เมื่อครั้งพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ มีพระภิกษุ
และเมื่อครั้งพระพุทธองค์เทศนาโปรดพุทธมารดา และเทวดา ทั้งหลาย ตอนเช้าลงมารับบิณฑบาตพระสารีบุตร ก็เทวดาน่ะ นั่งฟังไม่ลุกจากที่ ตาไม่กระพริบ ตลอด ๓ เดือนน่ะ จะเอาหม้อข้าวหม้อแกงที่ไหนมาถวายล่ะ ก็ต้องมารับบิณฑบาตรพระสารีบุตรนี่ล่ะ แล้วทางโน้นใครจะแสดงธรรมล่ะ ก็ พุทธนิมิต น่ะซิ พุทธนิมิต นี่ไม่ใช่ไม่มี พุทธนิมิต ธรรมนิมิต สังฆนิมิต จึงอยู่ใน อัปมาโนพุทธโธ อัปมาโนธัมโม อัปมาโนสังโฆ ใครอยากรู้ก็ไปอ่านพระไตรปิฏก ไปสนามหลวงเขาแปลไม่ถึง อัปมาโนพุทธโธ อัปมาโนธัมโม อัปมาโนสังโฆ สวดแล้วก็เททิ้งหมด
มาบัดนี้ คนเขาไม่เคยเห็น พุทธนิมิต ธรรมนิมิต สังฆนิมิต แค่กสิณ ๑๐ เขาก็เห็นแต่ภายนอก กรรมฐาน ๔๐ เขาก็เห็นแต่ภายนอก เห็นแต่ใบลานในกระดาษโน่น มันยังมี
อยู่ในจิตนี่อีก ๔๐ ภายนอก ๔๐ ภายใน ๔๐ รวม ๘๐ มันจึงจะลงกันได้กรรมฐาน ๔๐ มันอยู่ตรงไหน ไปอ้างใบลาน อ้างกระดาษโน่น มันมีแต่ข้างนอกมันไม่มีข้างใน มันก็จะไม่ลงกันหรอก เดี๋ยวมันก็จะทะเลากัน ถ้าไปพูดในสนามหลวงอย่างนี้เขาไม่ให้กินน้ำแข็งเขาหรอก เขาไล่หนีก็เท่านั้นแหละ ก็อ่านธัมมานุปัสนา สติปัฏฐาน ภายในก็ดี ภายนอกก็ดี ให้รู้ว่าเกิดขึ้น ให้รู้ว่าตั้งอยู่ ให้รู้ว่าเสื่อมไป นี้เป็นกรรมฐาน ทำไมจึงอ้างแต่ภายนอกล่ะ ก็ภายในมันมีอยู่แล้วนี่ พุทธภายนอกก็มี พุทธภายในก็มี ทำไมไม่อ้างเป็นยมก เป็น คู่ๆ ล่ะ ก็เพราะไม่รู้ภาษาใจ รู้แต่ภาษาหนังสือก็เถียงกันตายโหง ทุกประเทศนั่นล่ะ พูดกับคนพูดยาก พูดกับธรรมะง่ายกว่า เอาภาษาคนไปข้ามภาษาธรรมตกนรกอเวจีวันละ ๑๐๐ ครั้ง ๑๐๐๐ ครั้ง ไปค้านธรรมะพระพุทธเจ้าได้หรือ มันอวดดีว่าเรามีธรรมะ มันอวดรู้กว่าพุทธเจ้านั่นแหละ มันไปอเวจีแล้วล่ะ กายกรรมยังอยู่ วจีกรรม มโนกรรมน่ะ ไปแล้ว
จากคุณ