หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    อานิสงส์การถวายพระไตรปิฎก (พระสารีบุตร)
    อานิสงส์การถวายพระไตรปิฎก (พระสารีบุตร)
    อานิสงส์การถวายพระไตรปิฎก
     
                            วันหนึ่ง ท่านพระสารีบุตร เวลานั้นชื่อ อุปติสสะ อาศัยที่ถวายพระไตรปิฎกไว้ในพระพุทธศาสนา เป็นเหตุให้เป็นผู้มีปัญญาเลิศ       ทีนี้ความเป็นผู้มีปัญญาเลิศของพระสารีบุตร เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว เราอาจจะคิดว่าเป็นของมหัศจรรย์ เราพบว่าแก้วนี่ถ้าปราศจากละอองธุลีเข้ามาเบียดบังทำให้แปดเปื้อน มันก็ใส จิตของพระอรหันต์ก็ใสประกอบไปด้วยประกาย คือหาอะไรเปื้อนไม่ได้ จึงเป็นผู้ทรงปัญญาเลิศ ตอนนี้เราก็ว่าอัศจรรย์แล้ว แต่คิดไปอีกทีไม่น่าอัศจรรย์ เพราะเป็นพระอรหันต์
     
                            นี่เราหลบกลับลงมาอีกครั้งหนึ่ง ตอนที่พระโมคคัลลาน์กับพระสารีบุตร ยังเป็นลูกชาวบ้านอยู่ เราจะเห็นปัญญาพระสารีบุตร ขณะที่ท่านทั้งสองไปดูมหรสพ แล้วเกิดอารมณ์เศร้าใจ วันอื่นนั้นสบายใจ ดีใจ ร่าเริง ให้รางวัลแก่ผู้แสดงมหรสพ แต่วันนั้นทั้งสององค์ต่างนั่งหน้าเศร้า หน้าสลด  ไม่ร่าเริง ทั้งนี้เพราะดู ๆ มหรสพก็นั่งคิดไปว่า
     
                            “เฮ้อ...คนดูมหรสพนี่ไม่ช้าก็ตายหมด พวกแสดงนี่ไม่ช้าก็ตายหมด แถมเราเองก็ต้องตายเสียด้วย ถ้าอย่างนั้นเราเกิดมาเพื่อตายอยู่ทำไมกัน เกิดแล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิด”
     
                            ท่านก็มาใคร่ครวญว่า   “ธรรมที่ทำให้คนที่เกิดมาแล้วตายได้มันมี ก็ต้องมีอะไรสักอย่างที่เป็นธรรม ที่ทำให้คนเกิดไม่ตายได้”
     
                            หมายความว่า เมื่อมีมืดแล้วก็มีสว่างคู่กัน หรือทางพ้นแห่งความตาย ที่เราเรียกว่า “โมกขธรรม”
     
                            ท่านทั้งสองตกลงใจกันว่า เราเปิดเถอะ ไปหาโมกขธรรมที่เป็นเครื่องพ้นแห่งความตายดีกว่า จึงลาพ่อลาแม่   มีบริวารคนละ 250   เพราะเป็นลูกมหาเศรษฐี ออกจากสำนักพ่อแม่ไป บริวารทั้งสองท่านรวมกันเป็น 500 หัวหน้าอีกสอง คือตัวท่านเองเป็น 502 ท่าน เข้าไปอยู่ในสำนักสัญชัยปริพาชก ท่านสัญชัยปริพาชกก็สอนสุดกำลัง ท่านทั้งสองก็เรียนเต็มที่ เพราะความมีปัญญาด้วยกันทั้งคู่ ปรากฎว่าไม่ช้าท่านก็เรียนจบ แล้วก็มีความฉลาดเก่งกาจมาก
     
                            ท่านสัญชัยปริพาชกก็ให้เป็นอาจารย์สอนแทน แต่ว่าท่านทั้งสองนี่อาศัยที่มีบุญญาบารมีเต็มแล้ว ควรที่จะเป็นพระอรหันต์ จึงมาคำนึงพิจารณาว่า ความรู้ที่ได้จากสำนักนี้ยังไม่จบ ยังไม่พ้นจากความตาย ธรรมที่ดีกว่านี้ต้องมีอีก
     
                            นี่เพราะดวงปัญญาของท่านเดิม ที่เคยถวายพระไตรปิฎกแก่พระ
     
                            ท่านทั้งสองจึงตกลงกันว่า “นี่เราช่วยกันแสวงหาโมกขธรรม ถ้าใครเจอะอาจารย์ดีกว่านี้ก็มาบอกกัน หรือใครได้พบธรรมในการค้นคว้าดีกว่านี้ละก้อ กลับมาบอกกัน”
     
                            ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เวลานั้นก็มีลูกศิษย์ปัญจวัคคีย์อยู่ 5 องค์เป็นพระบริวาร เมื่อทั้ง 5 ท่านบรรลุอรหันต์แล้ว พระพุทธเจ้าทรงสั่งให้ไปประกาศพระศาสนา แต่มีเงื่อนไขว่า ไปแล้วอย่ารวมกัน ให้แยกกันไปคนละที่
     
                            บังเอิญพระอัสสชิมาสายนั้นพอดี ท่านก็บิณฑบาตอยู่ใกล้ ๆ แถวนั้น ต่อมาวันหนึ่ง พระสารีบุตรเวลานั้นชื่อ อุปติสสะ ท่านออกไปจากสำนัก ก็พอดีเห็นพระอัสสชิเดินออกบินฑบาตผ่านไป เห็นลีลาของท่านไม่ว่าจะเป็นลีลาการเยื้องกาย ก้าวเท้าซ้ายแกว่งเท้าขวา อิริยาบถใดดูแล้วงามจริง ๆ เป็นจริยานิ่มนวล ท่านจึงคิดในใจว่า
     
                            “พระสมณะองค์นี้น่าเลื่อมใส เราอยากจะรู้นักว่าเป็นลูกศิษย์ใคร สำนักของเรานี่มีลูกศิษย์เป็นพันเป็นหมื่น แต่จริยานิ่มนวลในการสำรวม ในการเดินทอดจักษุแบบนี้ไม่มี หากว่าเราจะถามเวลานี้ในขณะที่ท่านบิณฑบาตก็ไม่ควร”
     
                            นี่ดูความเป็นผู้มีปัญญาของพระสารีบุตร ท่านก็นึกต่อไป
     
                            “มันเป็นเวลาที่ไม่ควร เราควรจะถามในเวลาที่ท่านกลับ”
     
                            เห็นท่านเดินไป พระสารีบุตรนั่ง ตอนนั้นท่านยังเป็นปริพาชก ยังไม่เป็นพระสารีบุตร ชื่อเดิมว่า อุปติสสะ ที่เราเรียก สารีบุตร ก็เพราะว่าเดิมแม่ชื่อสารี เวลาพระอัสสชิกลับมา ท่านก็ย่องเข้าไปยกมือไหว้แล้วก็ถาม
     
                            “พระคุณเจ้าเป็นลูกศิษย์ของใคร อยู่สำนักของใคร ชอบใจธรรมะของท่าน ครูของท่านสอนว่าอย่างไร
     
                            พระอัสสชิท่านเป็นอรหันต์รุ่นแรกซะด้วย นี่เขาว่าขลังนะ แต่ความจริงพระอัสสชินี่เป็นพระอรหันต์สุขวิปัสสโก เราจะจับกันได้ก็ตอนพระอัสสชินิพพาน ตอนนั้นเป็นโรคกระเพาะ ครางอ๋อย บ่นบอกให้พระไปตามพระพุทธเจ้ามา เพราะโรคมันเบียดเบียนมาก ท่านก็ยืนมองพระสารีบุตร ปั๊บเดียวก็รู้ว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะอรหันต์นี่จิตสะอาดมาก ท่านก็นึก
     
                            “ปริพาชกคนนี้ฉลาดมาก หากเราขืนพูดมาก เดี๋ยวถูกต้อนจนมุม”
     
                            ท่านก็เลยบอก “ปริพาชก เราเป็นผู้ใหม่ในพระพุทธศาสนา เราเป็นลูกศิษย์ของพระสมณโคดม ท่านถามปัญหาของท่าน เราตอบแบบพิสดารไม่ไหว เพราะเรายังใหม่อยู่ มีความรู้ไม่มาก”
     
                            แต่ความจริงพระอรหันต์นี่ไปไล่ท่านไม่จนหรอก ตอนนั้นพระสารีบุตรยังไม่เป็นพระอรหันต์นี่ ไล่อย่างไรก็ไม่จน เพราะพระอรหันต์นี่ปัญญาเกิดจากการปฏิบัติ ไม่ต้องอาศัยหนังสือ เดี๋ยวนี้ปัญญาจะเกิดได้ต้องอาศัยหนังสือก่อน พระสารีบุตรได้ยินเช่นนั้นก็เลยบอกว่า “ท่านจะพูดเรื่องพิสดารทำไม เอาแค่หัวข้อย่อ ๆ ก็พอแล้ว”
     
                            พระอัสสชิจึงกล่าวว่า “ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระพุทธเจ้าตรัสเหตุของธรรมนั้น”
     
                            เพียงเท่านี้ พระสารีบุตรก็เข้าใจทันที แล้วก็สำเร็จพระโสดาบัน
     
                            นี่เราจะเห็นว่าปัญญาของท่าน แม้แต่ยังไม่เป็นอรหันต์ เพียงฟังธรรมโดยย่อก็เข้าใจทันที และก็สำเร็จพระโสดาปัตติผล  ต่อมากลับมาพบพระโมคคัลลาน์ก็บอกว่า
     
                            “เวลานี้พบโมกขธรรมแล้ว เจออาจารย์ใหม่ด้วย”
     
                            พระโมคคัลลาน์ก็ถาม “ธรรมนั้นได้มาอย่างไร”
     
                            พระสารีบุตรก็บอกตามนั้น พระโมคคัลลาน์ก็ได้พระโสดาปัตติผลเหมือนกัน นี่เราจะเห็นว่า ปัจจัยที่ได้ถวายพระไตรปิฎกไว้ในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ว่าจะเป็นผู้มีปัญญาเลิศเมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว ถึงแม้ว่าเราเกิดในช่วงต่อ ๆ ไปที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์เพียงใด เราก็เป็นผู้มีปัญญาประเสริฐกว่าบุคคลอื่นเหมือนกัน แต่ทว่าไปโดนคนที่เขาถวายพระไตรปิฎกเหมือนกัน ก็เห็นจะไม่เหลื่อมล้ำกว่ากันแน่ เคยไปเทศน์ชนกัน บางทีเทศน์เรื่องคืบเดียว 3 วันยังไม่จบ เพราะมีข้อไล่กันไปไล่กันมาไม่จบ อย่างนี้ก็พิสูจน์ได้ว่า พวกนี้เขาฝึกฝนปัญญามาด้วยการถวายพระไตรปิฎกในพระศาสนา
     
                            นี่เป็นอันว่า การที่ญาติโยมเอาพระไตรปิฎกกับเชิงเทียนมาถวายวัด เชิงเทียนนี่ก็เป็นประทีปโคมไฟ พระไตรปิฎกเป็นตัวปัญญา ฉะนั้น อานิสงส์ที่จะพึงได้ก็คือ
     
                            1. ทิพจักขุญาณ
                            2. ปัญญาเลิศ
     
                            สำหรับท่านที่เป็นผู้ร่วมรายการด้วยการโมทนา ก็เป็นปัตตานุโมทนามัย เราเป็นคนมีปัญญาไม่ถึงหัวแถว อยู่กลาง ๆ แถวหรือท้าย ๆ แถวก็ได้ พวกที่จะได้ทิพจักขุญาณก็เหมือนกัน บุญใดที่เขาทำแล้วเรายินดีด้วย เรียกว่า ปัตตานุโมทนามัย
     
                            ดูตัวอย่างพระนางพิมพา ไม่เคยทำบุญเองเลย พระพุทธเจ้าทำคนเดียว แต่พระนางพิมพาโมทนาตลอดกาล เวลาพระพุทธเจ้าเป็นอรหันต์ พระนางก็เป็นอรหันต์ได้ เพราะปัตตานุโมทนามัยอันนี้เอง.
     
    (คัดมาจากหนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับพิเศษ โดยพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง อุทัยธานี)
     
    (จากหนังสือรวมคำสอนพระสุปฏิปันโน เล่ม 2)

    • Update : 29/4/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch