาณ วิปัสสนาญาณ คือตัวปัญญา ให้รู้ว่าถ้ากลับมาเกิดอีกมันมีความทุกข์อย่างนี้ กฎของกรรมมันมีความทุกข์อย่างนี้ กฎของกรรมมันตามทัน ถ้าเราไม่มาเกิดมันตามไม่ทันหรอก เป็นเทวดาอยู่ก็ดี เป็นพรหมอยู่ก็ดี มันตามไม่ทัน ถ้าไปนิพพานเสียเลยยิ่งไม่ทันใหญ่
                            ท่านบอกว่า “ในสมัยนั้นพระราชมีความเคารพในพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง แต่บังเอิญพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์นั้นหลังค่อม วันหนึ่งพระราชาจะไปสรงน้ำที่ชายทะเล ชายทะเลมันก็เป็นป่า เผอิญพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์นั้นท่านเข้านิโรธสมาบัติ อยู่ที่ชายทะเลในพุ่มไม้มองไม่เห็นตัว เมื่ออาบน้ำเสร็จบรรดาชาววังทั้งหลายก็สุมไฟ เอาฟืนมากอง ๆ แล้วก็สุมไฟ เอาไปกองทับพระปัจเจกพุทธเจ้าเข้า มองไม่เห็นหรอก พอไฟไหม้มอดลงไปแล้ว ก็เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้านั่งดำอยู่ นึกในใจว่านี่เป็นพระผู้เป็นเจ้าที่พระราชาเรามีความเคารพ ถ้าพระราชาทรงทราบว่าเราเผาพระปัจเจกพุทธเจ้า เราต้องถูกประหารชีวิตแน่ อีตอนก่อนไม่ได้ตั้งใจ ท่านบอกว่าไม่บาป ไหน ๆ ท่านก็ตายแล้ว เผาให้หมดซากไปเลย เอาฟืนมาทับให้มาก เผาอีก คราวนี้บาปแน่ พอหลังจากนั้น 7 วัน พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็ลุกเดินไปตามสบาย นิโรธสมาบัตินี่ทำอะไรไม่ได้นะ ขนก็ไม่ไหม้นะ ผมก็ไม่ไหม้ อาศัยที่หญิงทั้ง 500 ในตอนหลังมีเจตนาเผาพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงถูกเผาในชาตินี้” นี่ถ้าเรากลับมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นอย่างนี้นะ
                            พระก็ถามต่อไปว่า ยังมีสาวใช้อยู่คนหนึ่งชื่อ ขุตฉุตตรา ทำไมจึงเป็นคนมีปัญญามาก
                            พระพุทธเจ้าก็บอกว่า “ในฐานะที่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้น พระราชามีความเคารพ วันหนึ่งเมื่อเข้าไปในเมืองใหม่ ๆ มีคนเขาใส่ข้าวต้มร้อน ๆ ท่านก็เอามือซ้ายถือบ้าง มือขวาถือบ้าง ผลัดกันไปผลัดกันมา ขุตฉุตตราออกไปจากวังเห็นเข้า ก็ถอดกำไลมือถวายท่านเพื่อรองไม่ให้มือร้อน เมื่อถอดกำไลมือถวายท่าน ท่านก็มองหน้าเธอ ก็บอกว่าถวายเลยเจ้าค่ะ แล้วก็ขอพรว่า “ธรรมใดที่พระผู้เป็นเจ้าบรรลุแล้ว...อย่าลืมนะ คำนี้สำคัญมากนะ ธรรมใดที่พระผู้เป็นเจ้าบรรลุแล้ว ขอฉันบรรลุธรรมนั้นด้วยเถิดเจ้าค่ะ” พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ให้พรว่า เอวัง โหตุ ซึ่งแปลว่า เจ้าปรารถนาสิ่งใดขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนา อันนี้เป็นปัจจัยให้นางขุตฉุตตราเกิดในชาติหลังเป็นหญิงที่มีปัญญามาก หญิงทั้ง 500 คน มีพระนางสามาวดีเป็นประธานต้องอาศัยคนนี้
                            พระก็ถามว่า “ในเมื่อขุตฉุตตราเป็นอย่างนั้นแล้ว ทำไมขุตฉุตตราจึงได้เป็นคนหลังค่อม”
                            เอาอีกแล้วพระก็แน่เหมือนกัน ไม่แน่เราก็ไม่รู้   ท่านสงสัย มีบุญมากนี่นะ พระพุทธเจ้าก็บอกว่า วันหนึ่งบรรดาสาวใช้ทั้งหลาย เวลาที่พระปัจเจกพุทธเจ้ามา ขุตฉุตตรานี่เป็นคนคล่องตัวมาก แต่หญิงสาวใช้คนอื่น ๆ ไม่เคยเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็อยากจะทราบว่า พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปร่างเป็นยังไง เธอก็ไม่พูดเฉย ๆ ไปหยิบผ้ามาสไบเฉียงเข้า เอาขันมาอุ้มเข้า ทำเดินหลังค่อม ๆ นี่พระผู้เป็นเจ้าที่พระราชาเคารพมีลักษณะเป็นอย่างนี้ เลยเกิดเป็นหญิงค่อม 500 ชาติ
                            ท่านก็ถามต่อไปอีกว่า ทำไมเป็นคนรับใช้ของพระราชา   พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ในสมัยหนึ่ง ขุตฉุตตราเป็นลูกสาวของมหาเศรษฐี จำให้ดีนะ กรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่ เวลานั้น มีพระพุทเจ้าเกิดขึ้นมาในโลก ก็มีนางภิกษุณีองค์หนึ่ง เพื่อนของนางขุตฉุตตราเป็นสาวรุ่นเดียวกัน เป็นพระอรหันต์ ตอนเย็นก็มาเยี่ยมที่บ้าน พอดีกระเช้าเครื่องแต่งตัวมันวางอยู่ นางภิกษุณีก็มานั่งคั่นกลางพอดี เธอก็ยกมือไหว้บอกว่า ขอประทานอภัยพระแม่เจ้า ช่วยหยิบกระเช้าเครื่องแต่งตัวทีเถอะ แค่นี้เองนะ ขออภัยแล้วนะ พระอริยเจ้านี่อย่าลืมนะ ทำบุญนิดหนึ่งก็บุญมหาศาล  มันมีค่าเท่ากัน ในเมื่อเธอพูดแบบนั้น นางภิกษุณีก็คิดว่าเราจะหยิบให้เธอดีหรือไม่หยิบดี ถ้าเราหยิบให้เธอ เธอตายจากความเป็นคนแล้วต้องเป็นทาสเขา 500 ชาติ ขนาดขออภัยแล้วนะ ถ้าเราไม่หยิบให้เธอ เธอโกรธในเรา เธอต้องลงนรก ฉะนั้น การเกิดเป็นคน เป็นทาสเขา ดีกว่าลงนรก จึงหยิบให้ เรียกว่าด้วยความเมตตา
                            ก็สรุปว่า ถ้าเรายังกลับมาเกิดเป็นบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ท่านทุกคนที่นั่งที่นี่ คิดว่าถวายสังฆทานกันแล้วทุกคน หรือว่าสตางค์ทุกบาทที่ญาติโยมเอามาถวาย ไม่ได้ถวายสังฆทานก็เป็นสังฆทาน อาตมาถือว่าเป็นสังฆทานหมด เป็นสังฆทานด้วย เป็นวิหารทานด้วย ก็ถือว่าทุกคนมีสังฆทานแล้ว มีวิหารทานแล้ว มีบุญมหาศาลแล้ว ถ้าเกิดมาใหม่ ยังไงก็ตามต้องเป็นมหาเศรษฐี ถ้ามาเกิดใหม่ก็ต้องถูกกฎของกรรม เพราะอะไรรู้ไหม เพราะทุกคนมีบาป ฉะนั้น เมื่อเราทำบุญ บุญพาไปสวรรค์ บุญพาไปพรหมโลก บุญพาไปนิพพาน ถ้าพาไปนิพพานไม่เป็นไร ถ้าไปอยู่แค่สวรรค์ก็ดี พรหมโลกก็ดี ถ้าหมดบุญวาสนาบารมี ก็ต้องมาโดนกรรมประเภทนั้นอีก
                            อย่างปาณาติบาต  เป็นเหตุให้คนมีอายุสั้น ตายบ้าง มีโรคภัยไข้เจ็บบ้าง อทินนาทาน ไฟไหม้บ้านบ้าง ขโมยลักของหายบ้าง ลมพัดให้บ้านพัง น้ำท่วมบ้านบ้าง กาเมสุมิจฉาจาร คนในปกครองดื้อด้านว่ายากสอนยาก มุสาวาท จะพูดดีแสนจะดีเขาก็ไม่ยอมจะเชื่อ สุราเมรัย อย่างเบาเป็นคนปวดหัว ปวดหัวมาก ปวดหัวบ่อย ๆ อย่างกลางเป็นโรคเส้นประสาท อย่างด็อกเตอร์เป็นบ้า
                            รวมความว่า กรรมทุกอย่างมันติดตาม เมื่อเรามาเกิดเป็นมนุษย์ ฉะนั้น ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกคน ตัดสินใจเสียเวลานี้ จนกว่าจะถึงวันตาย เวลาทำความดีทุกอย่าง ไอ้มือ 10 นิ้วนี่มันไม่สึกเวลาไหว้พระ เวลาตื่นขึ้นมาตอนเช้ายังไม่มีเรื่องอะไร กราบพระที่หมอนก็ได้ ไม่ต้องลุกไปที่ห้องพระก็ได้ ใจนึกถึงพระที่ไหน พระถึงเราที่นั่น เคารพพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพ ด้วยความจริงใจ แล้วตั้งใจอธิษฐานว่า “เวลานี้ พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ข้าพระพุทธเจ้าขอไปที่นั่น เวลาตายแล้ว” เอากันแค่นี้ เวลาใส่บาตร เวลาทำบุญ ทำทุกอย่าง ทำหวังนิพพานทั้งหมด ไม่ต้องการหวังผลตอบแทน ให้ข้าวกับคน จะทำงานตอบแทนหรือไม่ก็ช่างหัวมัน เราต้องการนิพพาน  อะไรก็ตาม เราต้องการนิพพาน เมื่อเป็นอย่างนี้ทุกคนตายแล้ว อย่างต่ำต้องเป็นเทวดาเป็นนางฟ้า ต้องเป็น เว้นไว้แต่คนดื้อ คนฉลาด เป็นคนฉลาดก็อย่างคนที่เอาพระห้อยคอแล้วอย่าโง่ อย่าห้อยแบบโง่ ห้อยแบบฉลาด ๆ พระห้อยคอตอนเช้าก่อนออกจากบ้านก็ยกมือ สาธุ ตั้งนโม 3 จบ แล้วก็นึกด้วยความเคารพว่าต้องการผลอะไรวันนี้ ตั้งใจยังไงก็ตามใจ ค้าขายหรือมีเมตตามหานิยมอะไรก็ว่ากันไปเถอะ ทุกอย่างบารมีพระพุทธเจ้าย่อมช่วยได้ถ้าไม่เกินวิสัย ถ้าทำอย่างนี้ทุกวันทุกคนมีพุทธานุสสติประจำใจเสมอ ถ้าเวลาจะตายลงไปปั๊บ ภาพพระจะปรากฎเบื้องหน้า อันดับแรก แหงนหน้าอยู่ไม่มองเห็น จะเห็นพระที่คอ ต่อไปพระก็จะกลายเป็นพระสงฆ์ หรือเป็นพระพุทธรูปก่อนก็ได้ แล้วกลายเป็นพระสงฆ์ ไม่ช้าถ้าเราตายในขณะนั้น อารมณ์เราอย่างต่ำเราก็ไปสวรรค์ เอากันแค่อย่างต่ำก่อน
     
                                                               ******************

    • Update : 30/4/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch