อานิสงส์การรักษาอุโบสถครึ่งวัน
คนตัดฟืนของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
ในสมัยพระพุทธเจ้ามีมหาเศรษฐีท่านหนึ่ง มีนามว่าอนาถบิณฑิกเศรษฐี บ้านนั้นเวลาวันพระ ทุกคนในบ้านนั้นต้องรักษาอุโบสถ ปรากฎว่ามีวันหนึ่งเป็นวันพระ มีคนจนคนหนึ่งเข้ามาจะเป็นลูกจ้างของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านก็ถามว่า เธอทำงานอะไรได้บ้าง เขาก็บอกว่า ทำทุกอย่างตามที่ท่านจะใช้ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็บอกว่า งานอย่างอื่นมีเจ้าหน้าที่เต็มหมดแล้ว ที่ยังมีงานพร่องอยู่ก็คือคนตัดฟืน เพราะที่บ้านนั้นต้องเลี้ยงคนมาก เลี้ยงพระมาก ต้องตัดฟืนมาหุงข้าว เธอก็ยอมรับ หลังจากนั้นเธอกินข้าวเช้าเสร็จ ก็ถือขวานเข้าป่าไปตัดฟืน ตัดฟืนแล้วกลับมาตอนเย็น
พอถึงตอนเย็นก็ปรากฎว่า คนที่บ้านนั้นเงียบสงัดไม่มีเสียงเอะอะโวยวายเหมือนตอนเช้า ตอนเช้าต่างคนก็ขอข้าว ฉันขอข้าวฉันขอแกงฉันขอกับ ฉันต้องการอย่างนั้น ฉันต้องการอย่างนี้ แต่ว่าตอนเย็นสงบสงัดหมด เธอก็เข้าไปที่ครัว พอเข้าไปถึงโรงครัว แม่ครัวก็จัดอาหารเฉพาะเธอ ถ้าพิจารณาแล้ว กินก็เหลือนิดหน่อยให้ เธอก็ถามว่า วันนี้ทุกคนในบ้านเขากินข้าวกันหมดแล้วหรือ เห็นเงียบไป ตอนเช้าเอะอะโวยวาย แม่ครัวก็บอกว่า วันนี้เป็นวันพระ ที่บ้านนี้ทั้งหมดทุกคนวันพระต้องรักษาอุโบสถ แม้แต่เด็กที่กำลังกินนมอยู่ ท่านมหาเศรษฐียังให้บ้วนปาก และกินน้ำผึ้งหรือนมใสข้นแทน
และนายคนนั้นก็ถามว่า อุโบสถเป็นอย่างไร แม่ครัวก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ฉันนี่ไม่รู้เรื่องหรอก ถ้าอยากจะรู้ก็ไปถามท่านมหาเศรษฐีก็แล้วกัน ท่านมหาเศรษฐีสั่ง ทุกคนก็ทำตามสั่ง แต่ความรู้ไม่มี เขาอาจจะพอรู้บ้างแต่ว่าไม่กล้าอธิบาย ชายคนนั้นก็เข้าไปหาท่านมหาเศรษฐี ท่นก็แนะนำว่า อุโบสถศีลมีสิกขาบท 8 คือศีล 8 นี่แหละ แต่รักษาวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง เขาเรียกว่าอุโบสถศีล ตอนเย็นจะสมาทานได้ไหม ท่านมหาเศรษฐีก็บอกว่า ถ้ารักษาเต็มวันไม่ได้ รักษาครึ่งวันก็ใช้ได้ เขาก็สมาทานอุโบสถศีลกับท่านมหาเศรษฐี ท่านมหาเศรษฐีก็แนะนำว่า อุโบสถศีลมีอย่างนี้นะ มี 8 ข้อนะ ก็ว่ากันตามศีล 8
บุญที่ทำให้เป็นรุกขเทวดา
หลังจากนั้น ก็เป็นการบังเอิญ เมื่อเขาสมาทานศีลแล้ว เขาก็ไม่ได้กินข้าวเย็น เขากินแต่ข้าวเช้าและกินข้าวกลางวันที่ห่อไป งานตัดฟืนมันก็หนักแต่เขาไม่ได้กินข้าวเย็น เขาก็มานอนที่พัก พอตกดึกเข้าลมมันก็เกิด ลมดันขึ้นมา มีอาการจุกอาการเสียดมาก มีคนมารายงานท่านมหาเศรษฐี ท่านมหาเศรษฐีก็ไปแนะนำ นำอาหารที่มีรสเลิศ 5 อย่างไปให้กิน บอกกินเสียเถอะ วันอื่น ๆ ยังมีอยู่ วันนี้ไม่เป็นไร ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ วันอื่นยังรักษาได้ ชายคนนั้นก็ใจเด็ด เขาบอกว่า ความดีเต็มวันผมทำไม่ได้ แต่ผมรักษาได้แค่ครึ่งวัน ถ้าผมจะตายเพราะว่าความดีครึ่งวัน ผมยอมตาย ไม่ยอมกินอาหาร ท่นมหาเศรษฐีจะแค่นเท่าไร เขาก็ไม่ยอมกิน หลังจากนั้นมาท่านมหาเศรษฐีก็จำต้องกลับ ถึงเวลารุ่งขึ้นเขาตายพอดี ตายเพราะกำลังใจที่พอใจในอุโบสถศีล เป็นอันว่าบุญในโอกาสที่เขาทำได้ ทำคราวนั้นคราวเดียว เมื่อตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นรุกขเทวดา
ในเวลานั้นก็ปรากฎว่ามีฤาษี 60 ท่าน ตั้งใจจะไปบ้านท่านมหาเศรษฐี มีโฆษกเศรษฐีเป็นต้น ซึ่งเขาอาราธนาไว้ว่า ถ้าเวลาหน้าแล้ง ขอให้ไปรับภัตตาหารที่บ้านเขา เขาจะเลี้ยงฤาษี 60 คนนี่นะ แต่ท่านไม่ได้อภิญญา ฤาษี 60 ท่านนี่ก็ไป ไปถึงต้นไม้ใหญ่มีพุ่มใหญ่ ก็คิดว่าต้นไม้นี่มีพุ่มใหญ่มีเงาดี เรานั่งพักสักครู่หนึ่งดีกว่า พอนั่งพักไปสักครู่หนึ่ง หัวหน้าฤาษีก็มีความรู้สึก คือท่านไม่ได้ทิพจักขุญาณ แต่มีความรู้สึกคิดว่า ต้นไม้นี้อาจจะมีรุกขเทวดาที่มีบุญมาก เพราะต้นไม้มีพุ่มใหญ่เหลือเกิน จึงนึกในใจว่า เวลานี้เราเดินมาเหนื่อย และมีความกระหายน้ำ ถ้าหากว่ารุกขเทวดาจะเมตตาเรา บันดาลน้ำที่สะอาดให้เรากินก็จะดี เทวดาก็บันดาลน้ำให้กิน
ต่อมาเธอก็คิดว่า แหม...เราเดินมาไกล มันร้อน ถ้ามีสระอาบน้ำได้ก็ดี เทวดาก็บันดาลสระอาบน้ำให้อาบ เมื่อความประสงค์ของฤาษีเป็นไปตามความประสงค์ ท่านก็คิดว่า เทวดาองค์นี้ต้องมีอานุภาพมาก ฉะนั้น จึงขอร้องด้วยวาจาว่า ขอเทวดาผู้มีคุณแสดงตัวให้ปรากฎ เทวดาก็แสดงตัวให้ปรากฎ ท่านก็ถามบอกว่า ท่านรุกขเทวดา ท่านมีบุญญานุภาพมาก ข้าพเจ้าต้องการอะไร ท่านก็บันดาลให้ได้ทุกอย่าง และเวลานี้ก็เห็นวิมานของเทวดาด้วย เทวดาให้เห็นตัวด้วย เห็นวิมานด้วย วิมานท่านก็ใหญ่โตมโหฬารสวยสดงดงาม ตัวท่านก็มีความสง่า มีเครื่องประดับดี มีแสงสว่างมาจากกาย อยากจะทราบว่าในสมัยที่เป็นมนุษย์ ท่านทำบุญอะไรไว้ พอท่านฤาษีถามอย่างนี้เทวดาก็อาย เทวดาก็บอกว่า อย่าถามผมเลยขอรับ ผมอายเหลือเกิน เพราะบุญผมน้อย ในเมื่อฤาษีคะยั้นคะยอหนักเข้าขอร้องมากขึ้น หนักขึ้น เทวดาก็ยอมบอก ตอบว่า ผมมีบุญน้อย เป็นรุกขเทวดาเพราะรักษาอุโบสถครึ่งวัน ตามเรื่องราวที่ได้กล่าวมาแล้ว
****************