หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    บุพกรรมของคน 3 คน
    บุพกรรมของคน 3 คน
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
     
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย ลำดับต่อไปนี้อาตมาภาพจะได้นำพระสูตร เนื่องด้วยกฎของกรรมมาแสดงแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท ทั้งนี้ก็เพราะว่ามีบรรดาประชาชนทั้งหลายสงสัยกฎของกรรมเป็นอันมาก มักจะมีบุคคลทั้งหลายมาถามว่า ชาตินี้ไม่ได้ทำความชั่วอะไร ทำแต่ความดีทุกอย่าง บุญก็ทำ กรรมก็สร้าง หมายถึงบุญกุศลก็ทำ พระธรรมเทศนาก็ฟัง และการปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทำ เมื่อทำแล้วทุกอย่างในด้านของความดี ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงสรรเสริญ แต่ก็กลับมาถูกกรรมชั่วสนองให้เกิดมีความทุกข์อย่างนี้ ก็เป็นปัจจัยให้เกิดความสงสัยว่า การทำบุญในศาสนาขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาไม่มีผล
    เพื่อจะเปลื้องความสงสัยของบรรดาพุทธศาสนิกชน จึงได้ขอนำพระสูตรที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ มาให้บรรดาท่านพุทธบริษัทได้สดับ สำหรับตอนนี้ขอนำเรื่องของคน 3 คน ที่มีกรรมตามสนองเป็นกรรมจากชาติก่อน มาแสดงแก่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ความตามพระบาลีมีอยู่ว่า
    เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภชน 3 คน จึงได้แสดงพระธรรมเทศนานี้ความว่า อนฺตลิกฺข สมุทฺทมชฺเฌ เป็นต้น ความมีอยู่ว่า
    เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับยับยั้งสำราญอิริยาบถอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร บรรดาภิกษุหลายรูปด้วยกันมาเพื่อต้องการจะเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้เข้าไปสู่บ้านตำบลหนึ่งเพื่อจะบิณฑบาต อันเป็นปกติของบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย เพราะว่าบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายย่อมมีชีวิตอยู่ด้วยชาวบ้านเป็นผู้เลี้ยง เมื่อชาวบ้านรับบาตรของภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นแล้ว ก็นิมนต์ให้นั่งฉันที่สำหรับเป็นที่ฉัน คือเขาจัดสถานที่ไว้ตามสมควร เมื่อถวายข้าวยาคูและของเคี้ยว (สำหรับยาคู ท่านแปลว่า ข้าวต้ม ของเคี้ยวก็คงเป็นกับข้าว) เป็นต้น เมื่อถวายของท่านแล้ว ก็รอเวลาให้พระฉันเสร็จเพื่อจะฟังธรรม
    ในขณะนั้นเองปรากฎว่า เปลวไฟลุกขึ้นจากเตาของหญิงคนหนึ่ง สำหรับหญิงคนนั้นเป็นผู้หุงข้าวและปรุงกับข้าว ท่านบอกว่า สูปะ และพยัญชนะ (แกงและกับ) อยู่ที่เตาไฟ ไฟนั้นได้ลุกขึ้นติดชายคา เสวียนหญ้าอันหนึ่งปลิวขึ้นจากชายคานั้น (สำหรับเสวียน เขาทำกลม ๆ ทำด้วยหญ้าสำหรับรองหม้อข้าว) ถูกเปลวไฟ ลมพัดมาเสวียนหญ้าอันนั้นก็ปลิวขึ้นไปบนอากาศ ในขณะนั้นเองปรากฎว่า มีกาตัวหนึ่งบินมาในอากาศ เสวียนหญ้าอันนั้นก็สอดเข้าไปในคอกาพอดี  หมายความว่า เวลาที่กาบินมา เสวียนหญ้าก็ลอยขึ้นไป กาตัวนั้นก็บินมาเอาคอสอดเข้าไปในเสวียนหญ้านั้นพอดี เป็นอันว่าเสวียนหญ้านั้นก็ติดคอกา เกิดไฟไหม้ขน ไฟไหม้ตัว กาตัวนั้นก็ทนความร้อนไม่ไหว   ก็ตกลงกลางบ้านบินต่อไปไม่ได้ ก็เป็นอันว่าต้องตายกัน กรรมอันนี้ไม่มีใครเขาทำ ไฟลุกติดขึ้นมาจากชายคา เสวียนหญ้าถูกไฟไหม้ลมพัดลอยขึ้นไป กาบินมาเอาคอสวมเข้าไปพอดี ไฟก็ไหม้ตกลงมาตาย
    บรรดาภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น เห็นเหตุนั้นจึงได้คิดว่า เออ..นี่เป็นเรื่องแปลกเหลือเกิน กรรมหนักแท้ ๆ   ท่านผู้มีอายุท่านคุยกันว่า ท่านทั้งหลายจงดูอาการแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นแก่กา ตามธรรมดากาบินมาในอากาศเฉย ๆ เสวียนหญ้าถูกไฟลุก ลอยขึ้นไปบนอากาศ เสวียนไม่มีชีวิตจิตใจ ความเร็วของกาเอาคอคล้องเสวียนหญ้าเข้าให้ แล้วก็ตกมาตาย เหตุนี้เป็นเรื่องอัศจรรย์ เราไม่สามารถจะพยากรณ์กันได้ เว้นแต่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็คงไม่มีใครสามารถจะรู้กฎของกรรมนี้ได้ จึงได้ปรึกษากันต่อไปว่า เมื่อไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว จะต้องทูลถามเรื่องนี้ เมื่อฉันภัตตาหารเสร็จโมทนาแก่ชาวบ้านแล้ว ก็พากันลาชาวบ้านไป
    มาอีกตอนหนึ่งท่านกล่าวว่า เมื่อภิกษุอีกพวกหนึ่ง โดยสารเรือไปเพื่อต้องการจะเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน ในขณะนั้นเรือได้หยุดนิ่งเฉยในกลางมหาสมุทร ขณะที่เรือวิ่ง ๆ ไป แล้วมันก็หยุด (ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ต้องดูว่า น้ำมันเชื้อเพลิงหมดหรือไม่ หรือเป็นเพราะเหตุใด แต่ว่าสมัยนั้นเป็นสมัยเรือใบ ลมก็มี ใบก็กาง แต่ว่าเรือหยุด)
    บรรดามนุษย์ทั้งหลายคือชาวเรือจึงพากันคิดว่า คนกาลกิณีจะพึงมีในเรือนี้ ในสมัยนั้นเขาคิดกันแบบนี้ ถ้าอะไรมันไม่ดีเกิดขึ้นเป็นเหตุสุดวิสัย แสดงว่ามีนาลกิณีเกิดขึ้น ต่างคนต่างทำสลากแจกกัน ให้คนทุกคนจับสลาก สลากนั้นเป็นสลากเสี่ยงทาย เมื่อทุกคนจับกันแล้ว ภรรยาของนายเรือตั้งอยู่ในปฐมวัย (แสดงว่าเป็นหญิงสาว นายเรือมีภรรยาสาว กำลังน่ารักเห็นจะเป็นเด็กสาวรุ่น ๆ ) เมื่อสลากถึงแก่นาง (หมายความว่านางจับสลากได้แล้ว) พวกมนุษย์ก็พากันว่า จงแจกสลากอีก (หมายความว่าเอาสลากมาแจกกันอีก) แล้วจึงแจกกันถึง 3 ครั้ง สลากก็ถึงแก่นางนั้นคนเดียวถึง 3 ครั้ง)
    เป็นอันว่า เขาคงจะเสี่ยงทาย เขียนไว้ในสลากว่า คนไหนเป็นกาลกิณี ขอสลากนี้จงถึงแก่บุคคลนั้น แล้วก็เขียนไว้แล้วก็ม้วน ถ้าใครจับถูกสลากกาลกิณีนั้นก็ชื่อว่าเหตุร้ายนี้เกิดจากคนนั้น เป็นคำอธิษฐานของบุคคลทั้งหลาย แต่ทว่าภรรยาของท่านนายเรือเป็นหญิงสาวน่ารัก เป็นหญิงวัยรุ่น  จับสลากทั้ง 3 วาระ ก็ถูกสลากใบนั้นทุกครั้ง บรรดาพวกที่ไปในเรือมองดูหน้านายเรือเพื่อจะปรารภว่า นาย นี่จะว่าอย่างไรกัน ภรรยาของท่านเห็นจะเป็นคนกาลกิณีกันแน่ ท่านนายเรือจึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่อาจจะให้มหาชนฉิบหายได้ ทั้งนี้ก็หมายความว่า เมื่อเขาหารือว่า ภรรยาของท่านเป็นคนกาลกิณีแน่ เพราะการจับสลากก็ไม่มีอคติ การจับก็ไม่ได้บอกให้จับทีหลัง ตามธรรมดานายเรือกับภรรยาของนายเรือจับก่อน แต่ทว่าเจ้าหล่อนก็จับถูกสลากใบที่เป็นกาลกิณีทุกที บรรดาลูกเรือทั้งหลายจึงปรึกษานายว่า ทำอย่างไรกันแน่ จะกล่าวโทษก็เกรงว่าเจ้านายจะโกรธ ถ้าจะไม่พูดอะไรเลยก็เกรงว่าอันตรายจะพึงมี จึงหันเข้าไปปรึกษานายว่า จะทำอย่างไร สำหรับนายท่านก็ดี ท่นรักชีวิตคนมากยิ่งกว่ารักภรรยาของท่าน ท่านจึงกล่าวว่า เราไม่ต้องการให้คนอื่นฉิบหาย คนเป็นจำนวนมาก คือเมียของเราคนเดียว แต่คนในเรือนี้มากไปกว่านี้ เราไม่ต้องการให้คนทั้งหลายเหล่านี้ต้องย่อยยับไปด้วย
    ฉะนั้น เพื่อประโยชน์แก่นางนี้ พวกท่านจงทิ้งเขาในน้ำเถิด หมายความาว่า ถ้าเขาจะรักเมียเพื่อประโยชน์กับนางก็ปล่อยให้คนอื่นตาย แต่ถ้ารักคนมากกว่าก็ต้องปล่อยให้เมียตาย เขาจึงบอกว่า เราจะยอมให้คนอื่นฉิบหายไม่ได้ เพื่อประโยชน์แก่นางคนเดียว จึงได้บอกให้คนทั้งหลายเหล่านั้นจับโยนลงไปในน้ำ นางนั้นเมื่อพวกมนุษย์จะจับโยนทิ้งน้ำ กลัวต่อมรณภัย ก็ร้องขอความช่วยเหลือ ร้องขอความเมตตา นายเรือได้ยินเสียร้องนั้น จึงกล่าวว่า น้องรัก ประโยชน์อะไรด้วยอาภรณ์ของนางนั้น ถ้าหากว่าเราพอใจในเธอความฉิบหายก็จะเกิดกับบุคคลทั้งหลายเปล่า ๆ ซึ่งคนทั้งหลายมีชีวิตยิ่งกว่าเธอ (ชีวิตมากกว่าเธอ เธอคนเดียว) จงเสียสละชีวิตเพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่
    เป็นอันว่านายเรือมีน้ำใจเด็ดเดี่ยว ไม่เห็นกับความสาว ไม่เห็นกับความสวยของภรรยาที่น่ารัก ฉะนั้นจึงกล่าวว่า พวกท่านจงเปลื้องอาภรณ์เครื่องประดับของนางให้หมด ให้นางนุ่งผ้าเก่าผืนหนึ่ง แล้วจงทิ้งไปในน้ำนั้น เป็นอันว่าเขาจะทิ้งน้ำ เขาก็บอกให้บรรดาคนทั้งหลายเปลื้องเครื่องประดับของนางที่แต่งมาสวยสดงดงาม เป็นธรรมดาภรรยาของนายเรือก็ต้องแต่งตัวสวยมากเพราะมีทุนมาก เขาบอกต่อไปว่า ข้าพเจ้าจะไม่มองดูนาง เป็นอันว่านายเรือเองก็ใจอ่อนเหมือนกัน ถ้าขืนมองดูเธอก็อาจจะใจอ่อน อาจจะยับยั้งไม่ให้จับเธอโยนทิ้งน้ำ แต่ความจริงคนเรามาด้วยกันดี ๆ จู่ ๆ ก็จับโยนทิ้งน้ำให้ถึงแก่ความตาย ก็ต้องคิด  แต่ว่าเขาก็มีน้ำใจเด็ดเดี่ยวเห็นประโยชน์ส่วนมาก มากกว่าประโยชน์ส่วนน้อย ที่จะพึงรักษาภรรยาไว้แต่ผู้เดียวแต่คนอื่นจะต้องตายเขาไม่ทำ น้ำใจแบบนี้น่าจะหาเอามาเป็นผู้นำประเทศ ผู้นำจังหวัด ผู้นำหมู่บ้าน ผู้นำตำบล ถ้าพวกเราได้คนแบบนี้ ประเทศชาติจะมีความสุข
    เมื่อเขากล่าวอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าจะไม่ดูนางนั้น ผู้ลอยอยู่เหนือกระแสน้ำได้ เพราะฉะนั้น พวกท่านจงเอากระออม หมายความว่า ที่ใส่น้ำ เอาทรายใส่ให้เต็มผูกไว้ที่คอ โยนนางลงไปเสียในมหาสมุทร ทั้งนี้ก็เพราะว่าข้าพเจ้าจะได้ไม่เห็นเขา เมื่อคราวที่เขาลอยน้ำขอความช่วยเหลือเพราะเกรงว่าจะใจอ่อน บรรดามนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้นก็ได้กระทำตามนั้นแล้ว เวลานั้นปรากฎว่า ปลาและเต่าก็รุมกินนางนั้นที่ตกไปในน้ำ (เวลานี้คงเป็นเหยื่อของฉลาม เป็นต้น)
    ในเมื่อภิกษุทั้งหลายได้ฟังเรื่องเหล่านั้นแล้ว ก็คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องอัศจรรย์คนละพวกกับพวกก่อน เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ความจริงภรรยาของนายเรือก็อยู่ดี ๆ ไม่ได้ทำความผิด ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทุกอย่างตามหน้าที่ของภรรยาที่ดี และตามหน้าที่ของแม่บ้าน แต่ทว่าจู่ ๆ เขาก็หาว่าเธอเป็นกาลกิณี เจ้ามือระยำนี้มันก็แปลก มันก็ดันไปหยิบเอาสลากขึ้นมาได้ สลากนั้นเขามีความหมายว่า คนที่ไม่ดีเท่านั้นจะต้องเป็นผู้ถือสลากนี้ แต่บังเอิญยอดนารีเธอก็จับได้ถึง 3 ครั้ง ถ้าคิดว่าคนอื่นใจร้ายมันก็ไม่ถูก ถ้าคิดว่าคนอื่นใจดี พิจารณาถูกตามควร ก็บังเอิญเป็นเคราะห์กรรมไปจับถูกสลากนั้นเข้า มันก็ไม่ควรเหมือนกัน เป็นอันว่าการกระทำของบุคคลทั้งหลาย (ชาวเรือนั้น) จะผิดหรือจะถูก นางจะเป็นคนกาลกิณีจริงหรือไม่จริง ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นพากันคิดว่า เรารู้ไม่ได้ นอกจากองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วไม่มีใครรู้
    ฉะนั้น เมื่อพวกเราไปเฝ้าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พวกเราจะทูลถามเนื้อความนี้แด่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นอันว่ารายที่สองแล้ว ตายหาความผิดไม่ได้ ทีนี้มาอีกตอนหนึ่งในสูตรเดียวกัน ท่านกล่าวว่า
    ภิกษุ 7 รูป อีกพวกหนึ่ง (พวกที่แล้ว ๆ มาสองพวกไม่บอกจำนวนพระ) ท่านบอกภิกษุอีกพวกหนึ่งมีจำนวน 7 รูป ไปจากปัจจันตชนบท เพื่อต้องการจะเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำว่า ปัจจันตชนบท หมายถึง ประเทศชายแดน อยู่ในป่าไกลจากความเจริญ
    ในเวลาเย็นท่านเข้าไปในวัดแห่งหนึ่ง เพื่อจะขออาศัยที่พัก จึงได้ถามว่า ที่พักมีไหมขอรับ ปรากฎว่าที่วัดแห่งนั้นมีถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง มีเตียงอยู่ 7 เตียงพอดี พระท่านมาก็มา 7 องค์ คล้าย ๆ กับคนเขาตั้งท่าคอยเข้าไว้ เมื่อภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นแลเห็นถ้ำนั้นแล้ว และก็เข้าไปในถ้ำ นอนบนเตียงนั้น ในตอนกลางคืนแผ่นหินเท่าเรือนยอด (เรือนยอด คือ เรือนยอดแหลมเรือนใหญ่ ๆ) ได้กลิ้งมาปิดประตูถ้ำไว้
    บรรดาพวกภิกษุทั้งหลายเจ้าของถิ่นจึงกล่าวว่า พวกเราให้ถ้ำนี้แก่ภิกษุอาคันตุกะ หมายความว่า เราให้พระที่เดินทางมานอนอยู่ในถ้ำนี้ แต่ทว่าก้อนหินก้อนใหญ่นี้มันมาปิดประตูเสียแล้ว พวกเราจะนำแผ่นหินนี้ออก จึงได้พากันประชุมพวกชาวบ้านบ้าง พระบ้าง ภิกษุสามเณรทั้งหลายบ้าง จากบ้านรวมทั้งหมดด้วยกัน 7 ตำบลด้วยกัน เพราะก้อนหินใหญ่มาก ใช้ความพยายามอยู่เพื่อจะให้หินนั้นออก หินมันก็ไม่ยอมออก เพราะหินก้อนมันใหญ่ จะทำอย่างไร ๆ มันก็ไม่เขยื้อนออกไป (ใช้คนถึง 7 ตำบล)
    แม้บรรดาพวกภิกษุที่เข้าไปอยู่ภายใน บรรดาพวกภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายเหล่านั้นที่อยู่ข้างในก็พยายามเหมือนกัน พยายามเพื่อจะผลักหินให้พ้นออกไป แต่ก็ไม่อาจที่จะให้แผ่นหินนั้นเขยื้อนออกไปได้ตลอดเวลา 7 วัน เป็นอันว่าพระทั้งหลายเหล่านั้น ต้องถูกขังอยู่ 7 วัน ชาวบ้าน 7 ตำบล พระด้วย และพระที่อยู่ภายในอีก 7 องค์ ดันกันไปดันกันมา เพื่อที่จะให้หินก้อนนั้นออก มันก็ไม่ยอมออก เป็นอันว่าพระทั้งหมดข้างในอดข้าว 7 วัน พระข้างนอกกับชาวบ้านก็ทำงานครบ 7 วัน บรรดาพระอาคันตุกะทั้งหลายที่อยู่ในนั้น ก็เกิดความหิวแผดเผาด้วย 7 วัน (การไม่ได้บริโภคอาหาร 7 วัน ก็ต้องคิด) ได้เสวยทุกขเวทนาอย่างหนัก
    เป็นอันว่าในวันที่ 7 หินก็กลิ้งออกไปเองอย่างประหลาด ไม่มีใครเขาดัน เวลาดันหินไม่ไป แต่เวลาครบ 7 วัน ๆ ไม่มีใครเขาผลักเขาดัน หินไปเอง บรรดาพวกภิกษุทั้งหลายที่อยู่ในที่นั่นออกมาแล้ว ต่างคนต่างคิดว่านี้เป็นบาปของพวกเรา บาปประเภทนี้มันปรากฎขึ้นได้อย่างไร ในชาตินี้กรรมใหญ่ของเราก็ไม่ได้ทำอะไร เมื่ออยู่กับพ่อกับแม่ อยู่กับบิดามารดาก็มีความรักเคารพบิดามารดาทุกอย่าง จะมีการดื้อการด้านก็เล็ก ๆ น้อย ๆ พอสมควร แต่ทำไมเราจึงต้องมารับบาปกรรมขนาดอดข้าวอยู่ 7 วัน อดเฉย ๆ ก็ไม่เป็นไร ต้องออกแรงดันหินด้วย หินมันก็ไม่ไป
    แต่ว่าเมื่อครบ 7 วันแล้ว ไม่มีใครทำอะไรกับหิน พระข้างนอกคนข้างนอกก็คิดว่า พระ 7 องค์นั้นตายแน่ ก็เลยหมดกำลังใจที่จะทำอะไร เขาก็ไม่ทำกัน พระในถ้ำ 7 องค์นั้นก็หมดแรงที่จะดันหิน หินนั้นก็เปิดกลิ้งไปเอง ท่านคิดว่า พวกเราบาปหนัก แต่กรรมประเภทนี้นอกจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ หากว่าเราจะได้เข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตร จะต้องทูลถามเรื่องนี้ให้พระศาสดาทรงพยากรณ์
    เมื่อบรรดาพระทั้งหลายเหล่านั้นออกมาแล้ว ก็เดินทางต่อไป บรรดาพวกภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อเวลามาถึงสำนักขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็มาบรรจบกันกับภิกษุพวกก่อนในระหว่างทาง หมายความว่าก่อนจะถึง เดินมารวมกันได้เองอย่างไม่มีการนัดหมาย ก็เลยร่วมกันเป็นคณะเดียวกัน เข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ในขณะนั้น องค์สมเด็จพระพิชิตมารกระทำพุทธปฏิสันถารทักทายปราศรัยแล้ว บรรดาภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นจึงได้ทูลถามเหตุที่ตนเห็นมา และที่ตนได้เสวยมาแล้วตามลำดับ หมายความว่าพระสองพวกแรกถามเหตุของกา เหตุของหญิงเมียนายเรือ บรรดาพระพวกหลังก็ถามเหตุที่ตนต้องอดข้าวถง 7 วัน เพราะอาศัยหินเจ้ากรรมมันทำเหตุ
    ลำดับนั้น องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์จึงได้ทรงพยากรณ์กับบรรดาภิกษุทั้งหลายว่า
    “ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กานั้นเสวยกรรมที่ตนทำแล้วนั่นแหละโดยแท้” (หมายความว่า กาที่บินมาในอากาศ ที่ต้องตายเพราะเอาคอเข้าไปสวมเสวียนที่มีไฟลุกโชน แล้วก็ถูกไฟไหม้ เพราะอาศัยกรรมที่ตนทำไว้แล้วในชาติก่อน) หลังจากนั้น องค์สมเด็จพระชินวรจึงได้มีพุทธฎีกาตรัสว่า
    ในอดีตกาล มีชาวนาผู้หนึ่งในกรุงพาราณสี เขาพยายามฝึกโคคือวัวของเขา สำหรับไถนา สำหรับใช้งานอยู่ตัวหนึ่ง แต่ว่าเจ้าวัวตัวนี้มันก็แปลก มันเป็นวัวดื้อวัวด้าน ไม่สามารถจะฝึกงานได้ เพราะว่าวัวของเขาตัวนี้ เดินไปได้หน่อยหนึ่งแล้วมันก็นอนเสีย ไม่ทำงาน ใช้ไถนา ใช้ลากเกวียน ใช้ลากล้อ มันไปได้หน่อยหนึ่งมันก็นอน เจ้าของเขาก็ทุบตี ไล่ให้มันลุกเดิน มันก็เดินไปได้หน่อยหนึ่ง แล้วมันก็นอนเหมือนอย่างเดิม ชาวนานั้นก็โกรธ แม้จะพยายามฝึกแล้วฝึกเล่ามันก็ไม่ยอมปฏิบัติตาม จึงได้บอกกับวัวว่า ดีละ เจ้าวัวดื้อ บัดนี้ เจ้านอนสบายที่ตรงนี้แล้ว จงนอนสบายต่อไป (คือไม่ต้องลุกจากที่นี้แล้ว)
    ฉะนั้น   เขาจึงได้นำท่อนฟืนบ้าง ฟางบ้าง โดยเฉพาะ อย่างยิ่งเอาฟางมาทำป็นเสวียนพันคอโคนั้น ก่อนที่จะจุดไฟ เขาเอาฟืนท่อนเล็ก ๆ ทับลงไปที่ตัวโคก่อน แล้วเอาฟางกลุ่มใหญ่มาผูกคอโค แล้วก็ทับไปที่คอโค แล้วก็จุดไฟ ไฟก็ลุกโชนขึ้น คลอกโคตัวนั้นถึงแก่ความตาย บรรดาภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ก็ทราบกรรมที่กาตัวนั้นพึงต้องถูกกระทำ
    องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า ภิกษุทั้งหลาย กรรมอันเป็นบาปนั้น อันกานั้นทำแล้วในครั้งนั้น (คือสมัยที่เขาเกิดเป็นคนเผาโค) ตัวเขาเองต้องไหม้อยู่ในนรกสิ้นกาลนาน เพราะวิบากของกรรมอันเป็นบาปนั้น  เกิดขึ้นแล้วในกำเนิดแห่งกา 7 ครั้ง (หมายความว่า เผาโคครั้งดียว แต่เขาต้องเกิดเป็นกา 7 ครั้ง แล้วก็ถูกเผาแบบนี้โดยไม่มีเจตนาของใคร ถึง 7 ครั้งด้วยกัน) และก็ตายในอากาศแบบนี้หมือนกัน ด้วยผลของกรรมที่ปรากฎในกาลก่อน
    เมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์เรื่องของกา ที่ถูกเสวียนไฟคล้องคอตายแล้ว บรรดาภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นที่พบหญิงภรรยาของนายเรือ ที่ถูกจับถ่วงน้ำ จึงได้กราบทูลผลของกรรมแด่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า หญิงภรรยานายเรือนั้น เพราะอาศัยกรรมอะไรเป็นเหตุพระพุทธเจ้าข้า จึงได้กลายเป็นคนกาลกิณี เรือวิ่งมาเฉย ๆ แล้วก็หยุด ไม่สามารถจะทำอะไรให้เรือเคลื่อนไปได้ ทั้ง ๆ ที่ใบก็กางอยู่ และลมก็มี เป็นเหตุให้บุคคลทั้งหลายหล่านั้นมีความสงสัยว่า จะมีคนกาลกิณีเกิดขึ้นในเรือ แล้วจึงได้จับสลากกัน สลากสำหรับคนกาลกิณีมีใบเดียว เขาทำครบทุกคน เมื่อจับแล้วเธอก็ถูกสลากนั้นถึง 3 วาระ ในที่สุดก็จำจะต้องถูกจับถ่วงน้ำถึงแก่ความตาย
    เมื่อบรรดาภิกษุทั้งหลายกราบทูลถามองค์สมเด็จพระจอมไตรแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงนำมาซึ่งอดีตกรรม ความมีอยู่ว่า
    ในอดีตกาลนานมาแล้ว หญิงคนนั้นเป็นภรรยาของคหบดีคนหนึ่ง ในกรุงพาราณสี ได้กระทำกิจทุกอย่าง มีการตักน้ำ ซ้อมข้าว ปรุงอาหาร เป็นต้น ด้วยมือของตนเอง หมายความว่า เป็นคนขยัน นางเองมีสุนัขตัวหนึ่ง สุนัขของนางตัวนั้นมีความจงรักภักดีต่อนางมาก นั่งแลดูนางนั้นผู้ทำกิจทุกอย่างในเรือน หมายความว่า ไม่ว่านางทำอะไร สุนัขตัวนั้นก็มองดูอยู่ตลอดเวลา มันมีความจงรักภักดี เมื่อนางนำเอาข้าวปลาอาหารไปนาก็ดี นำไปส่งสามีเวลาทำนา เจ้าสุนัขตัวนั้นมันก็ไปด้วย เวลาที่นางจะไปป่า ต้องการจะหาวัสดุต่าง ๆ มีฟืนและผักเป็นต้น เจ้าสุนัขตัวนั้นก็ไปกับเธอเสมอ ๆ   เป็นอันว่าสุนัขมีความจงรักภักดีในเธอ ถือว่าเป็นนายที่น่ารัก เป็นนายที่มีเมตตาของมัน
    บรรดาคนหนุ่มทั้งหลาย  เห็นว่าเวลานางไปไหนก็มีสุนัขตามไปด้วย ก็พากันหัวเราะเยาะเย้ยว่า พวกเราเว๊ย มาดูพรานสุนัขผู้หญิง นางพรานสุนัขมาแล้ว จะไปทางไหนก็ตามย่อมนำสุนัขไปเสมอ ๆ วันนี้พวกเราจะกินข้าวกับเนื้อ (คำว่าพรานสุนัข หมายความว่า พรานเขามีสุนัขป็นครื่องมือ เวลาจะไปไล่เนื้อ ก็ให้สุนัขไล่กัด ไล่เนื้อเข้ามา เมื่อสุนัขต้อนเนื้อเข้ามาทางพราน พรานก็ยิง หรือว่าเนื้อไปทางสุนัข สุนัขก็กัด แกก็ล้อเลียนว่า วันนี้เราจะกินข้าวกับเนื้อ เพราะว่านางพรานสุนัขจะนำเนื้อมาขาย หรือนำเนื้อมาแจกกับพวกเรา) จะไปทางไหนก็ตาม เจ้าหนุ่ม ๆ ทั้งหลายเหล่านั้นมันก็ล้อมันก็เลียน นางก็เกิดความขวยเขินละอายต่อคำพูดของบรรดาพวกชนทั้งหลายเหล่านั้น
    ตอนนี้มาถึงกรรม ด้วยความอาย ลืมนึกไปว่าสุนัขตัวนั้นมันมีความจงรักภักดี ที่ไปอย่างนั้นก็เพราะว่า ตามธรรมดาสุนัขเป็นสัตว์ที่มีความซื่อสัตย์ เราจะตี เราจะด่า เราจะลงโทษมันประการใดก็ดี สำหรับสุนัขประเดี๋ยวมันก็เดินเข้ามาประจบประแจง ในภาษิตบางส่วนหรือคนบางท่านได้กล่าวว่า ขึ้นชื่อว่าความกตัญญูรู้คุณ บางทีสุนัขจะดีกว่าคนหลายคน  เพราะคนหลายคนที่เราบำรุงบำเรอด้วยดี เขาก็มีความรัก ถ้าผิดใจนิดเดียว เขาอาจจะฆ่าเราได้
    นางอายแก่ใจแบบนั้นแล้ว แทนที่จะคิดเป็นอย่างอื่นว่า สุนัขตัวนี้มีความจงรักภักดีแก่ตน กลับประหารสุนัขตัวนั้นเสีย คำว่าประหารหมายความว่า ขว้างบ้าง ตีบ้าง ขว้างด้วยก้อนดินบ้าง ตีด้วยท่อนไม้บ้าง เป็นต้น ให้สุนัขนั้นหนีไป สุนัขมันก็ไม่รู้ว่านายของมันไล่ทุบไล่ตีมันด้วยความผิดอะไร
    ต่อมาท่านบอกว่า ได้ยินว่าสุนัขตัวนั้นเคยป็นสามีของนางในชาติก่อน ที่สุนัขนี้ติดตามมีความจงรักภักดีก็ต้องคิดเหมือนกัน บรรดาท่านพุทธบริษัท องค์สมเด็จพระภควันต์กล่าวว่า สุนัขตัวนั้นได้เคยเป็นสามีของนางในชาติก่อน ๆ มาถึง 3 ชาติ ด้วยกัน เพราะเหตุฉะนั้น มันจึงไม่อาจที่จะตัดความรักในนางได้ เมื่อนางจะขว้าง นางจะตี นางจะไล่ ประการใดก็ตามที เมื่อนางหยุด นางไปไหน มันก็ตามไปด้วยความจงรักภักดี ต่อไปตามพระบาลี ท่านกล่าวว่า
    จริงอยู่ ใคร ๆ ชื่อว่าไม่เคยเป็นเมียหรือว่าเป็นผัวกัน (ศัพท์ภาษาเพราะหน่อยเขาเรียกเป็นสามีภรรยากัน แต่ว่าบาลีท่านบอกว่าว่าไม่เคยเป็นผัวป็นเมีย) มาในกาลก่อน ในสงสารอันมีที่สุด อันบุคคลตามไปไม่รู้แล้ว (หมายความว่า ในอัตภาพต่าง ๆ ที่เราเกิดมานี้ มันใช้เวลานานมาก ใช้เวลานับเป็นแสน ๆ กัป แต่ละกัป ๆ บางทีเราอาจจะเกิดตั้ง 2 ครั้ง 3 ครั้ง วนกันไป วนกันมา ท่านจึงกล่าวว่า ผู้หญิงและผู้ชายที่เกิดมาในชาตินี้ทั้งหมด ที่ไม่เคยเป็นสามี ไม่เคยเป็นภรรยากัน ไม่มี อาจจะเคยสัมผัสผ่านมาในบางวาระ ครั้งหนึ่งหรือสองครั้ง หมายความว่า ในชาติหนึ่งหรือสองชาติ สามชาติก็ได้ เพราะการเกิดของเราป็นล้าน ๆ ครั้ง ไม่ใช่เป็นแสน ๆ ครั้ง นับเป็นร้อย ๆ ล้านครั้งก็ได้ เพราะการเกิดมันนับไม่ถ้วน เป็นคนบ้าง เป็นสัตว์บ้าง เป็นเทวดา เป็นพรหมบ้าง เป็นสัตว์ในอบายภูมิบ้าง โดยเฉพาะที่มาเกิดเป็นคนมันก็นับไม่ถ้วน)
    ท่านกล่าวว่า ถึงกระนั้น ความรักมีประมาณยิ่ง (หมายความว่า ความรักที่มีความชิดเชื้อมาในกาลก่อน เคยป็นสามีภรรยากันในกาลก่อน มันมีประมาณมากอย่างยิ่ง) ท่านกล่าวต่อไปว่า ย่อมมีในผู้ที่เป็นญาติกันในอัตภาพไม่ไกล (หมายความว่า บางคนในชาตินี้ เกิดต่างพวกต่างพ้อง ต่างพี่ต่างน้อง ต่างบิดามารดา แต่ว่าในกาลก่อนเคยป็นญาติกันมา ก็เกิดความรักกันได้ พอได้ยินชื่อก็นึกรักคนนั้นขึ้นมาทันที เหมือนกับว่าเป็นพี่เป็นน้อง อย่างนี้เป็นต้น เรื่องนี้ก็ปรากฎแก่บุคคลหลายคน เพราะว่าบางทีเราไม่เคยเห็นหน้าเขา แต่ว่าเคยได้ยินชื่อว่าคนนั้นคนนี้ เราก็เกิดความพอใจ)
    องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงตรัสว่า เพราะเหตุนั้น สุนัขตัวนั้นจึงไม่อาจที่จะละนางได้ ถึงนางจะทุบจะตีเป็นประการใดก็ตาม เขาก็ไม่โกรธนาง แสดงความจงรักภักดี
    ปัจจัยนี้เอง บรรดาท่านทั้งหลาย องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงตรัสว่า เป็นเหตุให้นางโกรธสุนัขนั้น เมื่อนำข้าวยาคูไปเพื่อสามีที่นาแล้ว นางจึงเอาเชือกใส่ไว้ในชายพกแล้วจึงเดินทางไป สุนัขตัวนั้นเห็นนายที่เป็นที่รักของมัน คือภรรยาในอัตภาพชาติก่อนๆ ไปแล้ว มันก็ไปกับนางเหมือนกัน ตามนางไป ไปไหนมันก็ตามไปด้วย นางให้ข้าวยาคูแก่สามีแล้วถือเอากระออมเปล่า (วันนี้วางแผนฆ่าสุนัข เวลาที่จะเอาข้าวไปให้สามีก็เอาเชือกไปด้วย เมื่อเอาข้าวไปให้สามีแล้วก็ถือกระออมเปล่า) ไปสู่แม่น้ำแห่งหนึ่ง เมื่อไปถึงแม่น้ำแล้ว นางก็ตักทรายใส่กระออมจนเต็ม จะได้มีน้ำหนักมาก ๆ แล้วจึงได้ให้สัญญาณเรียกสุนัขตัวซื่อสัตย์เข้ามา (คือสามีเก่าของนาง) ให้มายืนอยู่ในที่ใกล้ ๆ เจ้าสุนัขก็ดีใจว่า วันนี้เจ้านายใจดี อุตส่าห์เรียกเข้ามา มันจึงเข้ามาหาด้วยความดีใจ
    แล้วนางจึงได้กล่าวว่า นี่เธอ มันนานแล้วนะที่เราได้รับการเยาะเย้ยจากพวกชาวบ้านต่าง ๆ ก็เพราะตัวเจ้าเป็นสำคัญ ในวันนี้เจ้ากับเราเห็นจะต้องจากกันเสียแล้ว ความจริงนางพูดเจ้าสุนัขมันไม่รู้ มันดีใจที่นายพูดกับมัน แต่มันไม่รู้ว่าพูดว่าอย่างไร สุนัขมันเข้าใจเพียงสัญญาณเรียกมันมา จะให้มันกินมันก็กิน มันจำสัญญาณบางอย่างเท่านั้น
    เจ้าสุนัขกระดิกหางดีใจหูรี่หมอบอยู่ข้าง ๆ นาง นางจึงได้จับเจ้าสุนัขตัวนั้น (จับก็ไม่ต้องจับแรง ท่านบอกว่าใช้มือจับอย่างมั่นที่คอแล้ว หมายถึงลูบ ๆ คลำ ๆ จับมัน มันก็ยอมให้จับแต่โดยดี) จึงเอาสายเชือกข้างหนึ่งผูกกระออมที่ใส่ทรายจนเต็ม แล้วเอาปลายเชือกอีกข้างหนึ่งผูกที่คอสุนัข เมื่อทำเสร็จ (จะทำอย่างไรเจ้าสุนัขมันก็ยอม เพราะมันมีความรัก) จึงได้ผลักกระออมให้กลิ้งลงน้ำ กระออมมันหนัก เจ้าสุนัขตัวนั้นก็ตามกระออมลงน้ำไปด้วย เพราะเชือกผูกคอมันอยู่ เจ้าสุนัขตัวนั้นก็ถึงกาละ(คือตาย) ในที่นั้นเอง
    องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า เพราะอาศัยกรรมเพียงเท่านี้ นางนั้นต้องไหม้อยู่ในนรกสิ้นกาลนาน เพราะกรรมที่ฆ่าสัตว์ และเพราะอาศัยผลของกรรมนั้น (คำว่าวิบากแปลว่าผล) ด้วยผลของกรรมที่เหลือ คือ เศษกรรมที่เหลืออันนั้นนี่ นางต้องตายเพราะเหตุที่เขาถ่วงน้ำแบบนี้สิ้นมาแล้ว 100 ครั้ง ( คือ 100 อัตภาพ)
    นี่เป็นกฎของกรรมที่เรามองไม่เห็น บรรดาท่านพุทธบริษัท ฉะนั้นเกิดมาในชาตินี้ ถ้าบังเอิญจะมีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นปัจจัยให้เรามีทุกข์ ทั้ง ๆ ที่เราพิจารณาแล้วว่า กรรมชั่วประเภทนี้ไม่มีสำหรับเรา ถ้าเรามีความสงสัยอย่างนั้น จงคิดถึงเรื่องกา กับเรื่องหญิงซึ่งเป็นภรรยาของนายเรือนี้ก็แล้วกันว่า กรรมเก่าที่เราทำมาแล้วเรามองไม่เห็น ชาตินี้ถึแม้ว่าเราจะทำความดีเพียงใดก็ตามที ก็เป็นเรื่องยากที่เหล่าเราทั้งหลายจะทราบว่า กรรมทั้งหลายเหล่านั้นมันมาเพราะอะไร ทั้งนี้ก็ต้องอาศัยท่านผู้ได้ฌานสมาบัติ ต้องเป็น
    โลกุตตระฌาน จึงจะสามารถทราบเหตุการนี้ได้โดยแท้ ถ้าเป็นฌานโลกีย ก็ไม่แน่เหมือนกัน เพราะอุปทานมันกิน
    เป็นอันว่า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพยากรณ์กฎของกรรมกับบรรดาภิกษุ 7 รูป จึงได้กราบทูลถามองค์สมเด็จพระประทีปแก้วว่า ที่พวกข้าพระพุทธเจ้าต้องติดอยู่ในถ้ำถึง 7 วัน เพราะอาศัยหินใหญ่ตามที่กล่าวมาแล้วนั้นกลิ้งทับอยู่หน้าถ้ำ คน 7 ตำบลก็มีจำนวนไม่น้อย ก็ไม่สามารถจะทำหินให้เคลื่อนไปได้ พวกข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ช่วยกันดันหินก็ไม่เขยื้อน ต้องอดอาหารทรมานร่างกายอยู่ถึง 7 วัน เมื่อครบ 7 วันแล้ว หินนั้นก็เคลื่อนไปเฉย ๆ เป็นเรื่องอัศจรรย์ ขอองค์สมเด็จพระพิชิตมาร พระผู้มีพระภาคเจ้าได้โปรดมีพระมหากรุณาธิคุณ สงเคราะห์บอกกรรมนั้นแก่ข้าพระพุทธเจ้าด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า
    องค์สมเด็จพระมหากรุณาจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กรรมนี้มีอยู่เราจะกล่าวให้ฟัง ในอดีตกาลมีเด็กเลี้ยงโค 7 คนเป็นชาวกรุงพาราณสี เที่ยวเลี้ยงโคอยู่คราวละ 7 วัน ในประเทศ ใกล้ดงแห่งหนึ่ง(หมายความว่า ไปเลี้ยงอยู่ใกล้ ๆ บ้านไม่ไกลนัก   ไปครั้งละ 7 วันจึงกลับ)
    วันหนึ่งเที่ยวไปเลี้ยงโค แล้วกลับมาพบเHี้ยใหญ่ตัวหนึ่ง (เวลากลับจากเลี้ยงโคพบเHี้ยใหญ่ตัวหนึ่ง เห็นเHี้ยก็เลยอยากจะกินเนื้อเHี้ย)   เจอะเHี้ยให่ตัวหนึ่งจึงได้พากันไปไล่ตามเHี้ย หนีเข้าไปสู่จอมปลวกแห่งหนึ่ง เHี้ยมันกลัวตาย และจอมปลวกแห่งนั้นก็มีช่องอยู่ 7 ช่อง เHี้ยตัวนั้นเข้าไปในช่องใดช่องหนึ่งแล้ว ก็อาจจะออกช่องใดช่องหนึ่งก็ได้ เพราะจอมปลวกมี 7 ช่องศูนย์กลางข้างในเป็นโพรง (หมายถึงเป็นทางออกได้ เป็นทางเข้าได้)
    บรรดาเด็กทั้งหลายเหล่านั้นปรึกษาหารือกันว่า บัดนี้พวกเราไม่สามารถจะจับเHี้ยตัวนี้ได้เสียแล้ว มันเข้าไปอยู่ในช่องจอมปลวกใหญ่ วันพรุ่งนี้เราจึงมาจับมัน ปรึกษากันอย่างนี้แล้วต่างคนต่างก็ถือเอากิ่งไม้ที่หัก ๆ เอามาคนละกำสองกำ รวมด้วยกันทั้ง 7 คน ก็พากันอุดช่องโพรงของจอมปลวกนั้น 7 ช่อง อุดเสียให้แน่นให้เHี้ยออกมาไม่ได้ พออุดแล้วก็กลับไป
    ในวันรุ่งขึ้นเด็กทั้งหลายเหล่านั้นก็ลืม ไม่ได้นึกถึงเHี้ยนั้นเลย เพราะว่าเวลามาเลี้ยงควายเลี้ยงวัว เลี้ยงคราวละ 7 วัน คิดว่าวันรุ่งขึ้นจะมา เธอก็ลืมไป และต้อนโคไปกินที่อื่น เธอก็ไม่ได้นึกถึงเHี้ย ครั้นครบวันที่ 7 พาโคกลับมาบ้าน เมื่อพบจอมปลวกอันนั้นกลับคิดขึ้นมาได้ว่า เราอุดเHี้ยไว้ในโพรงจอมปลวกอันนี้ เจ้าเHี้ยตัวนั้นมันจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ ตายแล้วหรือยังก็ไม่รู้ ตั้ง 7 วันแล้ว จึงได้พากันไปเปิดช่องที่ตนอุดไว้แล้ว 7 ช่องด้วยกัน คนละช่อง ๆ
    สำหรับเHี้ยที่อยู่ในโพรงนั้น มันอดอาหารตั้ง 7 วัน ก็หมดอาลัยในชีวิตเหลือแต่กระดูกและหนัง คลานสั่นออกมา (หมายความว่า มันมดเรี่ยวหมดแรง  ตัวก็ผอมลงไปเพราะการอดข้าวอดน้ำ อาหารก็ไม่มี น้ำก็ไม่มีจะกิน   มันก็หมดอาลัยในชีวิตคิดว่าคราวนี้ตายแน่ หมดอาลัย เวลาที่เด็กทั้งหลายเหล่านั้นเปิดช่อง เห็นช่องโผล่ มีช่องพอจะออกได้ ก็เดินออกมาด้วยความหมดเรี่ยวหมดแรง) เด็กทั้งหลายเหล่านั้นเห็นดังนั้นแล้ว จึงได้ทำความเอ็นดูพูดกันว่า ทีแรกเจ้าเHี้ยตัวนี้มันอ้วน พวกเราจะฆ่ามันกินเนื้อ แต่เวลานี้เจ้าเHี้ยตัวนี้มันมีหนังหุ้มกระดูกก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร มันอดเหยื่อของมันถึง 7 วัน จึงได้แสดงความรักในเHี้ยนั้น เกิดความสงสาร จึงได้ลูบหลังเHี้ยตัวนั้นแล้วก็ปล่อยไป เวลาเขาจะปล่อยเขาก็บอกกับเHี้ยว่า จงไปตามสบายของเจ้าเถิด
    องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจึงได้ตรัสต่อไปว่า ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เด็กทั้งหลายเหล่านั้นไม่ต้องไหม้ในนรกก่อนเพราะไม่ได้ฆ่าเHี้ย หมายความว่าเด็กทั้งหลายเหล่านั้นที่ทรมานเHี้ยนั้นไม่ต้องลงนรก ไม่เหมือนกับกา ไม่เหมือนกับภรรยาของนายเรือ ท่านบอกว่าเด็กทั้งหลายเหล่านั้นไม่ต้องไหม้อยู่ในนรก เพราะไม่ได้ฆ่าเHี้ยนั้น แต่ชนทั้ง 7 นั้น คือบรรดาเด็กทั้ง 7 นั้น ได้เป็นผู้ต้องอดข้าวอดน้ำตลอด 7 วันมาถึง 14 อัตภาพ หมายความว่าเกิดมาแล้ว 14 ชาติ หลังจากตายจากชาตินี้ก็มากิดเป็นคน แต่เกิดเป็นคนก็ต้องมาอดข้าวแบบนี้มาถึง 14 ชาติแล้ว
    องค์สมเด็จพระประทีปแล้วจึงได้มีพระพุทธฎีการตรัสว่า ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กรรมนั้นพวกเธอได้เป็นเด็กเลี้ยงโค (หมายความว่า พระ 7 องค์นั้น เป็นเด็กเลี้ยงโค) ได้ทำกรรมนั้นแล้ว ในกาลนั้นเป็นอันว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ปัญหา อันภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นทูลถามแล้วด้วยประการฉะนี้
    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ขึ้นชื่อว่ากฎของกรรมในชาติก่อน เราไม่สามารถจะเห็นได้ สำหรับเรื่องนี้ยังไม่จบ เหลืออีกนิดหนึ่ง
    ในครั้งนั้น ภิกษุรูปหนึ่งกราบทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ความพ้นย่อมไม่มีแก่สัตว์ที่ทำกรรมเป็นบาปไว้แล้ว ผู้ซึ่งเหาะไปในอากาศก็ดี แล่นอยู่ในมหาสมุทรก็ดี เข้าไปอยู่ในซอกแห่งภูเขาก็ดี หรือประการใดพระพุทธเจ้าข้า หมายความว่า ภิกษุรูปนี้สงสัยว่า คนที่สร้างกรรมชั่วแบบนี้ ถ้าเขาจะเหาะไปในอากาศหรือนั่งเรือไปในทะเล หรือหนีเข้าไปอยู่ในซอกเขา เขาจะหนีได้ไหม พระเจ้าข้า (พระรูปนี้ท่านก็ถามแปลก ท่านคิดว่ากรรมนั้นมันเป็นวัตถุ หรือกรรมเป็นคนไล่ติดตาม หรือกรรมเป็นผีติดตาม แต่ความจริงกรรมนั้นเป็นความชั่วที่ติดตามใจ ไม่ได้ติดตามกาย ถ้าใจของเราไปอยู่ที่ไหน มันก็ไปด้วย เธอไม่ได้คิด) ต่อไปขอได้โปรดฟังคำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระธรรมสามิสร ท่านตอบว่าอย่างไร
    ในขณะนั้น องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจึงได้มีพระพุทธฎีาตรัสว่า อย่างนั้นแหละภิกษุทั้งหลาย หมายความว่า แม้คนทั้งหลายเหล่านั้นเขาจะอยู่ในอากาศก็ดี หรือว่าจะไปในทะเล มหาสมุทรก็ดี จะอยู่ในซอกเขาลำเนาไพร ที่ไหนก็ดี กรรมทั้งหลายเหล่านั้นย่อมติดตามเขาไปอยู่ตลอดเวลา ไม่พึงสามารถจะพ้นกรรมชั่วไปได้   เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิพระธรรมเทศนา พระองค์จึงตรัสบาทคาถาว่า
    คนที่ทำกรรมชั่ว จะหนีไปในอากาศก็ดี ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้ หนึไปท่ามกลางมหาสมุทร ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมแห่งความชั่วที่ตนทำแล้วได้ จะหนีเข้าไปสู่ซอกแห่งภูเขา ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมแห่งความชั่วที่ตนทำไว้แล้ว ทั้งนี้ เพราะเขาอยู่แล้วในประเทศแห่งแผ่นดินใดพึงพ้นจากกรรมชั่วนั้นได้ ประเทศแห่งแผ่นดินนั้นหามีอยู่ไม่
    เป็นอันว่า เมื่อองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ตรัสอย่างนี้แล้ว เมื่อเวลาจบพระธรรมเทศนาบรรดาภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นก็ได้บรรลุมรรคผล มีพระโสดาบัน เป็นต้น พระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีประโยชน์ แม้แต่มหาชนผู้ประชุมกัน ทั้งนี้ก็หมายความว่า เวลาที่พระพุทธเจ้าเทศน์ หรือเวลาที่พระทั้งหลายเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ก็ไม่ได้มีอยู่แต่พระ มีบรรดาประชาชนทั้งหลายส่วนใหญ่เข้าไปนั่งรอฟังเทศน์อยู่ เมื่อองค์สมเด็จพระบรมครูแสดงพระธรรมเทศนา แก้ปัญหากฎของกรรม 3 ประการ คือ
    กรรมของกา เอาคอเข้าไปคล้องเสวียนไฟ
    กรรมของหญิง ผู้เป็นภรรยาของนายเรือ ถูกถ่วงน้ำ
    กรรมของบรรดาภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ผู้ถูกขัง 7 วัน ต้องอดอาหารจนเกือบจะตาย
    เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงแก้ปัญา ก็เกิดปิติแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทผู้รับฟัง ในที่สุดเขาทั้งหลายเหล่านั้นทั้งพระทั้งฆราวาส ก็พากันบรรลุมรรคผลเป็นพระอริยบุคคล มีพระโสดาบันเป็นต้นเป็นจำนวนมาก
    นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท การนำเอากรรมทั้งหลายเหล่านี้มาแสดงให้แก่บรรดาท่านพุทธบริษัทได้รับทราบ ก็เพราะว่าเวลานี้มีคนส่วนใหญ่เคยมาปรารถให้ฟังว่า ชาตินี้ทำความดีทุกอย่าง แต่ทำไมจึงเป็นปัจจัยแห่งความทุกข์ คือมีทุกข์หลายประการเข้ามาเบียดเบียน หากว่าท่านได้สดับเรื่องนี้แล้ว ก็จงหวนนึกถึงตัวของท่านเองว่า ความสำคัญที่สร้างความเดือดร้อนให้เกิดขึ้น อาจจะเป็นผลของกรรมคล้าย ๆ กับท่านทั้งสามที่กล่าวมาแล้วนี้ก็ได้
    สำหรับตอนนี้ ก็ต้องขอยุติเรื่องราวกฎของกรรมของคน 3 คนไว้ ณ ที่นี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สวัสดี.
                                                               ***********

    • Update : 30/4/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch