ท่านศิริ
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
คราวนี้ก็จะได้นำเรื่องตายแล้วไปไหนมาเล่าอีกตามเคย เรื่องที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นเรื่องของพระที่ป่วยแล้วตาย เมื่อตายแล้วได้มีโอกาสพบเห็นทางที่มีความสุขและความทุกข์ ที่เรียกว่านรก สวรรค์ และนิพพาน ท่านเจ้าของเรื่องท่านรับรองว่าเป็นความจริงทุกประการ
ท่านผู้อ่านบางท่านอาจจะสงสัยว่า สวรรค์ นรก นั้นเป็นเรื่องที่น่าจะมีได้ แต่คำว่า นิพพานนี้ ตามที่เข้าใจกันตามตำราว่ามีสภาพสูญ คือสลายตัว ไม่มีอะไรเหลือ ความคิดเห็นนี้เป็นความเข้าใจของนักศึกษาทางศาสนามานานแล้ว แต่เมื่อมาพบเรื่องมีผู้ไปนิพพานเข้า ท่านอาจจะสงสัยว่าเรื่องกุขึ้น หรือเป็นอารมณ์ฝัน ตามที่ทางวัดเรียกว่าอุปาทาน คือยึดถือเกินไป เรื่องนี้จะมีอะไรเป็นเหตุผล ควรเชื่อหรือไม่เพียงใด ก็ขอยกให้เป็นภาระของท่านผู้อ่าน สำหรับผู้เล่าเรื่องนี้ขอเล่าตามที่ได้รับฟังมา
เรื่องที่จะนำมาเล่าต่อไปนี้ รับฟังมาจาก พระธนะศิริ กันตะศิริ พระวัดราชประดิษฐ์ จังหวัดพระนคร เมื่อ พ.ศ. 2497 เรื่องราวของท่านมีดังนี้
เมื่อปี 2488 ท่านมีอายุ 19 ปี ท่านตายไปครั้งหนึ่ง และ พ.ศ. 2497 ท่านตายอีกครั้งหนึ่ง รวมการตายของท่านที่ตายแล้วฟื้นในชีวิตของท่านสองครั้งด้วยกัน เมื่อสมัยท่านอายุ 19 ปี ท่านได้ติดตามญาติของท่านคนหนึ่งไปอยู่ทางภาคอีสานของประเทศไทย ท่านไม่ได้บอกไว้ว่าจังหวัดไหน เมื่อท่านเล่าให้ฟังก็มัวสนใจเรื่องที่ท่านเล่าให้ฟัง ไม่ได้ถามว่าจังหวัดไหนแน่ เอากันว่าท่านอยู่ภาคอีสานชั่วคราวก็แล้วกัน
วันหนึ่งท่านมีอาการปวดฟัน เนื่องจากโรคฟันหรือเหงือกเป็นฝี ที่เรียกว่าโรครำมะนาด ท่านมีอาการปวดมากจนเหลือที่จะทน ท่านจึงไปหาหมอรักษาและทำฟันที่ตั้งร้านรับรักษาและทำฟันในตลาดใกล้ ๆ บ้าน เพื่อให้หมอถอนฟันซี่นั้นออก เมื่อหมอถอนฟันแล้วท่านก็กลับบ้าน หมอที่ถอนฟันเป็นหมอจีน พวกหมอจีนนี้รู้สึกว่ามีวิชารอบรู้มาก มาถึงเมืองไทยแล้วเป็นทุกอย่าง เป็นช่างตัดผมก็ได้ ช่างทองก็เป็น ช่างปรุงอาหารให้คนไทย ทั้ง ๆ ที่อาหารที่คนไทยชอบแกก็ไม่ชอบกิน แต่แกก็สามารถทำให้คนไทยกินพากันติดอกติดใจในฝีมือปรุงอาหารของแก เป็นหมอปลูกฟัน หมอถอนฟัน หมอเสริมทรงเสริมสวย
เรื่องความสามารถของชาวจีนนี้เราทราบกันดี ไม่ว่าที่ไหนที่คนไทยด้วยกันเข้าไม่ถึง พี่แกเข้าถึงทุกด้าน ปริญญาที่ชาวจีนเรียนมานี้ คือปริญญาสามารถโดยไม่ต้องเข้ามหาวิทยาลัย น่าจะขอเรียนต่อจากแกบ้าง จะเป็นประโยชน์มาก
เอาแล้ว ว่าจะเล่าเรื่องของท่านศิริ แอบมายุ่งเรื่องเจ๊กให้อีก ขออภัยท่านผู้อ่านด้วย มาว่ากันเรื่องของท่านศิริต่อไป เมื่อท่านมาถึงบ้านแล้ว ก็เข้ามาพักตามปกติ (ท่านว่าอย่างนั้น) ครั้นเมื่อถามว่า อาการปวดหายสนิทดีแล้วหรือ ท่านบอกว่าปวดบ้างแต่ไม่มาก รู้สึกปวดเล็กน้อย มันปวดตุบ ๆ นิดหน่อย มีอาการคล้ายจะง่วงนอน ก็เลยเอนกายลงนอน ปรากฎเหมือนมีอะไรวิ่งซู่ซ่าตามมือและเท้า จะว่าลมพัดก็ไม่ชัด ว่าพิษความปวดก็ไม่เชิง มีอาการคล้ายมีตัวอะไรสักอย่างหนึ่ง วิ่งจากปลายเท้าและปลายมือ เข้ามารวมจุดกันที่หัวใจ ก็มีอาการคล้ายเคลิ้มหลับ แต่ไม่ใช่หลับสนิท มีอาการเหมือนฝัน
ตามความรู้สึกในขณะนั้น รู้สึกว่าตนเองนอนอยู่ในสภาพเดิมที่นอนอยู่ แต่ทว่าถูกปลุกให้รู้สึกตัวขึ้นด้วยน้ำมือของชายสองคน ชายสองคนนี้มีรูปร่างใหญ่โต ผิวดำล่ำสัน คนหนึ่งยืนอยู่ทางด้านศีรษะ อีกคนหนึ่งยืนอยู่ทางด้านปลายเท้า คนที่ยืนทางด้านศีรษะถือคบเพลิงทองเหลืองจุดแสงสว่างมาก ทั้งสองคนนั้นประมาณอายุก็เห็นจะราว ๆ 30 ปี ทั้งคู่ เขาทั้งสองออกปากชวนว่า “ไปกันเถอะ” ท่านถามว่า “จะไปไหน” เขาก็ชวนว่า “ไปเถอะน่า ไปด้วยกัน”
เมื่อเขาชวน ความจริงตามความรู้สึกแล้วก็ไม่อยากไปกับเขา แต่ดูเหมือนมีอำนาจอะไรในตัวเขาทำให้ท่านต้องลุกจากที่นอน แล้วก็เดินตามเขาไปอย่างคนว่าง่าย เมื่อท่านเดินตามเขาออกจากบ้าน คนที่ยืนทางด้านศีรษะเป็นคนถือคบเพลิงนั้น บอกกับเพื่อนเขาว่า
“นี่ไอ้เกลอ เอ็งนำไปคนเดียวก็แล้วกันนะ มันคนเดียวและยังเป็นเด็กคงไม่หนีหรอก ส่วนข้าจะไปธุระที่อื่นสักครู่”
เพื่อนเขารับคำแล้วเขาก็แยกทางไป ไม่ทราบว่าเขาไปไหน ท่านเล่าว่า เมื่อขณะที่ถูกคุมตัวมานั้น คนคุมเขาไม่ได้ดุด่าว่าหรือฉุดกระชากลากตัวแต่อย่างใด เขาให้เดินตามเขาไปตามปกติ พอถึงทางสามแพร่ง ตอนนี้ท่านชักไม่ไว้ใจตัวเอง เกรงว่าจะกลับบ้านไม่ถูก เมื่อเข้าถึงทางแยก ท่านพยายามสังเกตุทางที่เดินไว้ทุกระยะ ทั้งนี้เพื่อว่าเมื่อเวลากลับจะได้ไม่หลงทาง พยายามเหลียวซ้ายแลขวาไว้เสมอ เมื่อเดินไกลมานิดหน่อยก็เหลียวหลังเพื่อดูต้นทางที่ผ่านมา เมื่อเหลียวมาข้างหน้าก็แลเห็นประตูใหญ่ที่ตั้งอยู่ที่กำแพงใหญ่มหึมา เมื่อผ่านประตูเข้าไปเห็นศาลาคล้ายศาลาวัด มีพระกำลังเทศน์ มีคนฟังทั้งชายและหญิงไม่กี่คน ท่านก็นั่งลงยกมือพนม คิดถึงคุณพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เมื่อผ่านสถานที่นั้นไปแล้วก็เข้าไปประตูชั้นที่สอง เขาพาไปยืนอยู่ข้างบันไดตึกเตี้ย ๆ เขาบอกว่า
“ไอ้หนู เอ็งยืนอยู่ตรงนี้ก่อนนะ คอยฉันอยู่ตรงนี้”
ขณะนั้นเขาคือคนที่มารับก็ยืนอยู่ด้วย คล้ายกับว่าจะคอยใครสักคนหนึ่ง สักครู่หนึ่งก็มีชายรูปร่างสูงใหญ่แต่งเครื่องแบบคล้ายทหารโบราณ มีหลายคนด้วยกัน บางคนถือหอก บางคนถือขวาน เข้าแถวมายืนขนาบท่านอยู่ทั้งสองข้าง ปรากฎว่าทั้งหมดตามที่เขาจำได้มีจำนวน 6 คน คือคนถือหอก 3 คน ถือขวาน 3 คน เขาเข้ามายืนขนาบสองข้างท่าน ตอนนี้ท่านเล่าว่ารู้สึกกลัวขึ้นมา เพราะอยู่ ๆ ก็เกิดมาคุมตัวกันเฉย ๆ ไม่ยอมแจ้งข้อหาเสียด้วย ไม่เหมือนตำรวจเมืองไทยหรือเมืองจีน เมืองแขกฝรั่งก็คงจะเหมือน ๆ กัน คือเมื่อก่อนจะจับเขาต้องแจ้งข้อหาก่อน เป็นต้นว่า
“นี่ไอ้หนู เธอมีความผิด เพราะเมื่อสามสิบปีก่อนโน้นเธอด่าฉัน”
ถ้าเราบอกว่า “เมื่อสามสิบปีก่อนโน้น ผมยังไม่เกิดครับ ผมจะด่าท่านได้อย่างไร” เขาก็อาจจะแจ้งข้อหาที่สมควรใหม่ในทำนองว่า
“เธอยังไม่เกิด ด่าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ก็พ่อเอ็งด่าข้านี่หว่า”
ถ้าจะแก้ตัวว่า “เรื่องของพ่อทำไมผมจึงจะต้องรับผิด” เขาก็อาจจะตอบตามหลักการของนักกฎเกณฑ์ว่า “ ก็ทีสมบัติเอ็งทำไมยังมีสิทธิรับมรดก ทีเรื่องความผิดเอ็งจะไม่ยอมรับไม่ได้ ข้าต้องจับ”
นี่ว่ากันตามประเพณีเมืองมนุษย์ เมื่อจะจับกันเขาก็ต้องแจ้งข้อหาก่อน แต่เมืองผีนี่แปลก อยู่ ๆ ก็มาชวนไป เมื่อไปแล้วก็ไม่บอกว่าจะให้ไปทำไม ไปไหนก็ไม่บอก เมื่อถึงสถานที่แล้วก็ส่งตำรวจผีออกมายืนคุมเอาดื้อ ๆ แปลก ท่านที่ยังไม่เคยตายต้องระวังไว้ เรื่องตายนี้หนีไม่พ้นแน่ ไม่ต้องไปหาฤาษีหรือเทวดาองค์ใดช่วยหรอก เทวดาท่านก็ตายจากคนไปเกิดเป็นเทวดา ฤาษีท่านก็กำลังรอความตายที่เข้ามาเล่นงานท่านอยู่ทุกขณะลมหายใจเข้าออก แล้วท่านยังคิดว่าท่านจะไม่ตายอย่างนั้นหรือ
เรื่องของความตาย ฟังท่านที่ตายเล่าให้ฟังรู้สึกไม่หนักใจ เพราะคนตายมีอาการคล้ายหลับแล้วฝัน แต่ไม่ดีอยู่หน่อย ตอนที่ตายแล้วมีการลงโทษ เมื่อรับโทษ ความรู้สึกเจ็บนี่สิไม่น่าตาย คนที่ตายเพื่อหลบหนีเจ้าหนี้ต้องระวังไว้ หนีเจ้าหนี้เมืองมนุษย์นั้นหนีได้ อย่าคิดว่าจะหนีกฎของกรรมที่ตำรวจผีเป็นผู้มีอำนาจควบคุมได้
เมื่อท่านเป็นคณะทหารโบราณ หรือนัยหนึ่งที่ท่านเรียกว่าทหารพระยายม มายืนเข้าแถวเป็นกองเกียรติยศอย่างนั้น ท่านรู้สึกหวาดกลัวมาก แต่ก็ไม่มีทางใดที่จะหนีได้ ก็จำต้องยืนให้หน่วยทหารตั้งแถวขนามตามความพอใจ ครั้นมองไปข้างหน้า เห็นบริเวณนั้นที่มีรูปคล้ายเวทีละคร มีม่านสีดำกั้นอยู่ เหมือนกับฉากโรงมหรสพ เมื่อม่านถูกรูดออก แลเห็นเก้าอี้ตั้งอยู่สามตัว มีชายคนหนึ่งถือบัญชีมีรูปคล้ายสมุดข่อยเดินออกมา แล้วนั่งเก้าอี้ตัวที่หนึ่ง พอแกนั่งแล้วแกก็ไม่พูดกับใคร แกเปิดบัญชีตรวจอยู่คนเดียว ทุกคนในที่นั้นเงียบสงัด เขาตรวจสอบบัญชีอย่างพิถีพิถัน สักครู่หนึ่งชายอีกคนหนึ่งก็เดินออกมานั่งเก้าอี้ตรงกันข้าม คนนี้มือไม่ได้ถืออะไร มาเฉย ๆ แล้วคนที่สามก็เดินออกมา คนนี้รูปร่างใหญ่กว่าทุกคน แต่งตัวภูมิฐานกว่าสองคนนั้น ดูท่าทางเป็นคนมีอำนาจ ออกมานั่งเก้าอี้ตัวกลางทำท่าทางเหมือนตุลาการ พอนั่งเรียบร้อย แกก็เริ่มเทศนาโปรดโดยไม่ต้องมีใครนิมนต์
พระเทศน์หรือคนแสดงปาฐกถายังต้องหาคนนิมนต์หรือได้รับเชิญ นี่ว่ากันตามระเบียบเมืองมนุษย์ แต่ที่เมืองผีนี่ไม่ต้องเชิญ แกออกมานั่งได้ก็เทศน์ทันที แต่ทว่าลีลาการเทศน์ของแกไม่เหมือนพระที่เคยได้ยิน พอเริ่มอารัมภบท แกก็เอาเรื่องของท่านศิริมาว่าเลย แกหันหน้ามาทางท่านศิริ แกก็เริ่มด้วยคำว่า
“เอ็งนี่ เป็นคนใจบาปหยาบช้ามาก เมื่อตอนเป็นเด็กเคยเอาก้อนดินขว้างลูกไก่ตาย”
พอท่านนักเทศน์สาธารณะท่านเริ่มแสดงออกมาอย่างนั้น ท่านเล่าว่าสมองของท่านมันมีความรู้สึกจดจำเหตุการณ์ตามที่ท่านนักเทศน์เมืองผีขึ้นมาได้ เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อสมัยเป็นเด็กยังอายุน้อยประมาณ 9 หรือ 10 ปี ตอนนั้นเล่นกับเพื่อน เห็นลูกไก่เดินมา ด้วยความคะนองเอาก้อนดินขว้างไป พอดีถูกลูกไก่ตาย ด้วยใจจริงแล้วไม่คิดจะฆ่า ทำเพื่อหวังการหยอกเย้าด้วยความคะนองเท่านั้น เมื่อความจำปรากฎก็อดสงสัยไม่ได้ คิดในใจว่า เราทำกรรมมาเกือบสิบปีแล้ว และเราก็ทำที่เมืองมนุษย์ ทำไมตาผีใหญ่คนนี้จึงรู้ได้
เมื่อเห็นเขาทราบตามความจริงโดยไม่ต้องบอก ก็ชักหวาดหวั่นใจ พอนึกเท่านั้น ท่านตุลาการใหญ่เมืองผีก็หันมายิ้มอย่างเมตตา แล้วพูดว่า
“เอ็งไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะทำดีหรือชั่วในที่ลับตาคนหรือทำที่ไหน ๆ ก็ตาม ทางเมืองผีนี้รู้ทุกอย่าง ไม่มีทางปกปิดได้”
เมื่อได้ยินเขาพูดและตรงตามที่ใจนึก ก็สงสัยใหญ่และหวาดหวั่นมากขึ้น คิดว่าเขารู้อาการความนึกคิดได้อย่างไร พอนึกเท่านี้แกก็หันมาพูดว่า
“รู้ใจคนและสัตว์ได้เสมอ เพราะพวกเราทำบุญมาพอ” แล้วท่านเทศน์ต่อไปอีกมากมาย ตอนนี้ไม่ตรงตามความเป็นจริง เมื่อท่านนักเทศน์หรือพระยายมเทศน์จบ ท่านก็ค้านทันที โดยรายงานว่า
“ข้อแรกที่ท่านว่า ข้าทำไก่ตายเมื่อเป็นเด็กเล็ก ข้อนั้นเป็นความจริง ส่วนข้อกล่าวหานอกนั้นไม่มีความจริงเลย ข้าไม่เคยชั่วหยาบอย่างนั้น” เมื่อท่านศิริท่านคัดค้านขึ้นมา คราวนี้ก็เกิดความวุ่นวาย แทนที่เขาจะหวนกลับมาดุหรือตวาดแหว ๆ อย่างท่านนักสอบสวนขี้โมโหทั้งหลาย แกกลับหันหน้าไปหานายบัญชีคนที่ดูตำราตลอดเวลา แล้วถามว่า
“นี่เรื่องมันยังไงกัน คนที่ให้ไปเอามานั้นอายุเท่าไร” นายบัญชีเรียนว่า “อายุ 13 ปีเจ้าค่ะ”
ท่านตุลาการใหญ่ (ขอเรียกว่าพระยายม ตามศัพท์ทางศาสนา) หันมาถามท่านศิริว่า “นี่พ่อหนู เวลานี้เธออายุเท่าไร”
แปลกใจนิดหนึ่ง ที่แกเทศน์เอา ๆ แล้วแทนที่แกจะคิดว่าท่านศิริเป็นศัตรูที่ท่านคิดจะลงโทษ โดยที่จะผิดหรือไม่ผิดก็ลงโทษ เพราะไหน ๆ ก็ได้ลงทุนลงแรงจับมาแล้ว แกไม่เป็นเช่นนั้น พอค้านว่าไม่ใช่อย่างนั้น กรรมชั่วนอกจากขว้างไก่ตายไม่เคยทำอะไรเท่านั้น ใบหน้าที่เคยเห็นเข้มข้นน่ากลัว ก็กลายเป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเมตตาปรานี น้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็แสดงออกให้เห็นว่าเมตตาอย่างสุดซึ้ง ทำให้มีกำลังใจขึ้นอักโข เมื่อท่านหันมาแล้วถามถึงอายุปัจจุบัน ได้เรียนท่านว่า
ขณะที่เขาไปเอานี้อายุ 19 ปีเศษ แต่ชื่อไปตรงกับคนที่เขาให้ไปเอามา”
ตอนนี้ท่านพระยายมตกใจมาก ท่านรีบเรียกคนที่ไปรับมาว่า
“เจ้านี่ชุ่ยมาก ทำไมไม่ตรวจตราดูให้ดี ไปจับผิดจับถูกอย่างนี้มีความเสียหายมาก ต้องรีบเอาตัวเขาไปส่งโดยเร็ว ถ้าทางบ้านเขาจัดการเผาร่างกายหรือเอาไปฝังจะมีเรื่องใหญ่ ต่อไปต้องทำงานด้วยความระมัดระวัง ถ้าขืนทำชุ่ย ๆ แบบนี้อีกจะถูกลงโทษอย่างหนัก”
เรื่องนี้เป็นบทเรียนอีกอย่างหนึ่งว่า เรื่องชุ่ย ๆ นี้ไม่ใช่จะมีแต่เมืองมนุษย์เท่านั้น เมืองผีก็ชุ่ยเหมือนกัน ต่างกันอยู่นิดหนึ่งที่เมืองผียอมรับนับถือผลประโยชน์ของจำเลย เมื่อจับไปแล้วปรากฎว่าไม่มีความผิด เพราะจับตัวผิดก็ไม่ขังฟรีเพราะสอบสวนไม่สำเร็จ และไม่ลงโทษตามอารมณ์ เหมือนเมื่อสมัยอินโดจีนเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส สมัยนั้น ถ้าลงชาวเมืองขึ้นถูกจับแล้ว ถ้าสอบสวนจำเลยหรือผู้ต้องหาไม่รับ เขาจะสั่งขังคุกขี้ไก่หรือตอกเล็บ คือเอาเหล็กตอกสวนปลายเล็บเข้าไป แล้วมีวิธีการต่าง ๆ เป็นการทรมานให้ยอมรับ ผู้ต้องหาทนการทรมานไม่ไหวก็ต้องจำยอมรับผิดทั้ง ๆ ที่เขาผู้นั้นไม่มีความผิด
ที่พูดนี้ ไม่ใช่จะยุท่านให้เกลียดฝรั่งเศสหรือเกลียดใครในเมืองมนุษย์ เพียงแต่เอามาเปรียบเทียบกันว่า ใครจะมีความเที่ยงตรงมากกว่ากัน เรื่องของท่านศิรินี้แสดงให้เห็นว่า เมืองผีมีความยุติธรรมมากกว่าเมืองมนุษย์ ถ้าท่านสงสัยก็ไม่ต้องพยายามสอบสวน เพราะอีกไม่นานอย่างช้าไม่เกินร้อยปี ทุกท่านก็ต้องไปเมืองผีเหมือนผู้เล่า มาว่าเรื่องของท่านศิริต่อไป
เมื่อท่านพระยายมผู้น่าเคารพที่เต็มไปด้วยความยุติธรรม และเปี่ยมไปด้วยความเมตตาปรานี ได้สั่งให้คนนำกลับมาส่งตอนจะออกเดิน ท่านสั่งว่า
“นี่เจ้าโคล่ ก่อนที่จะนำเขาไปส่ง ไหน ๆ เขาก็ได้มีโอกาสมาในที่นี้แล้ว พาเขาชมการลงโทษคนที่สร้างความชั่วไว้สมัยเมื่อเป็นมนุษย์ เพื่อจะได้ทราบตามความเป็นจริงว่า คนที่เกิดมาแล้วมีความประมาท ไม่คิดว่าตัวจะตาย ทั้ง ๆ ที่คนอื่นเขาตายให้เห็นเป็นปกติ แล้วประกอบกรรมทำความชั่ว ไม่เคารพในทาน ศีล ภาวนา ต้องมีโทษทัณฑ์อย่างไรบ้าง พาเขาไปชมให้ทั่ว แล้วจึงค่อยนำเขาไปส่ง”
เมื่อท่านมีบัญชาให้นายตำรวจผีนำท่านไปชมแล้ว ท่านศิริเล่าให้ฟังต่อว่า ท่านพระยายมท่านหันมาพูดด้วยอัธยาศัยไมตรีเป็นอย่างดี ท่านสั่งมาว่า
“คนทุกคนเมื่อสิ้นลมปราณตายจากมนุษย์แล้ว ต้องผ่านมาเพื่อให้สอบสวนก่อน ทั้งนี้เว้นไว้แต่ท่านที่อารมณ์เข้าถึงระดับฌานและตายในฌาน ท่านพวกนั้นไม่ต้องผ่านการสอบสวน เมื่อออกจากร่างมนุษย์แล้วก็ไปสู่สถานที่สมควรคือสวรรค์หรือพรหมทันที
คนที่เกิดเป็นมนุษย์สร้างแต่ความดี คือทำบุญกุศลมากก็จะมีโอกาสได้รับความสุข และได้กลับไปเกิดเป็นมนุษย์เพื่อสั่งสมบารมีเร็วเข้า ถ้าสร้างแต่ความชั่วก็จะถูกทรมาน นานมากกว่าจะได้เกิดเป็นมนุษย์ เพราะชดใช้กรรมชั่วที่ตัวทำไว้กว่าจะสิ้นกฎของกรรม”
ท่านได้กรุณาสั่งว่า “เธอ ต่อไปเมื่ออายุได้ 27 ปี เธอจะต้องตายจากมนุษย์เพราะครบกำหนดตามเวลาที่เจ้าจะเกิดเป็นมนุษย์ เจ้าจงอย่างทำกรรมชั่วใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าขืนสร้างกรรมชั่ว จะต้องถูกลงโทษตามกฎของกรรม”
เมื่อท่านสั่งเสร็จ ก็มีบัญชาให้นายตำรวจผีนำไปชมการลงโทษชาวเมืองนรก ท่านนายตำรวจผีแสนจะชุ่ย เพราะจับท่านไปอย่างไร้การพิจารณา ก็พาท่านขึ้นไปบนตึกสามชั้น บนตึกนั้นมีห้องเป็นลูกกรงเหล็ก มีคนถูกขังอยู่มากมาย แต่เงียบสงัดหาเสียงพูดไม่ได้เลย ตอนนี้เป็นที่น่าเสียดายอยู่หน่อยหนึ่งที่ท่านศิริบอกให้ทราบขณะที่เล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นท่านไม่มีกำลังใจจะดูอะไรเลย มีความหวาดกลัวเป็นกำลัง มีความประสงค์อย่างเดียว คืออยากให้คนที่เขาพามาส่งนั้น ส่งให้ถึงที่อยู่อย่างเดียว เขาจะเตือนว่าท่านพระยายมกรุณาให้ชมก็ควรชมให้ตลอด เพราะยากนักที่จะได้มาเห็นตามความเป็นจริง แต่ท่านก็ไม่ยอมเพราะคิดถึงบ้านและญาติพี่น้องจนเหลือทน
เรื่องของผีที่ตายจากความเป็นคน แล้วคิดถึงห่วยใยคนที่มีชีวิตอยู่นี้ ท่านคงจะทราบจิตใจของผีแล้วว่า ทุกคนที่ตายจากความเป็นคนแล้ว ไม่มีใครลืมสภาพเมื่อยังไม่ตาย และเรื่องการตายที่คิดว่าสิ้นทุกข์ก็ไม่ตรงตามความเป็นจริง ทุกเรื่องที่ท่านอ่านมาแล้ว ท่านเคยเห็นไหมว่ามีเรื่องใดบ้างที่คนตายไปแล้วมีสภาพสลายตัว ไม่มีความรู้สึกเย็นร้อนทุกข์สุข หาไม่ได้เลย ทุกท่านที่ตายแล้วกลับฟื้นคืนมา หรือตายแล้วเกิดใหม่ ทุกท่านรายงานเหมือนกันหมดว่า ทุกอย่างมีสภาพตามเดิม หมายถึงความรู้สึกของจิตใจ มีสุขมีทุกข์เหมือนเดิม
ที่ว่าตาย ก็ปรากฎว่าตายแต่สังขารร่างกาย อีกส่วนหนึ่งกลับมีสังขารร่างกายใหม่เกิดขึ้นมาทดแทนร่างกายเดิม มีทุกอย่างเหมือนกัน ความรู้สึกก็เท่าเดิม มีทุกข์มีสุขเหมือนกัน ท่านอ่านแล้วท่านสงสัยหรือไม่ว่า เจ้าสังขารที่มีมาแทนสังขารที่สิ้นลมปราณแล้วนั้นมันมาจากไหน ถ้าสงสัยก็คิดเอาเพียงง่าย ๆ ว่า เมื่อเวลาที่ท่านนอนหลับ แล้วฝันว่าไปทางไหนทำอะไร มันมีร่างกายตามสภาพเดิม ทำอะไรได้ทุกอย่าง มีความรู้สึกนึกคิดเหมือนสังขารที่นอนหลับปุ๋ยอยู่นั้นทุกอย่าง สังขารอันนั้นมันมาจากไหน ถ้ายังสงสัยก็ต้องขอผ่านไปก่อน
ตอนนี้พูดถึงเรื่องของท่านศิริต่อไป เพราะเรื่องของท่านยังไม่จบ ท่านยังจะตายให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบถึงการตายวาระที่สองต่อไป ท่านเล่าให้ฟังว่า เมื่อท่านขอร้องให้นายตำรวจผีมาส่งท่าน เขาก็ไม่ขัดใจ เขาพาเดินมาเพื่อส่งให้ถึงบ้าน เมื่อเดินได้เล็กน้อย เขาก็บอกว่า
“ต่อไปนี้เธอไปเองเถิด อีกไม่ไกลก็ถึงบ้าน”
ท่านบอกว่า ท่านพยายามขอร้องให้เขาเดินมาส่งอีก เขาไม่ยอม เขาบอกว่า
“เดินไปเถอะ ประเดี๋ยวก็ถึง” ว่าแล้วเขาก็หันหลังกลับ
ท่านไม่รู้จะขอร้องให้เขาพาไปส่งได้อย่างไร ก็ตั้งใจหันกลับเพื่อจะเดินทางต่อไป ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าทางที่จะไปบ้านนั้นไปทางไหน พอหันหลังหวังจะเดินต่อไป ก็ปรากฎว่าเท้าไปสะดุดรากไม้เข้า ท่านล้มลง ต่อนั้นก็มีอาการคล้ายหวิวเหมือนตกจากที่สูง แล้วก็รู้สึกตัวว่ามาปรากฎอยู่ในร่างเดิม มีอาการคล้ายหลับแล้วฝันไป และตื่นขึ้นมา เมื่อลืมตาขึ้น เห็นคนที่บ้านมีพี่สาวหลายคน ทุกคนมีอาการคล้ายร้องไห้ เมื่อเห็นท่านรู้สึกตัว ต่างก็พูดว่า “ฟื้นแล้ว ๆๆ”
เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมา ท่านว่ารู้สึกกระหายน้ำมาก ขอน้ำเขาดื่ม และหิวข้าวเป็นกำลัง ได้ขออาหารมารับประทาน รู้สึกว่าอาหารมื้อนั้นอร่อยมาก อาการที่ปวดฟันก็หายไปสิ้น ไม่มีอาการเจ็บหรือปวดเลย ต่อมาก็ได้เล่าเรื่องที่ผ่านมาให้ทุกคนฟัง ทุกคนต่างพากันแปลกใจและดีใจที่ท่านไม่ตาย ตอนนี้เป็นการตายครั้งแรก ยังมีการตายวาระที่สองต่อไป
เมื่อท่านอายุ 27 ปี 5 เดือน ท่านต้องตายตามคำที่ท่านพระยายมบอกว่า เรื่องตายตามกำหนดนี้ นี่น่าคิดมากเพราะตามเรื่องของบุญชู ก็มีคนตายตามกำหนดที่เขาบอกมา มารายนี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน ดูเหมือนว่าคนและสัตว์ที่เกิดมาแล้วนี้ ไม่มีอะไรเป็นของตัวเลย ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในอำนาจของกรรมหรือตามบัญชาของท่านที่มีอำนาจเหนือ ที่เราชอบเรียกว่าพญามัจจุราช หรือพระกาล เมื่อถึงวาระแล้วไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้แม้แต่ศาตราจารย์นักคิดทั้งหลายที่นิยมคิดฝืน คือคิดไม่อยากให้แก่ ไม่อยากป่วย ไม่อยากตาย ทุกท่านคิดได้อย่างอิสระเสรี แต่ว่าผลที่ท่านคิดนั่นสิ ไม่มีอะไรสมหวังเลย ท่านเองนั่นแหละในที่สุดก็หัวหงอก ฟันหัก สิ้นความผ่องใส แล้วก็ตายในที่สุด
เป็นอันว่า เรื่องการตายเป็นกฎธรรมดาที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ ถ้ายอมรับว่าตัวจะต้องตาย และคิดไว้ว่าเมื่อเป็นคนก็อยากเป็นคนดี มีความสุข เป็นผีก็อยากเป็นผีดี เป็นผีที่มีความสุข คนที่เมื่ออยู่เป็นสุข ตายแล้วก็เป็นสุข จะทำอย่างไรจะไม่อธิบาย ท่านจะได้ทราบในเรื่องของท่านศิริ ตอนที่ท่านตายในวาระที่สอง ดังจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้
เมื่อถึงกำหนดที่ท่านพระยายมบอกมาว่า อายุ 27 ปี เจ้าต้องตาย เมื่ออายุย่างเข้า 27 ปี 5 เดือน ก็เริ่มป่วยเจ็บออด ๆ แอด ๆ ตลอดมา เป็นอย่างนั้นประมาณปีเศษ โรคที่เป็นก็คือโรคกระเพาะอักเสบ แพทย์แนะนำให้ผ่าท้องเพื่อตัดกระเพาะส่วนที่เสียทิ้ง อาการได้ดีขึ้น และจะพ้นจากการทรมานจากโรคร้าย ท่านและญาติทุกคนก็เห็นชอบด้วย เมื่อถึงกำหนดเวลาที่หมอจะทำการผ่าตัดคือเวลา 9.30 น. หมอเอายาสลบวางเพื่อให้หมดความรู้สึก เป็นการสะดวกต่อการผ่าตัด
เมื่อหมอให้ยาสลบแล้ว ก็ปรากฎว่าพบสหายเก่าทั้งสอง คือชายร่างใหญ่ตัวดำสองนายนั้นมายืนคอยอยู่แล้ว ท่านว่าตอนนั้นท่านมีความรู้สึกว่า สัญญาใดที่พระยายมให้ไว้มาถึงท่านแล้ว เพราะจำเจ้านายตำรวจผีสองนายนั้นได้ดี เขาเริ่มชักชวนตามแบบเดิม ท่านก็ไม่ขัด เพราะยังจำคำของพระยายมได้ว่า อายุ 27 ปี เธอจะต้องตาย
คำว่า ตาย แปลว่า วิญญาณออกจากร่างเดิม ไม่ใช่ตายแล้วไม่รู้เรื่อง คราวนี้ท่านบอกว่า ก็ไปตามแบบเดิม แต่ไม่ต้องไปยืนให้ทหารหน้ามุ่ยร่างกายกำยำขนาบข้าง เขาพาเข้าเฝ้าเลยทันที พอถึงพบพระยายมท่านนั่งคอยอยู่แล้ว แต่ทว่าระหว่างที่เดินไปก่อนจะถึง จะเป็นเพราะชินต่อทางเดินหรืออย่างไรไม่ทราบ รู้สึกปกติ ไม่หวั่นไหวเหมือนคราวก่อน
ก่อนจะถึงสำนักพระยายม ท่านได้เห็นการลงโทษสัตว์นรก คือคนที่ทำชั่วในเมืองมนุษย์แล้วตายไป สิ่งที่ท่านเดินผ่านและเห็นนั้นคือกระทะต้มน้ำร้อนใบใหญ่มาก มีน้ำร้อนเดือดพล่าน น้ำนั้นไม่ใส มีสภาพคล้ายน้ำหลอมทอง มีความร้อนสูงมาก มีเจ้าหน้าที่สองคืนยืนอยู่ใกล้กระทะ มีคนที่ถูกลงโทษยืนเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบหลายคนด้วยกัน ในกระทะมีคนที่ถูกต้มลอยอยู่ในนั้นหลายคน ในน้ำร้อนมีเปลวไฟแลบอยู่ตลอดเวลา ข้าง ๆ กระทะมีคนที่ถูกต้มจวนจะสิ้นแรง ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่เอาขึ้นมา แล้วให้นั่งอยู่ใกล้ ๆ กระทะนั่งร้องครวญครางอย่างน่าสงสารอยู่หลายคน คนที่กำลังลอยอยู่ในกระทะนั้น ดูเหมือนจะร้องครวญครางอย่างน่าสงสารอยู่หลายคน คนที่กำลังลอยอยู่ในกระทะนั้น ดูเหมือนจะร้องเหมือนกันแต่คงร้องไม่ทัน พอจะได้ยินเสียงร้องก็ต้องหมุนตัวกลับลงก้นกระทะเพราะความแรงของน้ำที่เดือดพล่าน ทำให้ทรงตัวอยู่ไม่ได้ มองดูตัวเห็นเนื้อหนังเปื่อยยุ่ยแต่ไม่มีใครตาย
สำหรับเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมนั้นก็มีหน้าที่ต้องปฏิบัติคือ เมื่อเห็นว่าคนที่กำลังถูกต้มสลบไสลคอพับคออ่อนหมดกำลังดิ้นแล้ว แกก็เอาสามง่ามเหล็กแทงคนที่มีสภาพอย่างนั้นขึ้นจากกระทะทีละคน ทำแบบสบายใจ ไม่รีบร้อน แล้วก็เอาสามง่ามเหล็กนั่นแหละแทงคนที่เอามาพักไว้ ให้ลงไปในกระทะทีละคน คล้ายกับคนทอดกล้วยทอด ดูแกไม่มีความรู้สึกสงสารเลย ทำเหมือนคนพวกนั้นไม่มีชีวิต คิด ๆ ไปก็คล้ายกับคนต้มสัตว์ มีปลาเป็นต้น ปลาจะร้อนหรือไม่ ไม่มีความห่วงใย ค่อย ๆ จับใส่หม้อทีละตัวสองตัว แทนที่จะสงสาร กลับมีปีติคือคิดว่า อีกประเดี๋ยวเถอะฉันจะกินแกให้อร่อย สมกับที่ตั้งใจไว้ แต่พวกพนักงานในเมืองนรกไม่ได้กินสัตว์นรกเหมือนคนกินปลา คงทำตามหน้าที่เท่านั้น ถ้าหากมีสิทธิกินได้ด้วย คงจะลดค่าครองชีพได้มากทีเดียว
เมืองนรกนี้แปลกไม่รู้จักหากิน เมืองเราคนเก่งกว่าผี คนที่มีฟันดีดีสามารถกินจอบกินเสียมกินหินกินทรายได้ทุกอย่างที่ต้องการ เรื่องของคนที่มีความสามารถไม่สิ้นสุด พูดไปก็เป็นภัยแก่ปาก ถ้าขืนพูดมากปากจะมีเลือด ไม่พูดดีกว่า ว่ากันถึงเรื่องของผีดีกว่า
ในระยะต่อมา ท่านไปพบต้นไม้มีหนาม ต้นไม้ต้นนี้ไม่ต้องบอกก็พอจะรู้กระมัง ศัพท์ภาษาวัดท่านเรียกฉิมพลีนรก แปลว่า นรกมีต้นไม้ชนิดหนึ่งที่เรียกว่าต้นงิ้ว ต้นไม้ต้นนี้ไม่ว่าใครทั้งนั้นที่มีอารมณ์ชอบเนื้อสดนอกกฎหมาย เป็นมีหวังได้ไปแสดงงิ้วบนต้นงิ้วนี้ทุกคน มันมีหนามแหลมคม ในภาพเหมือนสปริง มีคนไต่อยู่บนต้นงิ้วมากมาย ต้นไม้นี้เขาปลูกไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย แต่หาใบสักใบไม่ได้เลย มีแต่หนาม คนที่จะขึ้นก็แสนสบาย เพราะถ้าไม่อยากขึ้นเอง เจ้าหน้าที่ก็ช่วยส่งขึ้นให้ วิธีส่งก็คือเอาหอกแทงเข้าที่ใดที่หนึ่ง แล้วก็ยกขึ้นไปบนต้นงิ้ว
เมื่อขณะที่คนพวกนั้นไต่อยู่บนต้นงิ้ว หนามทั้งแหลมคมก็ทิ่มแทงเอาจนเลือดไหลทั่วกาย เมื่อไต่ขึ้นไปถึงยอดแล้ว เจ้าหน้าที่ก็บังคับให้ไต่ลงมา เมื่อได้ระยะหอกแกก็เอาหอกแทงสอยขึ้นไป บังคับให้ไต่ขึ้นไปอีก ทำอยู่อย่างนี้ ไม่ได้ถามคนมารับว่าเมื่อไรจะได้พักกันเสียที และก็ไม่ได้ถามเขาด้วยว่าทั้งสองรายนี้มีโทษเพราะบาปอะไร ด้วยรู้อยู่แก่ใจแล้วว่า กระทะต้มนั้นตามความรู้บอกว่า เพราะชอบฆ่าสัตว์ที่มีชีวิตกินเป็นอาหาร รายที่สองนั้นเป็นนักนิยมเนื้อสดนอกกฎหมาย หรือนอกใจผัวนอกใจเมีย เป็นอันว่ารู้กันทั่วแล้วไม่ต้องอธิบาย ท่านพูดแล้วก็หัวเราะชอบใจ
ท่านที่นิยมเหตุทั้งสองประการ โปรดรับทราบไว้ด้วยไหน ๆ ก็จะถูกลงโทษ ถ้ายั้งได้ก็ยั้ง ถ้ายั้งไม่ได้จะขยุกใหญ่ก็ตามใจเถิด ผู้เล่าไม่ขอขัดคอใคร
เมื่อผ่านสถานลงทัณฑ์ทั้งสองแห่งไปแล้ว ท่านว่า ท่านเดินขึ้นบันไดต่ำ ๆ ก็บันไดเดิมนั่นเอง ที่เคยขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง เรื่องการผ่านไม่เล่ากันดีกว่า มันก็แบบเดิม ตอนที่เดินผ่านไปนั้น คราวนี้ไม่เหมือนคราวก่อนก็คือ เห็นไก่อูยืนอยู่ 2-3 ตัว กำลังหาอาหารกินเหมือนกัน มันอยู่กันที่สนามบัลลังก์พระยายมนั่นเอง คิดในใจว่าพระยายมนี่ก็ชอบเลี้ยงนกเลี้ยงไก่เหมือนกัน แต่พอเข้ามาถึงสำนักพระยายม ปรากฎว่าวันนี้ท่านมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อยืนหน้าบัลลังก์ เจ้าไก่อูฝูงนั้นที่คิดว่าเป็นไก่ที่พระยายมเลี้ยงไว้ และนกกระจาบก็เหมือนกัน มันกลายเป็นโจทก์ไป ท่านเองตกเป็นจำเลยของไก่และนกกระจาบ เจ้าไก่อูตัวใหญ่เข้ามาก่อน มันพูดภาษาคนได้คล่องแคล่วและชัดเจน มันฟ้องว่า
“ท่านศิริฆ่ามันสองครั้งสองหน” และเจ้าไก่ทุกตัวก็ฟ้องทำนองเดียวกัน มันรายงานว่า
“ท่านศิริใจคอโหดร้ายมาก เอามันเชือดเป็นอาหาร”
ฝ่ายเจ้านกกระจาบก็รายงานว่า “ท่านศิริเอาปืนยิงพวกมัน”
ท่านว่า ตายคราวนี้แย่กว่าคราวก่อน เพราะคราวก่อนไม่มีโจทก์ คราวนี้โจทก์มากมายเหลือเกิน ต่างก็ยืนยันว่าจำท่านได้
ถามท่านว่า เมื่อเจ้าพวกนั้นกล่าวโจทก์ท่าน ท่านมีความรู้สึกอย่างไรบ้าง ท่านบอกว่า พอสัตว์พวกนั้นโจทก์ขึ้นมา ท่านเองก็นึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้หมด คือเมื่อท่านอายุ 17 ปี ก่อนที่ท่านตายครั้งแรก 2 ปี ท่านฆ่าไก่อูตัวนั้นจริง ท่านเชือดหลอดลมขาดแล้วมันยังวิ่งไปได้ ท่านจึงไปจับมาเชือดใหม่จนมันตายจึงทำอาหารกิน ส่วนไก่อื่น ๆ ท่านก็ฆ่าจริง
เจ้านกกระจาบนั้นท่านว่าในปีอายุ 17 นั่นเอง ท่านไปยิงที่อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ท่านใช้ปืนลูกซองยิงนกกระจาบคราวละครึ่งปีบน้ำมันหลายคราว
ถามท่านว่า “คิดจะปฏิเสธบ้างหรือไม่”
ท่านบอกว่า “อารมณ์ที่จะปฏิเสธไม่มีเลย เมื่อเขากล่าวหาตรงตามความเป็นจริง มันก็หมดกำลังใจที่จะคิดต่อสู้แล้ว”
ท่านว่า ท่านมีโจทก์ฟ้องรายการเท่านั้น นอกนั้นไม่มีใครเป็นโจทก์อีก
เมื่อถามท่านว่า “หลังจากตายวาระแรก สมัยอายุ 19 ปีแล้ว ท่านทำบาปกรรมอะไรบ้างหรือเปล่า” ท่านบอกว่า “ไม่เคยทำบาปเลย เจ้ากรรมฆ่าสัตว์นี้มันเป็นกรรมสมัยก่อนตายวาระแรกทั้งนั้น”
เมื่อเจ้าไก่และนกกระจาบโจทก์ฟ้องแล้ว ท่านพระยายมท่านก็กล่าวว่า
“เจ้าทำกรรมชั่วไว้มาก ถึงเวลาแล้วที่จะต้องชดใช้กรรม”
ความจริงท่านไม่ดุ ไม่ตวาด ท่านพูดอย่างคนมีเมตตา คือน้ำเสียงนิ่มนวล พูดเพราะพริ้ง แสดงว่าท่านมีเมตตาปรานี แต่กรรมที่ท่านทำนี้มันเป็นกฎลงโทษ พระยายมช่วยไม่ได้ คล้ายผู้พิพากษาเมืองมนุษย์ แม้จะมีความเมตตาปรานีจำเลยเพียงใดก็ตาม ถ้าปรากฎว่ามีพยานหลักฐานยืนยัน ก็จำต้องพิพากษาตามกฎหมาย พระยายมก็เหมือนกัน ท่านได้บอกว่า
“เมื่อถึงวาระชดใช้กรรม ก็ต้องจำต้องชดใช้ตามกฎของกรรม เรื่องการที่จะมีโทษมีทุกข์ประการใดนั้น มิใช่ใครจะเป็นคนบัญญัติให้ลงโทษอย่างนั้นอย่างนี้ กรรมที่ทำมาเองนั่นแหละเป็นผู้บังคับให้เป็นไป เธอต้องไปเกิดเป็นไก่ เป็นนกกระจาบ แล้วถูกเขาฆ่าเท่าอายุสัตว์แต่ละตัวจนกว่าจะครบกำหนด หมายความว่าถ้าสัตว์มีอายุสองปีต่อหนึ่งตัว ก็ต้องเกิดเป็นสัตว์ตัวนั้นให้เขาฆ่าสองครั้ง จนกว่าจะครบอายุและจำนวนสัตว์ที่ถูกฆ่า”
เสียดายที่พระยายมไม่ได้บอกมาว่า คนที่ฆ่านั้นจะไม่ต้องมีโทษเนื่องในการฆ่าสัตว์ น่าแปลกที่สัตว์ต่าง ๆ เกิดมาเพื่อถูกฆ่า แต่คนฆ่ากลับมีโทษ ไม่รู้จะเอาอย่างไรดี เล่าต่อไปดีกว่า
พระยายมยังบอกต่อไปว่า
“ความดีของเจ้าก็มีมาก หลังจากชดใช้กรรมชั่วแล้ว เจ้าจะได้เกิดเป็นเทวดา เพราะผลบุญที่เจ้าทำไว้ เมื่อหมดวาระจากเทวดา เจ้าจะได้เกิดเป็นมนุษย์ใหม่”
มันยุ่งจริงนะ ให้เป็นเทวดาตลอดกาลก็ไม่ได้ จะได้ไม่ต้องมาเสี่ยงเวรเสี่ยงกรรมอีก ดีไม่ดีเกิดมาใหม่ ถ้าดันไปชอบเนื้อสดนอกกฎหมายเข้า จะต้องไปไต่ต้นงิ้วเข้าอีกจะลำบากใหญ่ ท่านพูดแล้วก็หัวเราะชอบใจ ต่อนั้นท่านพระยายมก็มีบัญชาให้เจ้าหน้าที่นำไปเพื่อเกิดเป็นไก่ เมื่อท่านกำลังเดินเพื่อออกนอกสถานที่นั้นเอง มีเสียงดังมาทางหลังว่า
“ช้าก่อน ๆ ๆ อย่าพึ่งลงโทษเขา ความดีของเขายังมีอยู่”
ท่านเหลียวหลังไปดู เห็นเต่าตัวหนึ่งคลานมา และร้องว่ามาตามที่กล่าวแล้ว ท่านพระยายมถามว่า “เขามีความดีอะไร”
เต่าให้การว่า “ครั้งหนึ่งที่เขามีชีวิตเป็นเต่า มีคนชอบดื่มสุราจับเอาไปหวังจะฆ่าเพื่อทำอาหารแกล้มสุรา คน ๆ นี้ได้ช่วยให้เขารอดชีวิต คือขอซื้อจากนักเลงสุรานั้น แล้วเอาเขาไปปล่อยไว้ในสระวัดหนึ่ง เมื่ออยู่ในสระนั้น พระท่านเอาอาหารมาเลี้ยงอิ่มหนำสำราญ เขาอยู่มาจนสิ้นอายุขัย จึงตายตามสภาพของการสิ้นอายุ”
พระยายมถามว่า “มีหลักฐานอะไรเป็นเครื่องยืนยัน”
เต่าบอกว่า “เขาเขียนชื่อติดไว้ที่อก” เขาจึงนอนหงายเพื่อแสดงหลักฐาน
เมื่อเจ้าหน้าที่ดู ปรากฎว่าเป็นชื่อพี่สาวท่าน แต่ทว่าพี่สาวเป็นคนออกเงิน ท่านเป็นคนซื้อและนำไปปล่อย นายบัญชีเปิดบัญชีพบตามนั้น เป็นอันว่าท่านได้อาศัยเต่าช่วยไว้ ไม่ต้องไปเกิดเป็นไก่และนกกระจาบให้เขาฆ่ากินชั่วคราว ใครจะว่าสงเคราะห์สัตว์ไม่ดีก็ตามใจเถิด ท่านว่าท่านเห็นคุณในการสงเคราะห์สัตว์แล้ว สมัยที่ท่านเล่าเรื่องนี้ ท่านว่าท่านปล่อยสัตว์ทุกปี ปีละหลาย ๆ คราว คราวละมาก ๆ ท่านว่าสัตว์เคยช่วยท่าน ท่านไม่ยอมฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอีกเลย
ท่านพระยายมเมื่อเห็นหลักฐานอย่างนั้น ก็บอกท่านว่า “เธอกลับไปได้ เมื่อกลับแล้ว จงอย่าทำบาปกรรมทำชั่วอีกนะ ถ้าขืนทำไม่มีใครช่วยได้ จะต้องรับผลกรรมเป็นทุกข์ โดยเฉพาะสัตว์ที่มีอายุมาก เช่นจระเข้ เสือ ช้าง เต่า สัตว์พวกนี้มีอายุมาก จะต้องเกิดชดใช้ตามอายุสัตว์ มีเวลานานมากกว่าจะไปรับผลความดีเป็นเทวดา”
ท่านมีกำลังใจขึ้น ถามพระยายมว่า “ทำบุญอะไรไว้จึงได้มาเกิดในที่นี้ มีบ้านเรือนสวยงามมาก มีคนรับใช้ก็มากมาย”
พระยายมตอบว่า “ต้องสร้างสาธารณะสถาน เช่น โบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ เป็นต้น เมื่อใช้กรรมชั่วหมดแล้ว ก็จะต้องมีโอกาสมาอยู่ที่นี้
ต่อจากนั้นก็สั่งให้คนนำไปชมสถานที่ต่าง ๆ ไปดูคนที่จะไปเกิดเป็นมนุณย์ ท่านเดินตามเจ้าหน้าที่ไป ได้เห็นสวนต้นไม้สวยสดตระการตา มีสีสันคล้ายแก้ว ดูระยิบระยับแพรวพราว ไม่เหมือนต้นไม้บ้านเรา เห็นชายหญิงกลุ่มใหญ่ หาคนแก่ไม่ได้ แต่ละคนมีเครื่องแต่งกายสวยงามมากมีความสุขสันต์หรรษา ถามเขาว่า “คนพวกนี้เป็นใคร”
คนนำเขาบอกว่า “พวกนี้กำลังรอเวลาจะไปเกิดเป็นมนุษย์ มีความสุขมาก ไม่ต้องบริโภคอาหาร มีความอิ่มหนำสำราญเป็นปกติ”
ท่านถามเขาว่า “พวกนี้เป็นเทวดาใช่ไหม”
เขาตอบว่า “ใช่”
ท่านถามเขาว่า “พระพุทธเจ้าที่ท่านสู่นิพพานนั้น ท่านอยู่ที่ไหน”
เจ้าหน้าที่ให้แหงนหน้าขึ้น มองเห็นฟ้าเตี้ย ๆ สูงจากพื้นที่ยืนประมาณไม่ถึงกิโลเมตร เห็นดวงดาวใหญ่มีแสงสว่างมาก และมีดาวดวงเล็ก ๆ ล้อมรอบ เจ้าหน้าที่บอก
“ดาวดวงใหญ่คือพระพุทธเจ้า ดาวดวงเล็กคือพระสาวก ท่านไม่ต้องรับผลตามกฎของกรรมอีกแล้ว เพราะจิตท่านบริสุทธิ์”
ท่านถามว่า “เขาว่าพระเข้านิพพานแล้วมีสภาพสูญ ไม่มีปรากฎการณ์ ทำไมพระที่เข้านิพพานท่านจึงว่ามีองค์ปรากฎ”
เจ้าหน้าที่ฟังแล้วยิ้ม ท่านบอกว่า “ที่เข้าใจอย่างนั้นเพราะยังไม่รู้จักนิพพานจริง ๆ กระมัง”
ต่อจากนั้นเขาก็นำท่านมาส่ง ท่านสลบไปเมื่อเวลา 19.00 น. ท่านรู้สึกตัวขึ้นเมื่อเวลา 20.00 น. เมื่อรู้สึกตัวคราวนี้ อาการโรคหายหมด มีกำลังดีมาก คล้ายเด็กรุ่นหนุ่ม ท่านปฏิญาณตนว่า ไม่ยอมมอบใจให้เป็นทาสของกรรมชั่วตลอดชีวิต
วันนี้ ได้เล่าเรื่องของท่านศิริมาพอสมควร ขอยุติเรื่องของท่านไว้เพียงนี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ท่านพุทธบริษัททุกท่าน สวัสดี
********************