หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    นางวิสาขา (มิคารมารดา)

     


     

    Image

    นางวิสาขา (มิคารมารดา)
    เอตทัคคะในทางผู้ถวายทาน



    นางวิสาขา เป็นอุบาสิกาที่ประเสริฐผู้หนึ่งหาบุคคลเทียบได้ยาก นางเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับอุบาสิกาตราบจนถึงบัดนี้ ประวัติของนางมหาอุบาสิกาผู้นี้ มีเนื้อเรื่องอยู่ในพระไตรปิฎกและอรรถกถามากมาย ดังความย่อว่า


    ๐ บุพกรรมของมหาอุบาสิกาวิสาขา

    ดังได้สดับมา นางวิสาขานั้น ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปุทุมุตตระ บังเกิดในเรือนสกุล กรุงหังสวดี

    ต่อมา กำลังฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาอุบาสิกาผู้หนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวกอุบาสิกาผู้ยินดีในการถวายทาน จึงทำกุศลให้ยิ่งยวดขึ้นไป ปรารถนาตำแหน่งนั้น

    นางเวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ถึงแสนกัป

    ครั้งพระกัสสปพุทธเจ้า ก็ถือปฏิสนธิในพระราชมณเฑียรของพระเจ้ากาสี พระนามว่า กิงกิ กรุงพาราณสี เป็นพระราชธิดาองค์หนึ่ง ระหว่างพระพี่น้องนาง ๗ พระองค์ คือ นางสมณี นางสมณคุตตา นางภิกขุนี (ภิกขุณี) นางภิกขุทาสิกา นางธัมมา (ธรรมา) นางสุธัมมา (สุธรรมา) และนางสังฆทาสี ครบ ๗

    พระราชธิดาเหล่านั้น ในบัดนี้ [ครั้งพุทธกาลชาติปัจจุบัน] คือพระเขมาเถรี พระอุบลวรรณาเถรี พระปฏาจาราเถรี พระนางกุณฑลเกสีเถรี (พระภัททากุณฑลเกสาเถรี) พระกิสาโคตมีเถรี พระธรรมทินนาเถรี และนางวิสาขา ครบ ๗

    บรรดาพระราชธิดาเหล่านั้น พระนางสังฆทาสีเวียนว่ายอยู่ใน เทวดาและมนุษย์ถึงพุทธันดรหนึ่ง


    ๐ ปัจจุบันชาติสมัยพุทธกาล

    ในพุทธกาลนี้ นางวิสาขาเป็นธิดาของนางสุมนเทวี (สุมนาเทวี) (ภริยาหลวง) บิดาชื่อธนัญชัยเศรษฐี เป็นหลานของเมณฑกเศรษฐี และนางจันทปทุมา ผู้เป็นปู่ย่า ในภัททิยนคร แคว้นอังคะ

    ประมาณพรรษาที่ ๕ แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า เวลานั้นนางมีอายุได้ ๗ ขวบ พระทศพลทรงเห็นอุปนิสัยสมบัติของเสลพราหมณ์ และเหล่าสัตว์พวกจะตรัสรู้อื่นๆ พระองค์พร้อมด้วยเหล่าภิกษุสงฆ์ เสด็จจาริกไปถึงนครนั้น ในแคว้นนั้น

    สมัยนั้น เมณฑกคฤหบดี เป็นหัวหน้าของเหล่าผู้มีบุญมาก ๕ คน ครองตำแหน่งเศรษฐี เหล่าผู้มีบุญมาก ๕ คน คือ

    เมณฑกเศรษฐี ๑
    ภริยาหลวงของเศรษฐี ชื่อจันทปทุมา ๑
    บุตรชายคนโตของเศรษฐี ชื่อธนัญชัย ๑
    ภริยาของธนัญชัยนั้น ชื่อสุมนเทวี ๑
    ทาสของเมณฑกเศรษฐี ชื่อปุณณะ ๑

    มิใช่แต่เมณฑกเศรษฐีอย่างเดียวดอก ถึงในราชอาณาจักรของพระเจ้าพิมพิสาร ก็มีบุคคลผู้มีโภคสมบัตินับไม่ถ้วนถึง ๕ คน คือ โชติยะ ชฏิละ เมณฑกะ ปุณณะ และกากพลิยะ

    บรรดาคนทั้ง ๕ นั้น เมณฑกเศรษฐีนี้ ทราบว่าพระทศพลเสด็จมาถึงนครของตน จึงเรียกเด็กหญิงวิสาขา หลานสาวซึ่งขณะนั้นนางมีอายุได้ ๗ ขวบ มาแล้วสั่งอย่างนี้ว่า

    แม่หนู เป็นมงคลทั้งเจ้า ทั้งปู่ เจ้าจงพาเกวียน ๕๐๐ เล่ม พร้อมด้วยเด็กหญิง ๕๐๐ คน บริวารของเจ้ามีทาสี ๕๐๐ นาง เป็นบริวาร จงทำการรับเสด็จพระทศพล

    นางฟังคำของปู่ ก็ปฏิบัติตาม แต่เพราะนางเป็นผู้ฉลาดในเหตุและมิใช่เหตุ นางก็ไปด้วยยานเท่าที่พื้นที่ยานจะไปได้แล้ว ก็ลงจากยานเดินไปเข้าเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้วยืน ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง


    ๐ นางวิสาขาได้โสดาปัตติผลแต่อายุ ๗ ขวบ

    ครั้งนั้น พระศาสดาทรงแสดงธรรมโปรดด้วยอำนาจจริยาของนาง จบเทศนา นางก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล พร้อมกับเด็กหญิง ๕๐๐ คน แม้เมณฑกเศรษฐี ก็เข้าไปเฝ้าถวายบังคมพระศาสดาแล้วนั่ง ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง

    พระศาสดาทรงแสดงธรรมโปรด ด้วยอำนาจจริยาของเศรษฐีนั้น จบเทศนา เมณฑกเศรษฐีก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล อาราธนาพระศาสดา เพื่อเสวยในวันรุ่งขึ้น

    วันรุ่งขึ้นก็เลี้ยงดูพระภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ด้วยอาหารอย่างประณีตในนิเวศน์ของตน ได้ถวายมหาทานโดยลักษณะนั้นครึ่งเดือน พระศาสดาประทับอยู่ ณ ภัททิยนครตามพุทธอัธยาศัยแล้วก็เสด็จหลีกไป


    ๐ พระเจ้าปเสนทิโกศลอยากได้ผู้มีบุญ

    ก็โดยสมัยนั้นแล พระเจ้าพิมพิสารและพระเจ้าปเสนทิโกศลต่างก็เป็นพระภัสดา (สามี) ของพระภคินี (น้องสาว) ของกันและกัน

    ต่อมาวันหนึ่ง พระเจ้าโกศลทรงดำริว่า

    “คนมีโภคะนับไม่ถ้วน มีบุญมากทั้ง ๕ มีอยู่ในแคว้นพระเจ้าพิมพิสาร แต่ในแคว้นของเรา ผู้มีบุญเช่นนั้น แม้เพียงคนเดียวก็ไม่มี อย่ากระนั้นเลย เราพึงไปสู่สำนักของพระเจ้าพิมพิสารขอผู้มีบุญมากสักคนหนึ่ง”

    พระองค์จึงเสด็จไปภัททิยนคร แคว้นอังคะ ครั้นเมื่อพระเจ้าพิมพิสารทรงทำปฏิสันถารทูลถามว่า “พระองค์เสด็จมา เพราะเหตุไร ?” พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงตรัสว่า “หม่อมฉันมา ด้วยประสงค์ว่า คนมีโภคะนับไม่ถ้วน มีบุญมากทั้ง๕ คน อยู่ในแคว้นของพระองค์ หม่อมฉันจักพาเอาคนหนึ่งจาก ๕ คนนั้นไป ขอพระองค์จงประทานคนหนึ่งใน ๕ คนนั้น แก่หม่อมฉันเถิด”

    พิมพิสาร หม่อมฉันไม่อาจจะให้ตระกูลใหญ่ๆ ย้ายได้

    ปเสนทิโกศล หม่อมฉันไม่ได้ ก็จักไม่ไป


    ๐ มอบธนญชัยเศรษฐีให้พระเจ้าโกศล

    พระเจ้าพิมพิสารทรงปรึกษากับพวกอำมาตย์แล้วตรัสว่า “ชื่อว่าการย้ายตระกูลใหญ่ๆ มีโชติยสกุลเป็นต้น เช่นกับแผ่นดินไหว แต่บุตรของเมณฑกเศรษฐีชื่อธนญชัยเศรษฐี มีอยู่ หม่อมฉันปรึกษากับเธอเสร็จแล้ว จักถวายคำตอบแด่พระองค์” ดังนี้แล้ว รับสั่งให้เรียกธนญชัยเศรษฐีมาแล้ว ตรัสว่า

    “พ่อ พระเจ้าโกศลตรัสว่า จักพาเอาเศรษฐีมีทรัพย์คนหนึ่งไป เธอจงไปกับพระองค์เถิด”

    ธนญชัยเศรษฐีทูลตอบว่า เมื่อพระองค์มีพระราชประสงค์ ข้าพระองค์ก็จักไป พระเจ้าข้า

    พระเจ้าพิมพิสาร ถ้าเช่นนั้น เธอจงทำการตระเตรียมไปเถิด พ่อ

    ธนญชัยเศรษฐีนั้น จึงได้ทำกิจจำเป็นที่ควรทำของตนแล้ว

    ฝ่ายพระราชาทรงทำสักการะใหญ่แก่เขา ทรงส่งพระเจ้าปเสนทิโกศลไปด้วยพระดำรัสว่า

    “ขอพระองค์จงพาเศรษฐีนี้ไปเถิด”

    ท้าวเธอพาธนญชัยเศรษฐีนั้นเสด็จไปโดยการประทับแรมราตรีหนึ่งในที่นี้ทั้งปวง บรรลุถึงสถานอันผาสุกแห่งหนึ่งแล้ว ก็ทรงหยุดพัก


    ๐ การสร้างเมืองสาเกต

    ครั้งนั้น ธนญชัยเศรษฐี ทูลถามท้าวเธอว่า “บริเวณนี้เป็นแคว้นของใคร พระเจ้าข้า ?”

    พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงตอบว่า เป็นของเรา ท่านเศรษฐี

    ธนญชัยเศรษฐีถามว่า จากที่นี้ไปถึงเมืองสาวัตถี ไกลเท่าไร พระเจ้าข้า ?

    พระเจ้าปเสนทิโกศลตอบว่า ไปอีก ๗ โยชน์

    ธนญชัยเศรษฐีทูลว่า ภายในพระนครคับแคบ ชนบริวารของข้าพระองค์มีอยู่มาก ถ้าพระองค์ทรงโปรดไซร้ ข้าพระองค์พึงอยู่ที่นี้แหละ พระเจ้าข้า

    พระราชาทรงรับว่า “ดีละ” ดังนี้แล้ว ให้สร้างเมืองในที่นั้น ได้พระราชทานแก่เศรษฐีนั้นแล้วเสด็จกลับไป เมืองนั้นได้นามว่า “สาเกต” เพราะความที่ประเทศนั้นเศรษฐีจับจองแล้วในเวลาเย็น

    ในกรุงสาวัตถี บุตรของมิคารเศรษฐี ชื่อปุณณวัฒนกุมารเจริญวัยแล้ว ขณะนั้น บิดาของเขารู้ว่า บุตรของเราเจริญวัยแล้ว เป็นสมัยที่จะผูกพันด้วยการครองเรือน ครั้งนั้น มารดาบิดากล่าวกะเขาว่า “พ่อ เจ้าจงเลือกเด็กหญิงคนหนึ่งในที่เป็นที่ชอบใจของเจ้า”

    ปุณณะ กิจด้วยภริยาเห็นปานนั้น ของผมไม่มี

    มารดาบิดา เจ้าอย่าทำอย่างนี้ ลูก ธรรมดาตระกูลที่ไม่มีบุตรตั้งอยู่ไม่ได้


    ๐ ลักษณะเบญจกัลยาณี

    ปุณณวัฒนกุมารนั้นเมื่อถูกมารดาบิดาพูดรบเร้าอยู่ จึงกล่าวว่า

    “ถ้ากระนั้น ผมเมื่อได้หญิงสาวประกอบพร้อมด้วยความงาม ๕ อย่าง ก็จักทำตามคำของคุณพ่อคุณแม่”

    มารดาบิดาถามว่า ก็ชื่อว่าความงาม ๕ อย่างนั้น มีอะไรบ้างเล่า ? พ่อ

    ปุณณวัฒนกุมารตอบว่า คือ ผมงาม เนื้องาม กระดูกงาม ผิวงาม วัยงาม

    ก็ผมของหญิงผู้มีบุญมาก เป็นเช่นกับทำหางนกยูง แก้ปล่อยระชายผ้านุ่งแล้ว ก็กลับมีปลายงอนขึ้นตั้งอยู่ นี้ชื่อว่า ผมงาม

    ริมฝีปากเช่นกับผลตำลึง (สุก) ถึงพร้อมด้วยสีเรียบชิดสนิทดี นี้ชื่อว่า เนื้องาม

    ฟันขาวเรียบไม่ห่างกัน งดงามดุจระเบียบแห่งเพชร ที่เขายกขึ้นตั้งไว้และดุจระเบียบแห่งสังข์ที่เขาขัดสีแล้ว นี้ชื่อว่ากระดูกงาม

    ผิวพรรณของหญิงดำไม่ลูบไล้ด้วยเครื่องประเทืองผิวเป็นต้นเลย ก็ดำสนิทประหนึ่งพวกอุบลเขียว ของหญิงขาว ประหนึ่งพวกดอกกรรณิการ์ นี้ชื่อว่า ผิวงาม

    หญิงที่แม้คลอดบุตรแล้วตั้ง ๑๐ ครั้ง ก็ยังดูงามเหมือนเพิ่งมีบุตรเพียงคนเดียวยังสาวพริ้งอยู่เทียว นี้ชื่อว่า วัยงาม ดังนี้แล


    ๐ เศรษฐีส่งพราหมณ์ไปแสวงหาหญิงเบญจกัลยาณี

    ครั้งนั้น มารดาบิดาของนายปุณณวัฒนกุมารนั้น เชิญพราหมณ์ ๑๐๘ คนมาให้บริโภคแล้วถามว่า “ชื่อว่าหญิงที่ต้องด้วยลักษณะเบญจกัลยาณี มีอยู่หรือ ?”

    พราหมณ์เหล่านั้น ตอบว่า “จ้ะ มีอยู่”

    เศรษฐีกล่าวว่า “ถ้ากระนั้น พวกท่าน ๘ คนจงไปแสวงหาเด็กหญิงเช่นนั้น มาให้เรา” ดังนี้แล้ว ให้ทรัพย์เป็นอันมาก พร้อมกับสั่งว่า

    “ในเวลาที่พวกท่านกลับมาพร้อมกับหญิงเช่นนั้น ข้าพเจ้าทั้งหลายจักรู้สิ่งที่ควรทำแก่พวกท่าน ท่านทั้งหลายไปเถิด แสวงหาเด็กหญิงแม้เห็นปานนั้น และในเวลาที่พบแล้ว พึงประดับพวงมาลัยทองคำนี้” ดังนี้แล้ว ให้พวงมาลัยทองคำอันมีราคาแสนหนึ่ง แล้วส่งพวกพราหมณ์นั้นไป

    พราหมณ์เหล่านั้น ไปยังนครใหญ่ๆ แสวงหาอยู่ ก็ไม่พบเด็กหญิงที่ต้องด้วยลักษณะเบญจกัลยาณี จึงกลับมาถึงเมืองสาเกตโดยลำดับ ในวันนั้นเมืองสาเกตมีงานนักขัตฤกษ์เปิด (หมายเหตุ นักษัตรเปิดเผย เป็นงานประจำปีของนครสาเกต ในงานนี้ชาวเมืองทุกคนเผยร่างโดยปราศจากผ้าคลุมปิดหน้า เดินเท้าไปยังแม่น้ำ) พอดีจึงคิดกันว่า

    “การงานของพวกเราคงสำเร็จในวันนี้เป็นแน่”


    ๐ งานประจำปีของนครสาเกต

    ก็ในนครนั้น ชื่อว่างานนักขัตฤกษ์ย่อมมีประจำปี

    ในกาลนั้นแม้กระกูลที่ไม่ออกภายนอก ก็ออกจากเรือนกับบริวาร มีร่างกายมิได้ปกปิด ไปสู่ฝั่งแม่น้ำด้วยเท้าเทียว ในวันนั้นถึงบุตรหลานของตระกูลขัตติยมหาศาลทั้งหลายเป็นต้น ก็ยืนแอบหนทางนั้นๆ ด้วยตั้งใจว่า เมื่อพบเด็กหญิงตระกูลที่ตนพึงใจ มีชาติเสมอด้วยตนแล้วจะคล้องด้วยพวงมาลัย


    ๐ พราหมณ์พบนางวิสาขา

    พราหมณ์เหล่านั้น เข้าไปถึงศาลาแห่งหนึ่งริมฝั่งแม่น้ำแล้วได้ยืนอยู่ ขณะนั้นนางวิสาขา มีอายุย่างเข้า ๑๕–๑๖ ปี ประดับประดาด้วยเครื่องอาภรณ์ครบทุกอย่าง มีเหล่ากุมารี ๕๐๐ คนแวดล้อมกำลังมุ่งหน้าไปยังแม่น้ำเพื่ออาบน้ำ

    ครั้งนั้นแล เมฆตั้งขึ้นแล้วฝนก็ตกลงมา เด็กหญิง ๕๐๐ ก็รีบเดินเข้าไปสู่ศาลา

    พวกพราหมณ์พิจารณาดูอยู่ ก็ไม่เห็นเด็กหญิงเหล่านั้นแม้สักคนเดียวที่ต้องด้วยลักษณะเบญจกัลยาณี ส่วนนางวิสาขาเข้าไปยังศาลาด้วยการเดินตามปกตินั่นเอง ผ้าและอาภรณ์เปียกโชก

    พวกพราหมณ์เห็นความงาม ๔ อย่างของนางแล้ว ประสงค์จะเห็นฟัน จึงกล่าวกะกันและกันว่า

    “หญิงผู้เฉื่อยชานี้ สามีของหล่อนเห็นทีจักไม่ได้ แม้เพียงข้าวปลายเกวียน”

    นางวิสาขาได้ยินดังนั้นจึงพูดกะพราหมณ์เหล่านั้นว่า “พวกท่านว่าใครกัน”

    พราหมณ์ : ว่าเธอ แม่

    ได้ยินว่า เสียงอันไพเราะของนาง เปล่งออกประหนึ่งเสียงกังสดาล ลำดับนั้น นางจึงถามพราหมณ์เหล่านั้นด้วยเสียงอันไพเราะอีกว่า “เพราะเหตุไร ? จึงว่าฉัน”

    พราหมณ์ : หญิงบริวารของเธอ ไม่ให้ผ้าและเครื่องประดับเปียกรีบเข้าสู่ศาลา กิจแม้เพียงการรีบมาสู่ที่ประมาณเท่านี้ของเธอก็มิได้มี เธอปล่อยให้ผ้าและเครื่องอาภรณ์เปียกมากแล้ว เพราะฉะนั้น พวกเราจึงพากันว่าดังนั้น

    วิสาขา : พ่อทั้งหลาย พวกท่านอย่าพูดอย่างนี้ ฉันแข็งแรงกว่าเด็กหญิงเหล่านั้น แต่ฉันกำหนดเหตุการณ์แล้ว จึงไม่มาโดยเร็ว

    พราหมณ์ : เหตุอะไร ? แม่


    ๐ ชน ๔ จำพวกวิ่งไปไม่งาม

    วิสาขา : พ่อทั้งหลาย ชน ๔ จำพวก เมื่อวิ่ง ย่อมไม่งาม เหตุอันหนึ่ง แม้อื่นอีก ยังมีอยู่

    พราหมณ์ : ชน ๔ จำพวก เหล่าไหน ? เมื่อวิ่ง ย่อมไม่งาม แม่

    วิสาขา : พ่อทั้งหลาย พระราชาผู้อภิเษกแล้ว ทรงประดับประดาแล้วด้วยเครื่องอาภรณ์ทั้งปวง เมื่อถกเขมรวิ่งไปในพระลานหลวงย่อมไม่งาม ย่อมได้ความครหาเป็นแน่นอนว่า ทำไม พระราชาองค์นี้จึงวิ่งเหมือนคฤหบดี ค่อยๆ เสด็จไปนั่นแหละ จึงจะงาม

    แม้ช้างมงคลของพระราชา ประดับแล้ว วิ่งไป ก็ไม่งาม ต่อเมื่อเดินไปด้วยลีลาแห่งช้าง จึงจะงาม

    บรรพชิต เมื่อวิ่ง ก็ไม่งาม ย่อมได้แต่ความครหาอย่างเดียวเท่านั้นว่า ทำไม สมณะรูปนี้ จึงวิ่งไปเหมือนคฤหัสถ์ แต่ย่อมงาม ด้วยการเดินอย่างอาการของผู้สงบเสงี่ยม

    สตรีเมื่อวิ่งก็ไม่งาม ย่อมถูกเขาติเตียนอย่างเดียวว่า ทำไม หญิงคนนี้ จึงวิ่งเหมือนผู้ชาย แต่ย่อมงามด้วยการเดินอย่างธรรมดา พ่อทั้งหลาย ชน ๔ จำพวกเหล่านั้นเมื่อวิ่งไป ย่อมไม่งาม

    พราหมณ์ : ก็เหตุอื่นอีกอย่างหนึ่ง เป็นไฉน ? แม่

    วิสาขา : พ่อทั้งหลาย ธรรมดามารดาบิดา ถนอมอวัยวะน้อยใหญ่เลี้ยงดูธิดา เพราะว่า พวกฉัน ชื่อว่าเป็นสิ่งของอันมารดาบิดาพึงขาย มารดาบิดาเลี้ยงฉันมา ก็เพื่อต้องการจะส่งไปสู่ตระกูลอื่น ถ้าว่า ในเวลาที่พวกฉันวิ่งไป เหยียบชายผ้านุ่งหรือลื่นล้มลงบนพื้นดิน มือหรือเท้าก็จะพึงหัก พวกฉันก็จะพึงเป็นภาระของตระกูลนั้นแล ส่วนเครื่องแต่งตัว เปียกแล้วก็จักแห้ง ดิฉันกำหนดเหตุนี้ จึงไม่วิ่งไป พ่อ พวกพราหมณ์เห็นความถึงพร้อมแห่งฟัน ในเวลานางพูด จึงให้สาธุการแก่นางว่า “สมบัติเช่นนี้ พวกเรายังไม่เคยเห็นเลย”

    แล้วกล่าวว่า “แม่ พวงมาลัยนี้สมควรแก่เธอเท่านั้น” ดังนี้แล้ว จึงได้คล้องพวงมาลัยทองนั้นให้

    ลำดับนั้น นางจึงถามพวกเขาว่า “พ่อทั้งหลาย พวกท่านมาจากเมืองไหน ?”

    พราหมณ์ : จากเมืองสาวัตถี แม่

    วิสาขา : ตระกูลเศรษฐี ชื่อไร ?

    พราหมณ์ : ชื่อมิคารเศรษฐี แม่

    วิสาขา : บุตรของท่านเจ้าพระคุณ ชื่อไร ?

    พราหมณ์ : ชื่อปุณณวัฒนกุมาร แม่

    นางวิสาขานั้น รับรองว่า “ตระกูลของเรา เสมอกัน” ดังนี้แล้ว จึงส่งข่าวไปแก่บิดาว่า “ขอคุณพ่อและคุณแม่ จงส่งรถมาให้พวกดิฉัน”

    ก็ในเวลามา นางเดินมาจริง ถึงอย่างนั้น นับแต่เวลาที่ประดับด้วยมาลัยทองคำแล้ว ย่อมไม่เหมาะที่จะเดินไปเช่นนั้น และบิดาของนางวิสาขานั้นก็ส่งรถไป ๕๐๐ คัน นางวิสาขานั้นกับบริวารขึ้นรถไป พวกพราหมณ์ทั้งแปดก็ได้ไปท่านเศรษฐีด้วยกัน

    ที่นั้น ท่านเศรษฐี ถามพราหมณ์เหล่านั้นว่า “พวกท่านมาจากไหน ?”

    พราหมณ์ : มาจากเมืองสาวัตถี ท่านมหาเศรษฐี

    เศรษฐี : เศรษฐีชื่อไร ?

    พราหมณ์ : ชื่อปุณณวัฒนกุมาร

    เศรษฐี : ทรัพย์มีเท่าไร ?

    พราหมณ์ : ๔๐ โกฏิ ท่านมหาเศรษฐี

    เศรษฐีรับคำ ด้วยคิดว่า “ทรัพย์เท่านั้น เทียบทรัพย์ของเรา ก็เท่ากับกากณิกเดียว แต่ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดในเรื่องอื่น นอกจากเรื่องที่นางทาริกาได้มีผู้ดูแล” เศรษฐีนั้นทำสักการะแก่พราหมณ์เหล่านั้น ให้พักอยู่วัน ๒ วัน แล้วก็ส่งกลับ


    ๐ พราหมณ์กลับเมืองสาวัตถี

    เมื่อพวกพราหมณ์เหล่านั้นเดินทางกลับถึงกรุงสาวัตถีแล้ว ก็เข้าไปแจ้งเรื่องราวต่อท่านมิคารเศรษฐีว่า “พวก ข้าพเจ้าได้นางทาริกาแล้ว”

    มิคารเศรษฐีเศรษฐี : ลูกสาวของใคร ?

    พราหมณ์ : ของธนญชัยเศรษฐี

    มิคารเศรษฐีนั้นคิดว่า “นางเป็นทาริกาแห่งตระกูลใหญ่ เมื่อท่านเศรษฐีตกลงแล้ว ควรที่เราจะนำนางมาโดยเร็วทีเดียว” ดังนี้แล้ว กราบทูลแด่พระเจ้าปเสนทิโกศลเพื่อไปในเมืองนั้น

    พระปเสนทิโกศลทรงดำริว่า “ตระกูลท่านธนญชัยเศรษฐีนั้นเราได้นำมาจากสำนักของพระเจ้าพิมพิสาร แล้วให้อยู่อาศัยในเมืองสาเกต เราควรจะทำความยกย่องแก่ตระกูลนั้น” ดังนี้แล้ว จึงรับสั่งว่า “แม้เรา ก็จักไปด้วย”

    มิคารเศรษฐีทูลว่า : “ดีละ พระเจ้าข้า” ดังนี้แล้ว ส่งข่าวไปบอกแก่ธนญชัยเศรษฐีว่า “ข้าพเจ้าจักโดยเสด็จมากับพระราชา พลของพระราชามาก ท่านสามารถรับรองชนประมาณเท่านั้นหรือไม่”

    ฝ่ายท่านธนญชัยเศรษฐีก็ได้ส่งข่าวตอบไปว่า แม้ถ้าพระราชาจะเสด็จมาสัก ๑๐ พระองค์ ขอจงเสด็จมาเถิด”

    มิคารเศรษฐี พาเอาคนที่เหลือในนครใหญ่ถึงเพียงนั้นไป เหลือไว้เพียงคนเฝ้าเรือน หยุดพักในหนทางกึ่งโยชน์แล้ว ส่งข่าวไปว่า “พวกข้าพเจ้ามาแล้ว”


    ๐ ธนญเศรษฐีกับธิดาจัดสถานที่ต้อนรับ

    ธนญชัยเศรษฐีก็ได้จัดส่งเครื่องบรรณาการเป็นอันมากไปตามธรรมเนียม แล้วปรึกษากับธิดาว่า “แม่ ได้ยินว่า พ่อผัวของเจ้า มากับพระเจ้าโกศล เราควรจัดเรือนหลังไหน สำหรับพ่อผัวของเจ้านั้น หลังไหนสำหรับพระราชา หลังไหน สำหรับชนอื่นๆ มีอุปราชเป็นต้น” เศรษฐีธิดาผู้ฉลาด มีญาณเฉียบแหลมดุจยอดเพชร ตั้งความปรารถนาไว้ตลอดแสนกัป สมบูรณ์แล้วด้วยอภินิหาร จัดแจงเรื่องดังกล่าวโดยสั่งการว่า

    “ท่านทั้งหลายจงจัดแจง เรือนหลังโน้นเพื่อพ่อผัวของเรา หลังโน้นเพื่อพระราชา หลังโน้นเพื่ออุปราชเป็นต้น” ดังนี้แล้ว ให้เรียกทาสและกรรมกรมา จัดการว่า “พวกท่าน เท่านี้คน จงทำกิจที่ควรทำแก่พระราชา เท่านี้คน จงทำกิจที่ควรทำแก่อุปราช เป็นต้น พวกท่านนั่นแลจงดูแล แม้สัตว์พาหนะ มีช้างและม้า เป็นต้น แม้คนผูกม้าที่มาด้วย ก็จงดูแลให้ได้ชมมหรสพในงานมงคล”

    ถามว่า : “เพราะเหตุไร ? นางจึงจัดอย่างนั้น”

    ตอบว่า : เพราะคนบางคน อย่าได้เพื่อพูดว่า เราไปสู่ที่มงคลแห่งนางวิสาขา ไม่ได้อะไรเลย ทำแต่กิจมีการเฝ้าม้าเป็นต้น ไม่ได้เที่ยวตามสบาย”


    ๐ เครื่องแต่งตัวนางวิสาขา ๔ เดือนจึงแล้วเสร็จ

    ในวันนั้นแล บิดาของนางวิสาขา ให้เรียกช่างทองมา ๕๐๐ คนแล้วกล่าวว่า “พวกท่านจงทำเครื่องประดับ ชื่อมหาลดาปสาธน์แก่ธิดาของเรา” ดังนี้ สั่งให้ให้ทองทำมีสีสุกพันลิ่ม และเงิน แก้วมณี แก้วมุกดา ประพาฬและเพชรเป็นต้น พอสมกับทองนั้น

    พระราชาประทับอยู่ ๒-๓ วันแล้ว ทรงส่งข่าวไปแก่ธนญชัยเศรษฐีว่า “เศรษฐีคงไม่สามารถทำการเลี้ยงดูพวกเราได้ตลอดไป ขอเศรษฐีจงกำหนดเวลาส่งตัวของนางทาริกาเถิด”

    ฝ่ายเศรษฐีนั้น ส่งข่าวไปทูลพระราชาว่า “บัดนี้ ฤดูฝนมาถึงแล้ว ใครๆ ไม่อาจเพื่อเที่ยวไปตลอด ๔ เดือนได้ การที่หมู่พลของพระองค์ประสงค์จะได้วัตถุใดๆ ที่สมควร วัตถุนั้นๆ ทั้งหมดเป็นภาระของข้าพระองค์ พระองค์ผู้สมมติเทพจักเสด็จไปได้ในเวลาที่ข้าพระองค์ส่งเสด็จ” นับแต่นั้นมานครสาเกตได้เป็นนครที่ครึกครื้นราวกะมีนักษัตรเป็นนิตย์

    ส่วนเครื่องประดับยังไม่เสร็จก่อน ผู้ควบคุมงานมาแจ้งแก่เศรษฐีว่า “สิ่งอื่นที่ต้องการมีอยู่อย่างบริบูรณ์ เว้นแต่ฟืนสำหรับหุงต้มอาหารเพื่อหมู่พลมีไม่พอ”

    เศรษฐี กล่าวว่า “ไปเถิดพ่อทั้งหลาย พวกท่านจงรื้อขนเอาโรงช้างเก่าๆ เป็นต้นและเรือนเก่าในนครนี้หุงต้มเถิด”

    เมื่อหุงต้มอยู่อย่างนั้น ล่วงไปแล้วอีกกึ่งเดือน ผู้ควบคุมงานก็มาแจ้งแก่ทานเศรษฐีอีกครั้งว่า “ฟืนไม่มี”

    เศรษฐีกล่าวว่า “พวกท่านจงเปิดเรือนคลังผ้าทั้งหลาย แล้วเอาผ้าเนื้อหยาบ ทำเป็นเกลียวชุบลงไปในตุ่มน้ำมัน ใช้เพื่อหุงภัตเถิด” ชนเหล่านั้นได้ทำอย่างนั้น ตลอดกึ่งเดือน ระยะเวลา ๔ เดือนผ่านไปแล้วโดยลักษณะนี้ และแล้วการทำเครื่องประดับก็สำเร็จลง


    ๐ เครื่องประกอบในมหาลดาปสาธน์

    มหาลดาปสาธน์นั้นประกอบไปด้วย เพชร ๔ ทะนาน แก้วมุกดา ๑๑ ทะนาน แก้วประพาฬ ๒๐ ทะนาน แก้วมณี ๓๓ ทะนาน ในงานส่วนที่ต้องใช้ด้ายนั้น นายช่างก็จัดทำด้วยเงิน เครื่องประดับนั้นเมื่อสวมที่ศีรษะแล้วยาวลงมาจนจดหลังเท้า

    ลูกดุมที่เขาประกอบเป็นแหวนในที่นั้นๆ ทำด้วยทอง ห่วงทำด้วยเงิน แหวนวงหนึ่ง ที่ท่ามกลางกระหม่อม หลังหูทั้ง ๒ วง ที่หลุมคอ ๑ วง ที่เข่าทั้งสอง ๒ วง ที่ข้อศอกทั้งสอง ๒ วง ที่ข้างสะเอวทั้งสอง ๒ วง ดังนี้ ก็ในเครื่องประดับนั้น เขาทำนกยูงตัวหนึ่งไว้ ขนปีกทำด้วยทอง ๕๐๐ ขน ได้มีที่ปีกเบื้องขวาแห่งนกยูงนั้น อีก ๕๐๐ ขน ได้มีที่ปีกด้านซ้าย จะงอยปากทำด้วยแก้วประพาฬ นัยน์ตาทำด้วยแก้วมณี คอและแววหางก็เหมือนกัน ก้านขนทำด้วยเงิน ขาก็เหมือนกัน นกยูงนั้น สถิตอยู่ท่ามกลางกระหม่อมแห่งนางวิสาขา ปรากฏประหนึ่งนกยูงยืนรำแพนอยู่บนยอดเขา เสียงแห่งก้านขนปีกพันหนึ่งเป็นไปประหนึ่งทิพยสังคีต และประหนึ่งเสียงกึกก้องดนตรีประกอบด้วยองค์ ๕

    ชนทั้งหลายผู้เข้าไปสู่ที่ใกล้เท่านั้น จึงจะทราบว่า นกยูงนั้นไม่ใช่ยกยูงจริง เครื่องประดับมีค่า ๙ โกฏิ ท่านเศรษฐีให้ค่าหัตถกรรม (ค่ากำเหน็จ) แสนหนึ่ง


    ๐ หญิงถวายจีวรย่อมได้มหาลดาปสาธน์

    ถามว่า “ก็เครื่องประดับนั่น อันนางวิสาขานั้นได้แล้ว เพราะผลแห่งกรรมอะไร ?”

    แก้ว่า “ได้ยินว่า ในกาลแห่งพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า นางถวายจีวรสาฎก แก่ภิกษุ ๒ หมื่นรูปแล้ว ได้ถวายด้ายบ้าง เข็มบ้าง เครื่องย้อมบ้าง ซึ่งเป็นของตนนั่นเอง นางได้แล้วซึ่งเครื่องประดับนี้ เพราะผลแห่งจีวรทานนั้น

    จีวรทานของหญิงทั้งหลาย ย่อมถึงที่สุดด้วยเครื่องประดับชื่อมหาลดาปสาธน์ จีวรทานของบุรุษทั้งหลาย ย่อมถึงที่สุดด้วยบาตรและจีวรอันสำเร็จแล้วด้วยฤทธิ์”


    ๐ เศรษฐีจัดไทยธรรมให้นางวิสาขา

    มหาเศรษฐี ทำการตระเตรียมเพื่อธิดาโดยตลอด ๔ เดือนอย่างนั้นแล้ว เมื่อจะให้สิ่งของแก่ธิดานั้น ได้ให้เกวียนเต็มด้วยกหาปณะ ๕๐๐ เล่ม ได้ให้เกวียนเต็มด้วยภาชนะทองคำ ๕๐๐ เล่ม เต็มด้วยภาชนะเงิน ๕๐๐ เล่ม ด้วยภาชนะทองแดง ๕๐๐ เล่ม เต็มด้วยภาชนะสำริด ๕๐๐ เล่ม เต็มด้วยผ้าด้ายผ้าไหม ๕๐๐ เล่ม เต็มด้วยเนยใส ๕๐๐ เล่ม เต็มด้วยน้ำมัน ๕๐๐ เล่ม เต็มด้วยน้ำอ้อย ๕๐๐ เล่ม เต็มด้วยข้าวสารแห่งข้าวสาลี ๕๐๐ เล่ม เต็มด้วยเครื่องอุปกรณ์ มีไถและผาล เป็นต้น ๕๐๐ เล่ม

    ได้ยินว่า ความคิดอย่างนี้ได้มีแก่มหาเศรษฐีนั้นว่า

    “ในที่แห่งธิดาของเราไปแล้ว นางอย่าได้ส่งคนไปสู่ประตูเรือนของคนอื่นว่า “เราต้องการด้วยวัตถุชื่อโน้น” เพราะฉะนั้น มหาเศรษฐีจึงได้สั่งให้ให้เครื่องอุปกรณ์ทุกสิ่ง (แก่ธิดาของตน)

    มหาเศรษฐีได้ให้รถ ๕๐๐ คัน ตั้งนางสาวใช้รูปงามผู้ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ ไว้บนรถคันละ ๓ คนๆ ได้ให้นางปริจาริกา ๑,๕๐๐ คน ด้วยสั่งว่า

    “พวกเจ้าเท่านี้คนจงให้ธิดาของเราอาบ เท่านี้คนให้บริโภค เท่านี้คนแต่งตัว เที่ยวไป”

    ครั้งนั้น มหาเศรษฐีประสงค์จะให้โคแก่ธิดา ท่านจึงสั่งบุรุษว่า “พนาย พวกท่านจงไป จงเปิดประตูคอกแล้วจงตีกลองต้อนแม่โคให้ออกจากคอก เมื่อฝูงแม่โคออกไปอยู่ในที่ยาว ๓ คาวุต (๑๒ กิโลเมตร) กว้างประมาณ ๑ อุสภะ (๕๐ เมตร) ก็จงปิดคอก” พวกเขาทั้งหลายก็ได้ไปกระทำตามนั้น ดังนั้นแม่โคทั้งหลายก็ได้ยืนเบียดกันและกันในที่ยาวประมาณ ๓ คาวุต กว้างประมาณ ๑ อุสภะ ด้วยประการอย่างนี้

    ครั้นเมื่อมหาเศรษฐีสั่งให้ปิดประตูคอกว่า “โคเท่านั้น พอแล้วแก่ธิดาของข้าพเจ้า พวกเจ้าคงปิดประตูเถิด” เมื่อเขาปิดประตูคอกแล้ว แต่เพราะผลบุญของนางวิสาขาในอดีตมาส่งผล โคตัวมีกำลังและแม่โคนมทั้งหลายก็กระโดดออกไปจากคอกที่ปิดแล้ว เข้าไปรวมอยู่กับฝูงโคที่จะมอบให้แก่นางวิสาขา

    แม้เมื่อพวกผู้ดูแลฝูงวัวกำลังห้ามอยู่นั่นแล โคผู้ที่แข็งแรง ๖ หมื่นตัว และแม่โคนม ๖ หมื่นตัว รวมทั้ง ลูกโคตัวที่มีกำลังแข็งแรง จำนวนเท่ากัน ก็ออกไปจากคอกแล้ว

    ถามว่า “ก็โคทั้งหลายออกจากคอกไปอย่างนั้น เพราะผลแห่งกรรมอะไร ?”

    แก้ว่า “เพราะผลแห่งทานที่นางวิสาขาถวายแล้วแก่ภิกษุหนุ่มและสามเณรผู้ห้ามอยู่ๆ”

    ได้ยินว่า ในกาลแห่งพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า นางเป็นน้องสุดท้องของธิดาทั้ง ๗ ของพระเจ้ากิกิ มีพระนามว่าสังฆทาสี เมื่อถวายเบญจโครสทานแก่ภิกษุ ๒ หมื่นรูป แม้เมื่อภิกษุหนุ่มและสามเณรปิดบาตรห้ามอยู่ว่า “พอ พอ” ก็ยังรับสั่งว่า “นี่อร่อย นี่น่าฉัน” แล้วได้ถวายอีก เพราะผลแห่งกรรมนั้น โคเหล่านั้น แม้ผู้ดูแลจะห้ามอยู่ ก็ออกไปรวมกับฝูงโคของนางแล้วอย่างนั้น

    ในเวลาที่เศรษฐีให้ทรัพย์เท่านี้แก่ธิดาแล้ว ภริยาของเศรษฐีได้พูดว่า “ทุกสิ่งอันท่านจัดแจงแล้วแก่ธิดาของเรา แต่คนใช้ชายหญิง ผู้ทำการรับใช้ ท่านมิได้จัดแจง ข้อนั้นเพระเหตุไร ?”

    เศรษฐี ตอบว่า “ที่เราไม่จัดแจง เพื่อที่จะได้รู้ถึงคนผู้มีความรักและชังในธิดาของเรา เพราะจะให้เราบังคับพวกที่ไม่ประสงค์จะไปกับธิดานั้นแล้วส่งไปนั้น เราทำไม่ได้ แต่ในเวลาจะขึ้นยานไปนั่นแล เราจะพูดว่า “ใครอยากไปกับนางวิสาขานั้นก็จงไป ผู้ไม่อยากไป ก็อย่าไป”

    ลำดับนั้น เศรษฐีคิดว่า “ธิดาของเราจักไปพรุ่งนี้แล้ว” จึงนั่งในห้องเรียกให้ธิดานั่งในที่ใกล้แล้วให้โอวาทว่า “แม่ ธรรมดาหญิงผู้อยู่ในสกุลผัวรักษามรรยาทอย่างนี้และอย่างนี้ จึงจะควร”

    มิคารเศรษฐีนี้แม้นั่งในห้องถัดไปก็ได้ยินโอวาทที่ธนญชัยเศรษฐีสอนแก่ธิดา


    ๐ โอวาท ๑๐ ข้อของเศรษฐี

    ฝ่ายธนญชัยเศรษฐีนั้น สอนธิดาอย่างนั้นแล้ว ให้โอวาท ๑๐ ข้อนี้ว่า

    “แม่ ธรรมดาหญิงที่อยู่ในสกุลพ่อผัวแม่ผัว ไม่ควรทำไฟภายในออกไปภายนอก ไม่ควรทำไฟภายนอกเข้าไปภายใน พึงให้แก่คนที่ให้เท่านั้น ไม่พึงให้แก่คนที่ไม่ให้ พึงให้แก่คนทั้งที่ให้ทั้งที่ไม่ให้ พึงนั่งให้เป็นสุข พึงบริโภคให้เป็นสุข พึงนอนให้เป็นสุข พึงบำเรอไฟ พึงนอบน้อมเทวดาภายใน” ดังนี้แล้ว

    ในวันรุ่งขึ้น ท่านเศรษฐีจึงเรียกประชุมเสนาทั้งหมดแล้วแต่งตั้งกุฎุมพีผู้ใหญ่ ๘ คน ให้เป็นผู้ค้ำประกันผู้เป็นธิดาของตนในท่ามกลางราชเสนาแล้ว กล่าวว่า

    “ถ้าโทษเกิดขึ้นแก่ธิดาของเราแล้ว พวกท่านพึงเป็นผู้ชำระความ”

    ดังนี้แล้ว ประดับธิดาด้วยเครื่องประดับชื่อมหาลดาปาสธน์ ซึ่งมีค่าได้ ๙ โกฏิ ให้ทรัพย์ ๔๕ โกฏิเป็นค่าจุณสำหรับอาบ (เหมือนเป็นค่าตอบแทนแก่ตระกูลสามี) ให้ขึ้นสู่ยานแล้ว ให้คนเที่ยวตีกลองประกาศในบ้านส่วย ๑๔ ตำบลอันเป็นของตน เท่าอนุราธบุรี รอบเมืองสาเกตว่า

    “ชนผู้อยากไปกับธิดาของเรา ก็จงไป”

    ชาวบ้าน ๑๔ ตำบลนั้นพอได้ยินเสียงประกาศ จึงออกไปจนหมดสิ้น ไม่เหลือใครๆ เลยด้วยคิดว่า “จักมีประโยชน์อะไรแก่พวกเราในที่จะอยู่ที่นี้ ในเวลาที่แม้เจ้าของเราก็ไปเสียแล้ว” ฝ่ายธนญชัยเศรษฐี ทำสักการะแด่พระราชาและมิคารเศรษฐีแล้ว ก็ตามไปส่งธิดากับคนเหล่านั้นหน่อยหนึ่ง

    มิคารเศรษฐี นั่งในยานน้อยไปข้างหลังยานทั้งหมด เห็นหมู่พลที่ติดตามนางวิสาขาแล้ว จึงถามว่า “นั่นพวกไหน ?”

    พวกคนใช้ตอบว่า : พวกนั้นเป็นทาสหญิงทาสชาย ผู้รับใช้ขอหญิงสะใภ้ของท่าน

    มิคารเศรษฐี : ใครจักเลี้ยงดูคนจำนวนมากเท่านั้นได้ พวกท่านจงโบยคนพวกนั้นแล้วไล่ให้หนีไป พวกที่ไม่หนีก็จงฉุดออกไปจากที่นี้

    แต่ทางวิสาขากล่าวว่า “หลีกไป อย่าห้าม พลนั่นแล จักให้ภัตแก่พล”

    แม้เมื่อนางกล่าวอย่างนั้น เศรษฐีก็ยังกล่าวว่า

    “แม่ เราไม่มีความต้องการด้วยชนเหล่านั้น ใครจักเลี้ยงคนเหล่านี้ได้” ดังนี้แล้ว จึงไล่คนเหล่านั้นให้หนีไปโดยให้ขว้างปาด้วยก้อนดินและท่อนไม้เป็นต้น เมื่อเหลือคนจำนวนเท่าที่ตนต้องการแล้วเศรษฐีจึงพาพวกที่เหลือไป ด้วยคิดว่า

    “เราพอละ ด้วยคนจำนวนเท่านี้”

    ๐ นางวิสาขาถึงกรุงสาวัตถี

    ครั้งเวลาถึงประตูนครสาวัตถี นางวิสาขาคิดว่า

    “เราจักนั่งในยานที่ปกปิดเข้าไปหรือหนอ ? หรือจะยืนบนรถเข้าไป”

    ที่นั้นนางได้ตกลงในอย่างนี้ว่า

    “เมื่อเราไปด้วยยานที่ปกปิด ความวิเศษแห่งเครื่องประดับชื่อมหาลดาปสาธน์จักไม่ปรากฏ”

    นางยืนบนรถแสดงตนแก่ชาวนครทั้งสิ้น เข้าไปสู่นครแล้ว ชาวกรุงสาวัตถี เห็นสมบัติของนางวิสาขาแล้ว จึงพูดกันว่า “นัยว่า หญิงนั่นชื่อวิสาขา สมบัติเห็นปานนี้ นี้สมควรแก่นางแท้”

    นางวิสาขานั้น เข้าไปสู่เรือนของเศรษฐี ด้วยสมบัติมาก ด้วยประการฉะนี้ ก็ในวันที่นางมาถึง ชาวนครทั้งสิ้น ได้ส่งบรรณาการไปให้นางวิสาขาตามกำลังของตน ด้วยคิดว่า

    “ธนญชัยเศรษฐี ได้ต้อนรับมากมายแก่พวกเราเมื่อพวกเราไปยังเมืองท่าน” นางวิสาขานั้นก็ได้ให้บรรณาการที่เขาส่งมานั้น ทำให้เป็นประโยชน์ทุกอย่างแก่ตระกูลอื่นๆ ในนครนั้นนั่นแหละ


    ๐ นางวิสาขาเจรจาไพเราะ

    นางกล่าวถ้อยคำเป็นที่รัก เหมาะแก่วัยของคนเหล่านั้นๆ ว่า “ท่านจงให้สิ่งนี้แก่คุณแม่ของฉัน จงให้สิ่งแก่คุณพ่อของฉัน จงให้สิ่งนี้แก่พี่ชายน้องชายของฉัน จงให้สิ่งนี้แก่พี่สาวน้องสาวของฉัน” ดังนี้แล้ว ส่งบรรณาการไป ได้ทำชาวนครทั้งหมดให้เป็นเหมือนพวกญาติ ด้วยประการฉะนี้

    ต่อมาในระหว่างตอนกลางคืน นางลาตัวเป็นแม่ม้าอาชาไนยของนางได้ตกลูก นางให้พวกทาสีถือประทีปไปในที่นั้นแล้วอาบน้ำให้นางลาด้วยน้ำอุ่น ให้ทาด้วยน้ำมัน แล้วได้ไปสู่ที่อยู่ของตนตามเดิม

    มิคารเศรษฐี เมื่อทำอาวาหมงคลของบุตรนั้นก็หาได้คำนึงถึงพระตถาคต แม้พระองค์จะประทับอยู่ในวิหารที่ใกล้ไม่ แต่เศรษฐีนั้นมีความเลื่อมใสในอเจลกะ (สมณะเปลือย) อยู่นานมาแล้วจึงคิดว่า

    “เราจักทำสักการะ แม้แก่พระผู้เป็นเจ้าของเรา” ดังนี้แล้ว

    วันหนึ่งจึงให้คนหุงข้าวปายาสข้นบรรจุในภาชนะใหม่ หลายร้อยสำรับ ให้นิมนต์พวกอเจลกะ ๕๐๐ คน เชิญเข้าไปในเรือนแล้ว จึงส่งข่าวแก่นางวิสาขาว่า

    “สะใภ้ของฉันจงมาไหว้พระอรหันต์ทั้งหลาย”


    ๐ นางวิสาขาตำหนิพ่อผัว

    นางเป็นอริยสาวิกาผู้โสดาบัน พอได้ยินคำว่า “อรหันต์” ก็เป็นผู้ร่าเริงยินดี มาสู่ที่บริโภคแห่งอเจลกะเหล่านั้น แลดูอเจลกะเหล่านั้นแล้ว คิดว่า “ผู้เว้นจากหิริโอตตัปปะอย่างนี้ย่อมชื่อว่าพระอรหันต์ไม่ได้ เหตุไร พ่อผัวจึงให้เรียกเรามา ?” นางจึงติเตียนเศรษฐีแล้ว ก็ไปที่อยู่ของตนตามเดิม

    พวกอเจลกะ (คนผู้ถือลัทธิเปลือยกาย) เห็นอาการของนางวิสาขานั้นแล้ว จึงติเตียนเศรษฐีเป็นเสียงเดียวกันว่า

    “คฤหบดี ท่านไม่ได้หญิงอื่นแล้วหรือ จึงให้สาวิกาของสมณโคดมซึ่งเป็นนางกาลกิณีตัวสำคัญเข้ามาในที่นี้ ? จงขับไล่นางออกจากเรือนนี้โดยเร็ว”

    เศรษฐีนั้นคิดว่า “เราไม่อาจให้ขับไล่นางออกไป ด้วยเหตุเพียงถ้อยคำของท่านเหล่านี้เท่านั้น นางเป็นธิดาของสกุลใหญ่” ดังนี้แล้ว จึงกล่าวว่า

    “พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย ธรรมดาเด็ก รู้บ้างไม่รู้บ้าง ท่านทั้งหลายนิ่งเสียเถิด” ครั้นเมื่อส่งอเจลกะเหล่านั้นไปแล้ว ก็นั่งบนอาสนะอันมีค่ามาก บริโภคข้าวมธุปายาสมีน้ำน้อยในถาดทองคำ

    ในสมัยนั้น พระเถระผู้ถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตรรูปหนึ่งกำลังเที่ยวบิณฑบาตอยู่ ก็ได้เข้าไปสู่เรือนหลังเศรษฐีนั้นแล้ว

    นางวิสาขายืนพัดพ่อผัวอยู่ เห็นพระเถระรูปนั้นว่า คิดว่า “การที่เราจะบอกพ่อผัว นั้นไม่ควร” นางจึงได้เลี่ยงออกไปยืนโดยลักษณะที่พ่อผัวนั้นจะเห็นพระเถระได้ แต่เศรษฐีนั้นเป็นพาล แม้เห็นพระเถระ ก็แกล้งทำเป็นเหมือนไม่เห็น ก้มหน้าบริโภคอยู่นั่นเอง


    ๐ นางวิสาขาติพ่อผัวว่าบริโภคของเก่า

    นางวิสาขารู้ว่าพ่อผัวของตนแม้เห็นพระเถระ ก็ไม่เอาใจใส่จึงกล่าวว่า

    “นิมนต์ไปข้างหน้าเถิด เจ้าข้า พ่อผัวของดิฉันกำลังบริโภคของเก่า”

    เศรษฐีนั้น แม้อดกลั้นได้ในเวลาที่พวกนิครนถ์บอกให้ไล่นางวิสาขาออกไปจากเรือน แต่ในครั้งนี้ก็ทนไม่ได้จึงกล่าวว่า

    “ท่านทั้งหลายจงนำข้าวปายาสนี้ไปเสียจากที่นี้ จงขับไล่นางนั่นออกจากเรือนนี้ นางคนนี้ทำให้เราเป็นผู้ชื่อว่าเคี้ยวกินของไม่สะอาด ในกาลมงคลเช่นนี้”

    แต่ทาสและกรรมกรทั้งหมดในเรือนนั้น ล้วนเป็นคนของนางวิสาขา จึงไม่กล้าที่จะเข้าใกล้ ใครจักกล้าจับนางที่มือหรือที่เท้า แม้ผู้ที่กล้าจะกล่าวด้วยปากก็ไม่มี

    นางวิสาขาฟังคำของพ่อผัวแล้ว กล่าวว่า “คุณพ่อ ดิฉันจะไม่ออกไปด้วยเหตุเพียงเท่านี้ คุณพ่อมิได้นำดิฉันมา เหมือนนำนางกุมภทาสีมาแต่ท่าน้ำ ธรรมดาธิดาของมารดาบิดาผู้ยังมีชีวิตอยู่ จะไม่อออกไปด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เพราะเหตุนั้นแล ในเวลาจะมาที่นี้ คุณพ่อของฉันจึงได้เรียกกุฎุมพี ๘ คนมา พูดว่า “ถ้าโทษเกิดขึ้นแก่ธิดาของเราแล้ว พวกท่านพึงเป็นผู้ชำระความ” ดังนี้ คุณพ่อจงให้เรียกท่านเหล่านั้นมาแล้วให้ชำระโทษของดิฉัน”

    เศรษฐีคิดว่า “นางวิสาขานี้ พูดดี” จึงให้เรียกกุฎมพีทั้ง ๘ มาแล้วบอกว่า

    “นางทาริกานี้ ว่าฉันผู้นั่งรับประทานข้าวปายาสมีน้ำข้นในถาดทอง ในเวลามงคลว่าเป็นผู้กินของไม่สะอาด พวกท่านจงพิจารณาโทษนางวิสาขานี้ แล้วจงคร่านางออกไปจากเรือนนี้”

    กุฎมพี : จริงอย่างนั้นหรือ ? แม่

    วิสาขา : ฉันไม่ได้พูดอย่างนั้น เมื่อพระเถระผู้ถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตรรูปหนึ่ง ยืนอยู่ที่ประตูเรือน พ่อผัวของฉัน กำลังรับประทานขาวมธุปายาสมีน้ำน้อย ไม่ใส่ใจถึงพระเถระนั้น ฉันคิดว่า ‘พ่อผัวของเรา ไม่ทำบุญในอัตภาพนี้ บริโภคแต่บุญเก่าเท่านั้น’ จึงได้พูดว่า ‘นิมนต์ไปข้างหน้าเถิด เจ้าข้า พ่อผัวของดิฉันกำลังบริโภคของเก่า’ ดิฉันจะมีโทษอะไร เพราะเหตุนี้เล่า ?

    กุฎมพี : ท่านเศรษฐี โทษเพราะเหตุนี้ มิได้มี ธิดาของข้าพเจ้ากล่าวชอบ เหตุไรท่านจึงโกรธ ?

    เศรษฐี : ท่านทั้งหลาย โทษอันนี้ เป็นอันพ้นไปก่อน แต่คืนหนึ่ง ในมัชฌิมยาม นางวิสาขานี้มีคนใช้ชายหญิงแวดล้อมแล้ว ได้เข้าไปหลังเรือน

    กุฎมพี : จริงอย่างนั้นหรือ ? แม่

    วิสาขา : พ่อทั้งหลาย ดิฉันไม่ได้ไปเพราะเหตุอื่น ก็เมื่อนางลาแม่ม้าอาชาไนยตกลูกแล้วใกล้เรือนนี้ ดิฉันคิดว่า ‘การที่นั่งเฉยไม่เอาเป็นธุระเสียเลย ไม่สมควร’ จึงให้คนถือประทีปไปกับพวกหญิงคนใช้ ให้ทำการดูแลแก่แม่ลาที่ตกลูกแล้ว ในเพราะเหตุนี้ ดิฉันจะมีโทษอะไร ?

    กุฎมพี : ท่านเศรษฐี ธิดาของพวกข้าพเจ้าทำสิ่งที่แม้พวกหญิงคนใช้ไม่พึงทำในเรือนของท่าน ท่านยังเห็นโทษอะไร ในเพราะเหตุนี้ ?

    เศรษฐี : ท่านทั้งหลาย แม้ในเรื่องนี้ จะไม่มีโทษ ก็ช่างเถอะ.แต่ว่า บิดาของนางวิสาขานี้ เมื่อกล่าวสอนนางวิสาขานี้ ในเวลาจะมาที่นี้ ได้ให้โอวาท ๑๐ ข้อซึ่งลี้ลับปิดบัง เราไม่ทราบเนื้อความแห่งโอวาทนั้น นางจงบอกเนื้อความแห่งโอวาทนั้นแก่เรา ก็บิดาของนางนี้ได้บอกว่า ‘ไฟในไม่พึงนำออกไปภายนอก’ พวกเราอาจหรือหนอ ? เพื่อจะไม่ให้ไฟแก่เรือนคุ้นเคยทั้งสองฝ่ายแล้วอยู่ได้”


    ๐ นางวิสาขาชนะความพ่อผัว

    กุฎมพี : จริงอย่างนั้นหรือ ? แม่

    วิสาขา : พ่อทั้งหลาย คุณพ่อของดิฉันมิได้พูดหมายความดังนั้น แต่ได้พูดหมายความดังนี้ว่า ‘แม่ เมื่อเจ้าเห็นโทษของแม่ผัวพ่อผัวและสามีของเจ้าแล้ว อย่านำไปกล่าว ณ ภายนอกเรือน เพราะขึ้นชื่อว่าไฟ เช่นกับไฟชนิดนี้ ย่อมไม่มี

    เศรษฐี : ท่านทั้งหลาย ข้อนั้นยกไว้ก่อน ก็บิดาของนางวิสาขานี้กล่าวว่า ‘ไฟแต่ภายนอก ไม่พึงให้เข้าไปภายใน พวกเราอาจเพื่อจะไม่ไปนำไฟมาจากภายนอกหรือ? ในเมื่อไฟใน (เรือน) ดับ

    กุฎุมพี : จริงอย่างนั้นหรือ ? แม่

    วิสาขา : พ่อทั้งหลาย คุณพ่อของดิฉัน ไม่ได้พูดหมายความดังนั้น แต่ได้พูดหมายความดังนี้ว่า ‘ถ้าหญิงหรือชายทั้งหลาย ในบ้านใกล้เรือนเคียงของเจ้า พูดถึงโทษของแม่ผัวพ่อผัวและสามี เจ้าอย่านำเอาคำที่ชนพวกนั้นพูดแล้ว มาพูดอีกว่า ‘คนชื่อโน้นพูดกล่าวโทษอย่างนี้ของท่านทั้งหลาย’ เพราะขึ้นชื่อว่าไฟ เช่นกับไฟนั่น ย่อมไม่มี

    นางวิสาขาได้พ้นโทษ เพราะเหตุนี้อย่างนี้

    ก็นางพ้นโทษในเพราะเหตุนี้ฉันใด แม้ในโอวาทที่เหลือ นางก็ได้พ้นโทษฉันนั้นเหมือนกัน ดังนี้

    อรรถาธิบายข้อโอวาทอื่น

    ก็ในโอวาทเหล่านั้น พึงทราบอธิบายดังนี้ :-

    ก็คำที่บิดาของนางสอนว่า “แม่ เจ้าควรให้แก่ชนทั้งหลายที่ให้ เท่านั้น”

    ธนญชัยเศรษฐีกล่าวหมายเอาเนื้อความนี้ ว่า “ควรให้ แก่คนที่ถือเครื่องอุปกรณ์ที่ยืมไปแล้ว ส่งคืนเท่านั้น”

    แม้คำว่า “ไม่ควรให้ แก่คนที่ไม่ให้” นี้ ธนญชัยเศรษฐีกล่าวหมายความว่า “ไม่ควรให้แก่ผู้ที่ถือเอา เครื่องอุปกรณ์ที่ยืมไปแล้ว ไม่ส่งคืน”

    ก็แลคำว่า “ควรให้แก่คนทั้งที่ ให้ทั้งที่ไม่ให้” นี้ ธนญชัยเศรษฐีกล่าวหมายความว่า “เมื่อญาติและมิตรยากจน มาถึงแล้ว ชนเหล่านั้น อาจจะใช้คืน หรือไม่อาจก็ตาม ให้แก่ญาติ และมิตรเหล่านั้นนั่นแหละ ควร”

    แม้คำว่า “พึงนั่งเป็นสุข” นี้ ธนญชัยเศรษฐี กล่าวหมายความว่า “การนั่งในที่ๆ เห็นแม่ผัวพ่อผัวและสามีแล้วต้องลุกขึ้น ไม่ควร”

    ส่วนคำว่า “พึงบริโภคเป็นสุข” นี้ ธนญชัยเศรษฐีกล่าว หมายความว่า “การไม่บริโภคก่อนแม่ผัวพ่อผัวและสามี เลี้ยงดูท่าน เหล่านั้น รู้สิ่งที่ท่านเหล่านั้น ทุกๆ คนได้แล้วหรือยังไม่ได้ แล้วตนเองบริโภคทีหลัง จึงควร”

    แม้คำว่า “พึงนอนเป็นสุข” นี้ เศรษฐีกล่าว หมายความว่า "ไม่พึงขึ้นที่นอน นอนก่อนแม่ผัวพ่อผัวและสามี ควรทำวัตรปฏิบัติที่ตนควรทำแก่ท่านเหล่านั้นแล้ว ตนเองนอนทีหลัง จึงควร”

    คำว่า “พึงบำเรอไฟ” นี้ ธนญชัยเศรษฐีกล่าวหมายความว่า “พึงบำเรอทั้งแม่ผัวพ่อผัวทั้งสามี ให้เป็นเหมือนฤๅษีบำเรอไฟ จึงควร”

    แม้คำว่า “พึงนอบน้อมเทวดาภายใน” นี้ ธนญชัยเศรษฐีกล่าวหมายความว่า “พึงนอบน้อมแม่ผัวพ่อผัวและสามี ให้เป็นเหมือนเทวดาจึงสมควร.”

    มิคารเศรษฐีได้ฟังเนื้อความแห่งโอวาท ๑๐ ข้อนี้ อย่างนั้นแล้ว ไม่เห็นคำโต้เถียง ได้แต่นั่งก้มหน้าแล้ว.

    ครั้งนั้น กุฎุมพีทั้งหลาย ถามเศรษฐีนั้นว่า

    “ท่านเศรษฐี โทษอย่างอื่นแห่งธิดาของพวกข้าพเจ้า ยังมีอยู่หรือ ?”

    มิคารเศรษฐี : ไม่มีดอก ท่าน

    กุฏุมพี : เมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุไร ท่านจึงให้ขับไล่ นางผู้ไม่มีความผิด ออกจากเรือน โดยไม่มีเหตุเหล่า ?


    ๐ มิคารเศรษฐีขอโทษนางวิสาขา

    เมื่อกุฏุมพีทั้งหลาย พูดอย่างนั้นแล้ว นางวิสาขาได้พูดว่า

    “พ่อทั้งหลาย การที่ดิฉันไปก่อนตามคำของพ่อผัว ไม่สมควรเลย ก็จริง แต่ในเวลาจะมา คุณพ่อของดิฉัน ได้มอบดิฉันไว้ในมือของพวกท่าน เพื่อต้องการชำระโทษของดิฉัน ก็ความที่ดิฉันไม่มีโทษ ท่านทั้งหลายทราบแล้ว บัดนี้ ดิฉันควรไปได้”

    นางพูดดังนี้แล้ว จึงสั่งคนใช้หญิงชายทั้งหลายว่า

    “พวกเจ้าจงให้ช่วยกันจัดแจงพาหนะให้กับเราด้วย”

    ทีนั้นเศรษฐียึดกุฎุมพีเหล่านั้นไว้ แล้วกล่าวกะนางว่า

    “แม่ ฉันไม่รู้ พูดไปแล้ว ยกโทษให้ฉันเถิด”

    วิสาขา : คุณพ่อ ดิฉันยกโทษที่ควรยกให้แก่คุณพ่อได้โดยแท้ แต่ดิฉันเป็นธิดาของตระกูลผู้มีความเลื่อมใสอันไม่ง่อนแง่น ในพระพุทธศาสนา พวกดิฉันเว้นภิกษุสงฆ์แล้ว เป็นอยู่ไม่ได้ หากให้ดิฉันได้มีโอกาสเพื่อบำรุงภิกษุสงฆ์ตามความพอใจของดิฉัน ดิฉันจึงจักอยู่

    เศรษฐี : แม่ เจ้าจงบำรุงพวกสมณะของเจ้า ตามความชอบใจเถิด


    ๐ มิคารเศรษฐีฟังธรรมของพระพุทธเจ้า

    นางวิสาขา ให้คนไปทูลนิมนต์พระทศพล แล้วเชิญเสด็จให้เข้าไปสู่นิเวศน์ในวันรุ่งขึ้น ฝ่ายพวกสมณะเปลือย เมื่อรู้ว่าพระศาสดาเสด็จไปยังเรือนของมิคารเศรษฐี จึงไปนั่งล้อมเรือนไว้

    ฝ่ายนางวิสาขาเมื่อถวายน้ำทักษิโณทกแล้วก็ส่งข่าวไปยังมิคารเศรษฐีว่า

    “ดิฉันตกแต่งเครื่องสักการะทั้งปวงไว้แล้ว เชิญพ่อผัวของดิฉันมาอังคาสพระทศพลเถิด”

    ครั้งนั้น พวกอาชีวกห้ามมิคารเศรษฐีผู้อยากจะมาว่า

    “คฤหบดี ท่านอย่าไปสู่สำนักของพระสมณโคดมเลย”

    เศรษฐี ส่งข่าวไปว่า “สะใภ้ของฉัน จงอังคาสเองเถิด”

    นางวิสาขาจึงอังคาสภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เมื่อเสร็จภัตกิจแล้ว ได้ส่งข่าวไปอีกว่า

    “เชิญพ่อผัวของดิฉัน มาฟังธรรมกถาเถิด”

    เศรษฐีนั้นคิดว่า การไม่ไปคราวนี้ ไม่สมควรอย่างยิ่ง และเพราะความที่ตนอยากฟังธรรมด้วย จึงออกเดินทางไปยังเรือนของสะใภ้

    ครานั้น พวกอาชีวกเห็นว่าห้ามมิคารเศรษฐีไว้ไม่ได้แล้ว จึงกล่าวกะเศรษฐีที่กำลังจะออกเดินทางว่า

    “ถ้ากระนั้น ท่านเมื่อฟังธรรมของพระสมณโคดม จงนั่งฟังภายนอกม่าน” ดังนี้ แล้วจึงรีบล่วงหน้าไปก่อนเศรษฐีนั้น แล้วก็ไปจัดแจงกั้นม่านไว้เพื่อให้เศรษฐีนั้นนั่งภายนอกม่านที่ตนกั้นไว้นั้น เศรษฐีเมื่อไปถึงก็นั่งอยู่ภายนอกม่าน

    พระศาสดา ตรัสว่า “ท่านจะนั่งนอกม่านก็ตาม ที่ฝาเรือนคนอื่นก็ตาม ฟากภูเขาหินโน้นก็ตาม ฟากจักรวาลโน้นก็ตาม เราชื่อว่าเป็นพระพุทธเจ้า ย่อมอาจจะให้ท่านได้ยินเสียงของเราได้” ดังนี้แล้ว ทรงเริ่มอนุปุพพีกถาเพื่อแสดงธรรม ดุจจับต้นหว้าใหญ่สั่น และดุจยังฝนคืออมตธรรมให้ตกอยู่

    ก็เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมอยู่ ชนผู้ยื่นอยู่ข้างหน้าก็ตาม ข้างหลังก็ตาม อยู่เลยร้อยจักรวาล พันจักรวาลก็ตาม อยู่ในภพอกนิษฐ์ก็ตาม ย่อมกล่าวกันว่า “พระศาสดา ย่อมทอดพระเนตรดูเราคนเดียว ทรงแสดงธรรมโปรดเราคนเดียว” แท้จริง พระศาสดาเป็นดุจทอดพระเนตรดูชนนั้นๆ และเป็นดุจตรัสกับคนนั้นๆ โดยเจาะจง

    นัยว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย อุปมาดังพระจันทร์ ย่อมปรากฏเหมือนประทับยืนอยู่ตรงหน้าแห่งสัตว์ทั้งหลาย ผู้ยืนอยู่ในที่ใดที่หนึ่งเหมือนพระจันทร์ลอยอยู่แล้วในกลางหาว ย่อมปรากฏแก่ปวงสัตว์ว่า“พระจันทร์อยู่บนศีรษะของเรา พระจันทร์อยู่บนศีรษะของเรา” ฉะนั้น ได้ยินว่า นี้เป็นผลแห่งทานที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงตัดพระเศียรที่ประดับแล้ว ทรงควักพระเนตรที่หยอดดีแล้ว ทรงชำแหละเนื้อหทัยแล้วทรงบริจาคโอรสเช่นกับพระชาลี ธิดาเช่นกับนางกัณหาชินา ปชาบดีเช่นกับนางมัทรี ให้แล้ว เพื่อเป็นทาสของผู้อื่น

     นางวิสาขาได้นามว่ามิคารมารดา

    ฝ่ายมิคารเศรษฐี เมื่อพระตถาคตทรงเปลี่ยนแปลงยักย้ายธรรมเทศนาอยู่ นั่งอยู่ภายนอกม่านนั่นเอง ตั้งอยู่แล้วในโสดาปัตติผล อันประดับด้วยพันนัย ประกอบด้วยอจลศรัทธาเป็นผู้หมดสงสัยในรัตนะ ๓ ยกชายม่านขึ้นแล้ว แล้วตั้งนางไว้ในตำแหน่งมารดาโดยการกล่าวว่า

    “เจ้าจงเป็นมารดาของฉัน ตั้งแต่วันนี้ไป”

    จำเดิมแต่วันนั้น นางวิสาขาได้ชื่อว่ามิคารมารดาแล้ว ภายหลังได้บุตรชาย จึงได้ตั้งชื่อบุตรนั้นว่า “มิคาระ”

    มหาเศรษฐีหลังจากประกาศยกย่องหญิงสะใภ้แล้วก็ไปหมอบลงแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า นวดฟั้นพระบาทด้วยมือ และจุมพิตด้วยปากและประกาศชื่อ ๓ ครั้งว่า

    “ข้าพระองค์ชื่อมิคาระ พระเจ้าข้า” ดังนี้เป็นต้นแล้ว กราบทูลว่า

    “พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่ทราบ ตลอดกาลเพียงเท่านี้ ท่านที่บุคคลให้แล้วในศาสนานี้ มีผลมาก ข้าพระองค์ทราบผลแห่งทานในบัดนี้ ก็เพราะอาศัยหญิงสะใภ้ของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เป็นผู้พ้นแล้วจากอบายทุกข์ทั้งปวง เมื่อหญิงสะใภ้ของข้าพระองค์มาสู่เรือนี้ ก็มาแล้วเพื่อประโยชน์เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ข้าพระองค์” ดังนี้แล้ว ได้กล่าวคาถานี้ว่า :-

    “ข้าพระองค์นั้น ย่อมรู้ทั่วถึงทานที่บุคคลให้
    แล้ว ในเขตที่บุคคลให้แล้วมีผลมากในวันนี้
    หญิงสะใภ้คนดีของข้าพระองค์มาสู่เรือน เพื่อ
    ประโยชน์แก่ข้าพระองค์หนอ”


    นางวิสาขา ทูลนิมนต์พระศาสดาเพื่อเสวยในวันรุ่งขึ้น และในวันรุ่งขึ้นนั้นเอง แม่ผัวของนางก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล

    จำเดิมแต่กาลนั้น เรือนหลังนั้น ได้เปิดประตูแล้วเพื่อพระศาสนา


    ๐ มิคารเศรษฐีทำเครื่องประดับให้นางวิสาขา

    ลำดับนั้น เศรษฐีคิดว่า “สะใภ้ของเรามีอุปการะมาก เราจักทำบรรณาการให้แก่นาง เพราะเครื่องประดับของสะใภ้นั้นหนัก ไม่อาจเพื่อประดับตลอดกาลเป็นนิตย์ได้ เราจักให้ช่างทำเครื่องประดับอย่างเบาๆ แก่นาง ควรแก่การประดับในทุกอิริยาบถ ทั้งในกลางวันและกลางคืน” ดังนี้แล้ว จึงให้ช่างทำเครื่องประดับชื่อฆนมัฏฐกะอันมีราคาแสนหนึ่ง เมื่อเครื่องประดับนั้นเสร็จแล้ว นิมนต์พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขให้ฉัน โดยความเคารพแล้ว ให้นางวิสาขาอาบน้ำด้วยหม้อน้ำหอม ๑๖ หม้อ ให้ยืนถวายบังคมพระศาสดา ในที่เฉพาะพระพักตร์ของพระศาสดาแล้ว พระศาสดาทรงทำอนุโมทนาแล้ว เสด็จไปสู่วิหารตามเดิม


    ๐ นางวิสาขามีกำลังเท่าช้าง ๕ เชือก

    นับแต่นั้น นางวิสาขาก็ได้ทำบุญมีทานเป็นต้นอยู่ ได้พร ๘ ประการ จากสำนักพระศาสดา ปรากฏประหนึ่งจันทเลขา (วงจันทร์) ในกลางหาว ถึงความเจริญด้วยบุตรและธิดาแล้ว ได้ทราบมาว่า นางมีบุตร ๑๐ คน มีธิดา ๑๐ คน บรรดาบุตร (ชายหญิง) เหล่านั้น คนหนึ่งๆ ได้มีบุตรคนละ ๑๐ มีธิดาคนละ ๑๐ คน บรรดาหลานเหล่านั้น คนหนึ่งๆ ได้มีบุตรคนละ ๑๐ คน มีธิดาคนละ ๑๐ คน จำนวนคน ได้มีตั้ง ๘,๔๒๐ คน เป็นไปด้วยสามารถแห่งความสืบเนื่องแห่งบุตรหลานและเหลน ของนางวิสาขานั้น อย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้

    นางวิสาขาเอง ก็ได้มีอายุยืนถึง ๑๒๐ ปี แม้กระนั้นชื่อว่าผมหงอกบนศีรษะแม้เส้นหนึ่งก็ไม่มี นางได้เป็นประหนึ่งเด็กหญิงรุ่นอายุราว ๑๖ ปี เป็นนิตย์ ชนทั้งหลาย เห็นนางมีบุตรและหลานเป็นบริวารเดินไปวิหาร ย่อมถามกันว่า “ในหญิงเหล่านี้ คนไหน นางวิสาขา ?”

    ชนผู้เห็นนางเดินไปอยู่ย่อมคิดว่า ‘บัดนี้ของจงเดินไปหน่อยเถิด แม่เจ้าของเราเดินไปอยู่เทียว ย่อมงาม” ชนที่เห็นนางยืน หรือนั่ง หรือนอน ก็ย่อมคิดว่า “บัดนี้ จงยืน หรือ จงนั่ง หรือ จงนอนหน่อยเถิด แม่เจ้าของเรายืนแล้ว นั่งแล้ว หรือ นอนแล้วแล ย่อมงาม”

    นางได้เป็นผู้มีชื่อว่างามในทุกอิริยาบถ ด้วยประการฉะนี้

    ก็นางวิสาขานั้น ย่อมทรงกำลังเท่าช้าง ๕ เชือก พระราชาเมื่อทรงสดับว่า นางวิสาขา ทรงกำลังเท่าช้าง ๕ เชือก จึงมีพระประสงค์จะทดลองกำลังของนาง ในเวลานางไปวิหารฟังธรรมแล้วกลับมา พระราชาจึงรับสั่งให้ปล่อยช้างไป ช้างนั้นชูงวง ได้วิ่งรี่เข้าไปใส่นางวิสาขาแล้ว หญิงบริวารของนาง ๕๐๐ บางพวกวิ่งหนีไป บางพวกไม่ละนาง เมื่อนางวิสาขาถามว่า “เกิดอะไรกันนี่ ?”

    พวกหญิงบริวารจึงบอกว่า “แม่เจ้า ได้ทราบว่า พระราชาทรงประสงค์จะทดลองกำลังแม่เจ้า จึงรับสั่งให้ปล่อยช้าง”

    นางวิสาขา คิดว่า “จะมีประโยชน์อะไร ที่เราเห็นช้างนี้แล้ววิ่งหนีไป เราจะจับช้างนั้นอย่างไรหนอแล ?”

    นางจึงคิดว่า “ถ้าเราจับช้างนั้นอย่างมั่นคง ช้างนั้นจะพึงฉิบหาย” ดังนี้แล้ว จึงเอานิ้ว ๒ นิ้ว จับงวงแล้วผลักไป ช้างไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ ได้ซวนล้มลงที่พระลานหลวงแล้ว มหาชนได้สาธุการ นางพร้อมกับบริวารได้กลับเรือนโดยสวัสดีแล้ว


    ๐ อานิสงส์ของอุโบสถศีล

    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ บุพพาราม ปราสาทของมิคารมารดา ใกล้พระนครสาวัตถี

    ครั้งนั้นแล นางวิสาขามิคารมารดา เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า

    ดูกรวิสาขา อุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ บุคคลเข้าอยู่แล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก มีความรุ่งเรืองมาก มีความแพร่หลายมาก

    ดูกรวิสาขา ข้อที่บุคคลบางคนในโลกนี้ จะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม เข้าอยู่อุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการแล้ว เมื่อตายไป พึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา ถึงชั้นปรนิมมิตวสวัตตี นี้เป็นฐานะที่จะมีได้

    เพราะฉะนั้นแหละ หญิงหรือชายผู้มีศีล เข้าอยู่อุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการแล้ว กระทำบุญมีสุขเป็นกำไร ไม่มีใครติเตียน ย่อมเข้าถึงสวรรค์ ฯ


    ๐ ว่าด้วยรักมีอยู่เท่าไรทุกข์ก็มีเท่านั้น

    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ บุพพารามปราสาทของนางวิสาขามิคารมารดา ใกล้พระนครสาวัตถี

    ก็สมัยนั้นแล หลานผู้เป็นที่รักที่พอใจของนางวิสาขามิคารมารดาได้สิ้นชีวิตลง ได้ยินว่า เด็กหญิงนั้นสมบูรณ์ด้วยวัตร เลื่อมใสยิ่งในพระศาสนา เป็นผู้ไม่ประมาท ได้กระทำการขวนขวายที่ตนจะพึงทำแก่ภิกษุและภิกษุณีทั้งหลายผู้เข้าไปยังบ้านของอุบาสิกา ทั้งเวลาก่อนอาหารและหลังอาหาร ปฏิบัติคล้อยตามใจของยายตน

    ด้วยเหตุนั้น มหาอุบาสิกาชื่อว่าวิสาขา เมื่อออกจากเรือนไปข้างนอก ได้มอบหน้าที่ทั้งหมดแก่เด็กหญิงนั้นนั่นแล แล้วจึงไป และเธอก็มีรูปร่างน่าชมน่าเลื่อมใส ดังนั้น เธอจึงเป็นที่รักที่ชอบใจโดยพิเศษของวิสาขามหาอุบาสิกา เธอถูกโรคครอบงำจึงถึงแก่กรรม

    ลำดับนั้น มหาอุบาสิกาเมื่อไม่อาจจะอดกลั้นความโศก เพราะการตายของหลานได้ จึงเป็นทุกข์เสียใจ ให้คนเอาศพไปเก็บไว้แล้ว

    ครั้งนั้น นางวิสาขามิคารมารดามีผ้าเปียก ผมเปียกเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับในเวลาเที่ยง ด้วยคิดว่า ไฉนหนอในเวลาเราไปเฝ้าพระศาสดาจะพึงได้ความยินดีแห่งจิต

    ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะนางวิสาขามิคารมารดาว่า เชิญเถิดนางวิสาขา ท่านมาแต่ไหนหนอ มีผ้าเปียก มีผมเปียก เข้ามา ณ ที่นี้ในเวลาเที่ยง นางวิสาขากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หลานของหม่อมฉัน เป็นที่รักที่พอใจ ทำกาละเสียแล้ว เพราะฉะนั้น หม่อมฉันจึงมีผ้าเปียกมีผมเปียก เข้ามา ณ ที่นี้ในเวลาเที่ยง เจ้าค่ะ ฯ

    พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงทราบว่า นางวิสาขายินดียิ่งในวัฏฏะ เพื่อจะทรงทำความเศร้าโศกของเธอให้เบาบางลงด้วยอุบาย จึงตรัส

    ดูกรนางวิสาขา ท่านปรารถนาบุตรและหลานเท่ามนุษย์ในพระนครสาวัตถีหรือ ฯ

    วิสาขา : ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้เจริญ หม่อมฉันปรารถนาบุตรและหลานเท่ามนุษย์ในพระนครสาวัตถี เจ้าค่ะ ฯ

    พระผู้มีพระภาค : ดูกรนางวิสาขา มนุษย์ในพระนครสาวัตถีมากเพียงไร ที่ตายลงทุกวันๆ

    วิสาขา : ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มนุษย์ในพระนครสาวัตถี ๑๐ คนบ้าง ๙ คนบ้าง ๘ คนบ้าง ๗ คนบ้าง ๖ คนบ้าง ๕ คนบ้าง ๔ คนบ้าง ๓ คนบ้าง ๒ คนบ้าง๑ คนบ้าง ตายลงทุกวันๆ

    พระผู้มีพระภาค : ดูกรนางวิสาขา ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ท่านพึงเป็นผู้มีผ้าเปียกหรือมีผมเปียกเป็นบางครั้งบางคราวหรือหนอ ฯ

    อุบาสิกาได้ฟังดังนั้นแล้ว จึงเกิดความสังเวช ปฏิเสธว่า

    วิสาขา : ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไม่ใช่อย่างนั้น เจ้าค่ะ พอเพียงแล้วด้วยบุตรและหลานมากเพียงนั้นสำหรับหม่อมฉัน ฯ

    พระผู้มีพระภาค : ดูกรนางวิสาขา ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๑๐๐ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๑๐๐ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๙๐ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๙๐ ผู้ใดมี......... ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๑ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๑ ผู้ใดไม่มีสิ่งที่รัก ผู้นั้นก็ไม่มีทุกข์

    เรากล่าวว่า ผู้นั้นไม่มีความโศก ปราศจากกิเลสดุจธุลี ไม่มีอุปายาส ฯ

    ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า

    ความโศกก็ดี ความร่ำไรก็ดี ความทุกข์ก็ดี
    มากมายหลายอย่างนี้ มีอยู่ในโลก
    เพราะอาศัยสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รัก
    เมื่อไม่มีสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รัก
    ความโศก ความร่ำไรและความทุกข์เหล่านี้ย่อมไม่มี
    เพราะเหตุนั้นแล ผู้ใดไม่มีสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รักในโลกไหนๆ
    ผู้นั้นเป็นผู้มีความสุข ปราศจากความโศก
    เพราะเหตุนั้น ผู้ปรารถนาความไม่โศก อันปราศจากกิเลสดุจธุลี
    ไม่พึงทำสัตว์หรือสังขารให้เป็นที่รัก ในโลกไหนๆ ฯ



    ๐ นางวิสาขาลืมเครื่องประดับไว้ที่วิหาร

    ก็โดยสมัยนั้นแล นางวิสาขามิคารมารดา มีบุตรมาก มีหลานมาก มีบุตรหาโรคมิได้ มีหลานหาโรคมิได้ ถือกันว่าเป็นมงคลอย่างยิ่งในกรุงสาวัตถี บรรดาบุตรหลานตั้งพันนั้น จะมีแม้สักคนหนึ่ง ที่ชื่อว่า ถึงความตายในระหว่างวัยอันไม่สมควร มิได้มีแล้ว ในงานมหรสพที่เป็นมงคล ชาวกรุงสาวัตถี จึงมักอัญเชิญนางวิสาขาให้บริโภคก่อน

    ต่อมา ในวันมหรสพวันหนึ่ง เมื่อมหาชนแต่งตัวไปวิหารเพื่อฟังธรรม แม้นางวิสาขา บริโภคในที่ที่เขาเชิญแล้ว ก็แต่งเครื่องมหาลดาปสาธน์ ไปวิหารกับด้วยมหาชน

    ได้ยินว่า นางวิสาขานั้น เมื่อกำลังเดินไปวิหาร นางคิดว่า

    “การที่เราสวมเครื่องประดับมีค่ามากเห็นปานนั้นไว้บนศีรษะแล้วประดับอลังการจนถึงหลังเท้า เข้าไปสู่วิหาร นั้นเป็นการไม่ควร”

    นางจึงเปลื้องเครื่องประดับ ผูกให้เป็นห่อที่ผ้าห่ม แล้วได้ส่งให้ในมือหญิงคนใช้ผู้หนึ่งซึ่งเป็นผู้ทรงกำลังเท่าช้าง ๕ เชือก ผู้เกิดด้วยบุญของตนเหมือนกัน หญิงคนใช้นั้นคนเดียวจึงสามารถรับเครื่องประดับมหาลปสาธน์นั้นได้ เพราะเหตุนั้น นางวิสาขาจึงกล่าวกะหญิงคนใช้นั้นว่า “แม่จงรับเครื่องประดับนี้ไว้ ฉันจักสวมมันในเวลากลับจากสำนักของพระศาสดา” ก็นางวิสาขา ครั้นให้เครื่องประดับมหาลดาปสาธน์นั้นแล้ว จึงสวมเครื่องประดับชื่อฆนมัฏฐกะ ได้เข้าไปเฝ้าพระศาสดา สดับธรรมแล้ว

    ในที่สุดการสดับธรรม นางถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าลุกจากอาสนะหลีกไปแล้ว ฝ่ายหญิงคนใช้นั้นของนางลืมเครื่องประดับนั้นแล้ว ก็เมื่อบริษัทฟังธรรมหลีกไปแล้ว ถ้าใครลืมของอะไรไว้ พระอานนทเถระย่อมเก็บงำของนั้น เพราะเหตุดังนี้ในวันนั้น ท่านเห็นเครื่องมหาลดาปสาธน์แล้วจึงทูลแด่พระศาสดาว่า

    “นางวิสาขา ลืมเครื่องประดับไว้ แล้วกลับไปแล้ว พระเจ้าข้า”

    พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า

    “จงเก็บไว้ในที่สุดข้างหนึ่งเถิด อานนท์”

    พระเถระจึงยกเครื่องประดับนั้น เก็บคล้องไว้ข้างบันได


    ๐ นางวิสาขาตรวจบริเวณวัด

    ฝ่ายนางวิสาขา เที่ยวเดินไปภายในวิหาร กับนางสุปปิยา ด้วยตั้งใจว่า “จักดูสิ่งที่ควรทำแก่ภิกษุอาคันตุกะ ภิกษุผู้เตรียมตัวจะไป และภิกษุไข้เป็นต้น” ก็โดยปกติแล ภิกษุหนุ่มและสามเณรผู้ต้องการด้วยเนยใสน้ำผึ้งและน้ำมันเป็นต้น เห็นอุบาสิกาเหล่านั้นในภายในวิหารแล้ว ย่อมถือภาชนะมีถาดเป็นต้น เดินเข้าไปหาอุบาสิกาเหล่านั้น ถึงในวันนั้น ภิกษุหนุ่มและสามเณรก็ทำแล้วอย่างนั้นเหมือนกัน

    ฝ่ายนางวิสาขาตรวจดูภิกษุหนุ่มและสามเณรผู้เป็นไข้แล้วก็ออกโดยประตูอื่น ยืนอยู่ที่อุปจารวิหารแล้ว พูดว่า

    “แม่ จงเอาเครื่องประดับมา ฉันจักแต่ง”

    ในขณะนั้นหญิงคนใช้นั้นก็รู้ว่าตนลืมแล้วออกมา จึงตอบว่า

    “ดิฉันลืม แม่เจ้า”

    นางวิสาขา กล่าวว่า

    “ถ้ากระนั้น จงไปเอามา แต่ถ้าพระผู้เป็นเจ้าอานนทเถระของเรา ยกเก็บเอาไว้ในที่อื่น เจ้าอย่าเอามา ฉันบริจาคเครื่องประดับนั้น ถวายพระผู้เป็นเจ้านั่นแล”

    นัยว่า นางวิสาขานั้นย่อมรู้ว่าพระเถระย่อมเก็บสิ่งของที่พวกพุทธบริษัทลืมไว้ เพราะฉะนั้น จึงพูดอย่างนั้น
    ๐ นางวิสาขาซื้อที่สร้างวิหารถวายสงฆ์

    ฝ่ายพระเถระ พอเห็นนางคนใช้นั้น ก็ถามว่า

    “เจ้ามาเพื่อประสงค์อะไร ?”

    เมื่อหญิงคนใช้นั่นตอบว่า

    “ดิฉันลืมเครื่องประดับของแม่เจ้าของดิฉัน จึงได้มา”

    พระอานนทเถระจึงกล่าวว่า “ฉันเก็บมันไว้ที่ข้างบันไดนั้น เจ้าจงเอาไป”

    หญิงคนใช้นั้นตอบว่า

    “พระผู้เป็นเจ้า ห่อภัณฑะที่ท่านเอามือถูกแล้ว แม่เจ้าของดิฉัน สั่งมิให้นำเอาไป”

    เมื่อกล่าวดังนี้แล้ว กลับไปมือเปล่าแล้วแจ้งเนื้อความนั้นแก่นางวิสาขา

    นางวิสาขา กล่าวว่า “แม่ ฉันจักไม่ประดับเครื่องที่พระผู้เป็นเจ้าของฉันถูกต้องแล้ว ฉันบริจาคแล้ว แต่พระผู้เป็นเจ้ารักษาไว้ เป็นการลำบาก ฉันจำหน่ายเครื่องประดับนั้นแล้วจักน้อมนำสิ่งที่เป็นกัปปิยะไป เจ้าจงไปเอาเครื่องประดับนั้นมา”

    หญิงคนใช้นั้นไปนำเอามาแล้ว

    นางวิสาขา ไม่แต่งเครื่องประดับนั้น สั่งให้เรียกพวกช่างทองมาแล้วให้ตีราคา เมื่อพวกช่างทองเหล่านั้นตอบว่า

    “มีราคาถึง ๖ โกฏิ แต่สำหรับค่ากำเหน็จต้องถึงแสน ”

    นางจึงวางเครื่องประดับไว้บนยานแล้วกล่าวว่า

    “ถ้ากระนั้น พวกท่านจงขายเครื่องประดับนั้น”

    แต่เมื่อนำเครื่องประดับนั้นออกขาน ก็ไม่มีใครสามารถให้ทรัพย์จำนวนเท่านั้นได้ เพราะหญิงผู้สมควรประดับเครื่องประดับนั้น หาได้ยาก

    แท้จริง หญิง ๓ คนเท่านั้น ในปฐพีมณฑล ได้เครื่องประดับมหาลดาปสาธน์ คือ นางวิสาขามหาอุบาสิกา ๑ นางมัลลิกาภรรยาของพันธุลมัลเสนาบดี ๑ ลูกสาวของเศรษฐีกรุงพาราณสี ๑ เพราะฉะนั้น นางวิสาขา จึงซื้อเครื่องประดับนั้นเสียเองทีเดียว แล้วให้ขนทรัพย์ ๙ โกฏิ ๑ แสน ขึ้นใส่เกวียน นำไปสู่วิหาร ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว กราบทูลว่า

    “พระเจ้าข้า พระอานนท์เถระผู้เป็นเจ้าของหม่อมฉัน เอามือถูกต้องเครื่องประดับของหม่อมฉันแล้ว นับแต่กาลที่ท่านถูกต้องแล้ว หม่อมฉันไม่อาจประดับได้ แต่หม่อมฉันให้ขายเครื่องประดับนั้น ด้วยคิดว่า จักจำหน่าย น้อมนำเอาสิ่งอันเป็นกัปปิยะมา แต่ก็ไม่มีผู้อื่นจะสามารถรับไว้ได้ หม่อมฉันจึงให้รับค่าเครื่องประดับนั้นเสียเองมาแล้ว หม่อมฉันจะน้อมเข้าในปัจจัยไหน ในปัจจัย ๔ พระเจ้าข้า ?”

    พระศาสดา ตรัสว่า

    “เธอควรจะทำที่อยู่เพื่อสงฆ์ ใกล้ประตูด้านปราจีนทิศเถิด วิสาขา”

    นางวิสาขา ทูลรับว่า “สมควรพระเจ้าข้า” มีใจเบิกบาน จึงเอาทรัพย์ ๙ โกฏิที่เป็นค่าเครื่องประดับนั้นซื้อเฉพาะที่ดิน

    นางเริ่มสร้างวิหารด้วยทรัพย์ ๙ โกฏิด้วยทรัพย์ของตนอีกต่างหาก


    ๐ การสร้างวิหารของนางวิสาขา ๙ เดือนแล้วเสร็จ

    ต่อมาวันหนึ่ง พระศาสดา ทรงตรวจดูสัตวโลกในเวลาใกล้รุ่งได้ทอดพระเนตรเห็นอุปนิสัยสมบัติของเศรษฐีบุตรนามว่า ภัททิยะผู้จุติจากเทวโลกแล้วเกิดในตระกูลเศรษฐีในภัททิยนคร ทรงทำภัตกิจในเรือนของอนาถบิณฑิตเศรษฐีแล้ว ก็เสด็จบ่ายพระพักตร์ไปยังประตูด้านทิศอุดร

    ตามปกติ พระศาสดาทรงรับภิกษุในเรือนของนางวิสาขาแล้ว ก็เสด็จออกจากประตูทักษิณ ประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงรับภิกษาในเรือนของอนาถบิณฑิกเศรษฐีแล้ว ก็เสด็จออกทางประตูด้านปราจีนประทับอยู่ในบุพพาราม

    ชนทั้งหลายเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จดำเนินมุ่งตรงประตูด้านทิศอุดรแล้ว ย่อมรู้ได้ว่า “จักเสด็จหลีกไปสู่ที่จาริก”

    ในวันนั้น พอนางวิสาขาทราบว่า “พระศาสดา เสด็จดำเนินบ่ายพระพักตร์ไปทางประตูด้านทิศอุดร” จึงรีบไป ถวายบังคมแล้วทราบทูลว่า “ทรงประสงค์จะเสด็จดำเนินไปสู่ที่จาริกหรือ พระเจ้าข้า ?”

    พระศาสดา : อย่างนั้น วิสาขา

    วิสาขา : พระเจ้าข้า หม่อมฉันบริจาคทรัพย์จำนวนเท่านี้ ให้สร้างวิหารถวายแด่พระองค์ โปรดเสด็จกลับเถิด พระเจ้าข้า

    พระศาสดา : นี้ เป็นการไป ยังไม่กลับ วิสาขา

    นางวิสาขานั้น คิดว่า “พระผู้มีพระภาคเจ้า จะทรงเห็นใครๆ ผู้สมบูรณ์ด้วยเหตุ เป็นแน่” จึงกราบทูลว่า “ถ้ากระนั้น ขอพระองค์โปรดรับสั่งให้ภิกษุรูปหนึ่ง ผู้เข้าใจการงานของหม่อมฉัน กลับ แล้วจึงเสด็จจาริกเถิด พระเจ้าข้า”

    พระศาสดา : เธอพอใจภิกษุรูปใด จงรับบาตรของภิกษุรูปนั้นเถิด วิสาขา

    แม้นางจะพึงใจพระอานนทเถระก็จริง แต่คิดว่า

    “พระมหาโมคคัลลานเถระเป็นผู้มีฤทธิ์ การงานของเราจักพลันสำเร็จ ก็เพราะอาศัยพระเถระนั้น” ดังนี้แล้ว จึงรับบาตรของพระเถระไว้ พระเถระแลดูพระศาสดา พระศาสดาตรัสว่า

    “โมคคัลลานะ เธอจงพาภิกษุบริวารของเธอ ๕๐๐ รูป กลับเถิด”

    ท่านได้ทำตามพระดำรัสนั้นแล้ว ด้วยอานุภาพของท่าน พวกมนุษย์ผู้ไปเพื่อต้องการไม้และเพื่อต้องการหินระยะทางแม้ตั้ง ๕๐–๖๐ โยชน์ ก็ขนเอาไม้และหินมากมายมาทันในวันนั้นนั่นเอง แม้ยกไม้และหินใส่เกวียนก็ไม่ลำบากเลย เพลาเกวียนก็ไม่หัก

    ต่อกาลไม่นานนัก พวกเขาก็สร้างปราสาท ๒ ชั้นเสร็จ ปราสาทนั้นได้เป็นปราสาทประดับด้วยห้องพันห้อง คือชั้นล่าง ๕๐๐ ห้อง ชั้นบน ๕๐


    • Update : 17/4/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch