|
|
พระภัททกาปิลานีเถรี
พระภัททกาปิลานีเถรี
เอตทัคคะในทางผู้มีบุพเพนิวาสญาณ
พระภัททกาปิลานีเถรีผู้ได้รับการแต่งตั้งจากพระบรมศาสดาให้เป็นยอดของภิกษุณีทั้งหลายผู้มีบุพเพนิวาสญาณ ก็โดยเหตุ ๒ ประการ คือโดยเป็นผู้ยิ่งด้วยคุณ เพราะท่านแสดงให้ผู้อื่นเห็นเป็นอย่างชัดเจนในคุณข้อนี้ของท่าน และไม่เพียงเนื่องจากเหตุข้อนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นการแต่งตั้งโดยเหตุที่ท่านได้ตั้งความปรารถนาไว้ตลอดแสนกัป ตามเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดังต่อไปนี้
๐ ตั้งความปรารถนาไว้ในอดีต
ได้ยินว่า ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ นางบังเกิดในเรือนแห่งสกุล กรุงหังสวดี เมื่อเติบใหญ่แล้วได้เป็นภรรยาของวิเทหเศรษฐี วันหนึ่งนางได้ไปฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุณีรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวกภิกษุณีสาวิกาผู้มีบุพเพนิวาสญาณ จึงกระทำมหาทานกับพระศาสดาและภิกษุสงฆ์ แล้วตั้งความปรารถนาที่จะได้ตำแหน่งนั้นบ้างในสมัยของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคต จากนั้นท่านก็ได้กระทำบุญกุศลตลอดมา โดยเป็นการทำกุศลร่วมกับสามีของท่าน ท่านและสามีของท่านจึงได้เวียนว่ายตายเกิดมาเป็นสามีภรรยาร่วมกันโดยตลอด
ในส่วนของสามีของท่านคือ ท่านวิเทหเศรษฐี ในสมัยนั้นก็ได้กระทำมหาทานแล้วตั้งความปรารถนาที่จะได้ตำแหน่งเอตทัคคะผู้ถือธุดงค์เป็นวัตร รายละเอียดสามารถอ่านได้จากประวัติของท่านพระกัสสปมหาเถระ
๐ จัดทำเครื่องบูชาพระมหาเจดีย์
แห่งพระปทุมุตตระพุทธเจ้า
เมื่อพระปทุมุตตระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว เศรษฐีนั้นเชิญญาติและมิตรมาประชุมแล้วได้สร้างพระสถูปสำเร็จด้วยรัตนะ สูง ๗ โยชน์ งดงามเหมือนดวงอาทิตย์ และต้นพญารังที่มีดอกบาน เพื่อสักการะบูชาพระศาสดา
ส่วนท่านผู้เป็นภรรยาของท่านเศรษฐีก็จัดเครื่องบูชา และตกแต่งพระมหาเจดีย์นั้น โดยได้ให้ช่าง ๗ คนเอารัตนะ ๗ อย่างทำตะเกียง ๗ แสนดวง แล้วเอาน้ำมันหอมใส่เต็มทุกถ้วย ตามประทีปไว้ ณ ที่นั้น ลุกโพลงงดงาม เพื่อบูชาพระศาสดา
ท่านให้ช่างทำหม้อ ๗ แสนหม้อ เต็มด้วยรัตนะต่างๆ มีพวงทองตั้งไว้ในระหว่างหม้อ ๘ ใบ รุ่งเรืองด้วยสีเหมือนดวงอาทิตย์ในสารทสมัย เพื่อบูชาพระศาสดาผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
ที่ประตูทั้ง ๔ มีเสาระเนียดสำเร็จ ด้วยรัตนะ มีแท่นมากสำเร็จด้วยรัตนะตั้งไว้งดงามน่ายินดี ทั้งมีคู ปลูกพรรณดอกไม้น้ำเป็นระเบียบดี และมีธงรัตนะยกขึ้นไว้ ล้วน แต่งามไพโรจน์
พระเจดีย์ที่สำเร็จด้วยรัตนะนั้นๆ สร้างไว้มีสีสุกงามดี รุ่งโรจน์ด้วยสีเหมือนดวงอาทิตย์ที่มีรัศมีงาม พระสถูปของท่านมี ๓ ด้าน ด้านหนึ่งท่านบรรจุเต็มไปด้วยหรดาล ด้านหนึ่ง ท่านบรรจุเต็มไปด้วยมโนศิลา ด้านหนึ่งท่านบรรจุเต็มไปด้วยแร่พลวง ท่านให้ช่างสร้างเครื่องบูชาที่น่ายินดีเช่นนี้แล้ว ได้ถวายทาน แก่พระสงฆ์ผู้กล่าวธรรมอันประเสริฐตามกำลัง ตลอดชั่วชีวิต
ท่านกับเศรษฐีนั้นทำการบูชาเหล่านั้นโดยประการทั้งปวงจนตลอดชีวิต แล้ว ได้ไปสู่สุคติภพพร้อมกัน เสวยสมบัติทั้งหลายในเทวดาและมนุษย์ ท่องเที่ยวไปกับเศรษฐีนั้น เสมือนเงาติดตามไปกับตัว ฉะนั้น
๐ เอกสาฏกพราหมณ์
นับแต่นั้น ท่านทั้งสองได้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสุคติภูมิทั้งทั้งในภูมิเทวดาและมนุษย์ภูมิ จนในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ ในสมัยของพระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทรงประทับอยู่ในมฤคทายวัน กรุงพันธุมดี เศรษฐีนั้นก็จุติจากเทวโลกไปเกิดในตระกูลพราหมณ์เก่าแก่ตระกูลหนึ่ง ส่วนนางก็มาเกิดเป็นนางพราหมณีผู้เป็นภรรยา
พราหมณ์ และ พราหมณีนั้น มีผ้านุ่งอยู่เพียงผืนเดียวเท่านั้น คนทั้งหลายจึงเรียกพราหมณ์นั้นว่า เอกสาฏกพราหมณ์ เมื่อเหล่าพราหมณ์มีการประชุมกันด้วยกิจบางอย่าง พราหมณ์ก็ต้องให้นางพราหมณีอยู่บ้าน ตนเองไปประชุมกับเหล่าพราหมณ์ เมื่อถึงคราวพวกพราหมณีประชุมกัน ตัวพราหมณ์เองก็ต้องอยู่บ้าน นางพราหมณีจะห่มผ้านั้นไปประชุม
๐ พระวิปัสสีพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม
ในสมัยพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามวิปัสสีนั้น พระพุทธองค์จะทรงแสดงพระธรรมเทศนาทุกๆ ๗ ปี ในปีนั้น ซึ่งเป็นเวลาถึงกำหนดที่พระพุทธองค์จะทรงแสดงพระธรรมเทศนา ก็ได้มีความโกลาหลขึ้นอย่างใหญ่หลวง เทวดาทั้งหลายทั่วชมพูทวีป ได้บอกแก่เอกสาฏกพราหมณ์นั้นว่า พระศาสดาจะทรงแสดงธรรมในวันนี้ พราหมณ์ได้ทราบข่าวนั้น ก็พูดกะนางพราหมณีว่า
แม่มหาจำเริญ เธอจักฟังธรรมกลางคืนหรือกลางวัน
นางพราหมณีพูดว่า พวกฉันชื่อว่าเป็นหญิงแม่บ้าน ไม่อาจฟังกลางคืนได้ขอฟังกลางวันเถิด
แล้วให้พราหมณ์อยู่เฝ้าบ้าน ส่วนตนเองนั้นก็ห่มผ้าซึ่งมีอยู่เพียงผืนเดียวไปฟังธรรมในตอนกลางวันพร้อมกับพวกอุบาสิกา ครั้นเมื่อฟังธรรมแล้ว ก็กลับมาพร้อมกับพวกอุบาสิกา ครั้นถึงเวลาค่ำพราหมณ์ ได้ให้นางพราหมณีอยู่บ้าน ตนเองก็ห่มผ้านั้นไปฟังพระธรรมเทศนายังพระวิหาร เวลานั้นสมเด็จพระบรมศาสดาประทับนั่งบนธรรมาสน์ที่เขาตกแต่งไว้ท่ามกลางพุทธบริษัท ทรงแสดงธรรมกถาอันวิจิตร เมื่อพราหมณ์นั่งฟังธรรมอยู่ท้ายเหล่าพุทธบริษัท ก็บังเกิดปิติ ขึ้นทั่วทั้งร่างในเวลาปฐมยามนั่นเอง พราหมณ์นั้นจึงดึงผ้าที่ตนห่มออกมาคิดว่า จะถวายผ้าที่ตนห่มนั้นแด่พระทศพล
ในเวลาเดียวกันนั้นความหวงแหนในผ้าห่มซึ่งตนมีเพียงผืนเดียวก็บังเกิดขึ้นแก่พราหมณ์นั้น และคิดว่า พราหมณีกับเรามีผ้าห่มผืนเดียวเท่านั้น ผ้าห่ม ผืนอื่นใดๆ เราก็ไม่มี และถ้าไม่มีผ้าห่มก็ออกไปข้างนอกไม่ได้ พราหมณ์นั้นจึงตกลงใจไม่ต้องการถวายโดยประการทั้งปวง ครั้นเมื่อปฐมยามผ่านไป พราหมณ์ก็เกิดปีติเหมือนอย่างที่เกิดเมื่อช่วงปฐมยามขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งในช่วงมัชฌิมยาม พราหมณ์คิดเหมือนอย่างนั้น แล้วไม่ได้ถวายเหมือนเช่นนั้นอีก ครั้นเมื่อมัชฌิมยามล่วงไป ปีติเหมือนอย่างนั้นนั่นแหละ ก็เกิดขึ้นแก่พราหมณ์อีกเป็นครั้งที่สามในช่วงปัจฉิมยาม พราหมณ์นั้นตัดสินใจว่า เป็นไรเป็นกัน ค่อยรู้กันทีหลัง คิดดังนั้นแล้วก็ดึงผ้าห่มมาวางแทบพระบาทพระบรมศาสดา ปรบมือขึ้น ๓ ครั้งแล้ว และร้องว่า ชิตํ เม, ชิตํ เม, ชิตํ เม (เราชนะแล้วๆ ๆ)
เวลานั้น พระเจ้าพันธุมราชประทับนั่งสดับธรรมอยู่ภายในม่านหลังธรรมาสน์ ได้ทรงสดับดังนั้น จึงส่งราชบุรุษให้ไปถามพราหมณ์นั้นว่า เขาพูดทำไม เมื่อราชบุรุษไปถาม พราหมณ์จึงกล่าวว่า คนอื่นนอกจากข้าพเจ้า เมื่อจะเอาชัยชนะต่อกองทัพข้าศึก จะต้องขึ้นพาหนะ เช่นช้างเป็นต้น ถือโล่หนัง และดาบเป็นอาวุธ เข้าต่อกรกับข้าศึกจึงจะได้ชัยชนะ แต่ชัยชนะเช่นนั้นไม่น่าอัศจรรย์ ส่วนตัวเราได้ทำลายจิตตระหนี่แล้ว ถวายผ้าที่ห่มอยู่แด่พระทศพล ชัยชนะของเรานั้นจึงน่าอัศจรรย์
ราชบุรุษจึงไปกราบทูลเรื่องราวนั้นแด่พระราชา พระราชารับสั่งว่า พวกเราไม่รู้สิ่งที่สมควรแก่พระทศพล แต่พราหมณ์นั้นรู้ จึงทรงรับสั่งให้ส่งผ้าสำรับหนึ่ง คือผ้านุ่งกับผ้าห่ม ไปพระราชทาน พราหมณ์เห็นผ้าคู่นั้นแล้วคิดว่า ถ้าเรามิได้กระทำอะไรพระราชาก็คงไม่พระราชทานอะไรให้แก่เรา เป็นเพราะเรากล่าวคุณทั้งหลายของพระบรมศาสดาหรอก ท่านจึงได้พระราชทาน ดังนั้นจะมีประโยชน์อะไรแก่เรากับรางวัลที่ได้รับโดยอาศัยพระคุณของพระบรมศาสดา คิดดังนั้นจึงได้ถวายผ้าสำรับนั้นแด่พระทศพลเสียเลย
พระราชา ตรัสถามว่า พราหมณ์ทำอย่างไร ทรงสดับว่า พราหมณ์ถวายผ้าสำรับนั้นนั้นแด่พระตถาคต จึงรับสั่งให้ส่งผ้าคู่ ๒ สำรับพระราชทานไปอีก พราหมณ์นั้นได้ถวายผ้าคู่ ๒ สำรับนั้นแด่พระศาสดา พระราชาก็ทรงส่งผ้าคู่ ๔ สำรับไปพระราชทานอีก พราหมณืก็นำผ้าที่ได้รับถวายพระศาสดาอีกเช่นเดิม ทำเช่นนี้จนกระทั่งพระราชาทรงส่งผ้าไปพระราชทาน ถึง ๓๒ สำรับ พราหมณ์จึงคิดว่า การทำดังนี้ เป็นเหมือนตั้งใจจะให้พระราชทานเพิ่มขึ้นแล้วจึงจะรับเอา จึงถือเอาผ้า ๒ สำรับ คือ เพื่อตนเองสำรับ ๑ เพื่อนางพราหมณีสำรับ ๑ แล้วถวายพระทศพล ๓๐ สำรับ แต่นั้นมาพราหมณ์ก็ได้เป็นผู้คุ้นเคยกับพระบรมศาสดา
ครั้นวันหนึ่งพระราชาทรงสดับธรรมในสำนักของพระบรมศาสดาในฤดูหนาว ได้พระราชทานผ้ากัมพลแดงสำหรับห่ม ส่วนพระองค์มีมูลค่าพันหนึ่งแก่พราหมณ์ แล้วรับสั่งว่า นับแต่นี้ไป ท่านจงห่มผ้ากัมพลแดงผืนนี้ฟังธรรมเถิด พราหมณ์นั้นคิดว่า ผ้ากัมพลแดงนี้จะมีประโยชน์อะไรกับกายอันโสโครก เปื่อยเน่าของเรานี้ จึงได้ถวายทำเป็นเพดานเหนือเตียงของพระตถาคตภายในพระคันธกุฎี
อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาเสด็จไปพระวิหารแต่เช้าตรู่ ประทับนั่งในที่ใกล้พระบรมศาสดาในพระคันธกุฏี ในขณะนั้น พระพุทธรัศมีมีพรรณ ๖ ประการ ส่องไปกระทบที่ผ้ากัมพล สีแดงของผ้ากัมพลก็บรรเจิดจ้าขึ้น พระราชาทอดพระเนตรเห็นก็จำได้จึงกราบทูลพระศาสดาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ผ้ากัมพลผืนนี้ของข้าพระองค์ๆ ให้เอกสาฏกพราหมณ์ พระทศพลทรงตรัสว่ามหาบพิตร พระองค์พระราชทานเพื่อบูชาพราหมณ์ พราหมณ์ถวายเพื่อบูชาอาตมภาพ พระราชาทรงเลื่อมใสว่า พราหมณ์รู้สิ่งที่เหมาะที่ควร พระองค์เองกลับไม่รู้ จึงพระราชทานสิ่งที่เป็นของเกื้อกูลแก่มนุษย์ทุกอย่าง ๆ ละ ๘ ชนิด ๘ ครั้ง ให้เป็นของประทานชื่อว่า สัพพัฏฐกทาน แล้วทรงตั้งให้เป็นปุโรหิต พราหมณ์นั้นคิดว่า ชื่อว่าของ ๘ ชนิด ๘ ครั้ง ก็เป็น ๖๔ ชนิด จึงตั้งสลากภัต ๖๔ ที่ ถวายแด่พระสงฆ์ แล้วให้ทาน รักษาศีลตลอดชีวิต จุติจากชาตินั้นไปเกิดในสวรรค์
๐ เกิดในระหว่างกาลของพระโกนาคมน์พุทธเจ้า
และพระกัสสปทศพลพุทธเจ้า
ในสมัยนั้นนางได้จุติจากสวรรค์มาเกิดเป็นภรรยาของกฏุมพี ในกรุงพาราณสี ในระหว่างกาลของพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าโกนาคมน์ และพระกัสสปทศพลในกัปนี้ อยู่มาวันหนึ่ง กฏุมพีนั้นระหว่างที่เดินเที่ยวพักผ่อนไปในป่า.ก็พบพระปัจเจกพุทธเจ้าทรงกระทำจีวรกรรม (คือการเย็บจีวร) อยู่ที่ริมแม่น้ำ แต่ผ้าอนุวาต (ผ้าแผ่นบางๆ ที่เย็บเป็นขอบสบงจีวรและสังฆาฎิ) มีไม่พอจึงทรงเริ่มจะพับเก็บ เขาเห็นเข้าจึงกล่าวถามพระปัจเจกพุทธเจ้าว่า เพราะอะไรจึงจะพับเก็บเสียเล่า เจ้าข้า พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่า ผ้าอนุวาตไม่พอ เขากล่าวว่า โปรดเอาผ้าสาฏกนี้ทำเถิดเจ้าข้า เขาถวายผ้าสาฏกแล้ว ตั้งความปรารถนาว่า ขอความเสื่อมใดๆ ขอจงอย่าได้มี ในที่ที่ข้าพเจ้าได้เกิดเถิด
ต่อมาพระปัจเจกพุทธเจ้า เสด็จเข้าไปบิณฑบาต ณ ยังเรือนของกฏุมพีนั้น ในตอนนั้น นางและน้องสาวของเขากำลังทะเลาะกัน เมื่อน้องสาวของเขาถวายบิณฑบาตแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ก็กล่าวพาดพิงถึงพี่สะใภ้ว่า ขอให้เราจงห่างไกลหญิงพาลเช่นนี้ร้อยโยชน์ นางที่กำลังยืนอยู่ที่ลานบ้านได้ยินเข้าจึงคิดว่า พระรูปนี้จงอย่าได้ฉันอาหารที่นางคนนี้ถวาย จึงจับบาตรพระปัจเจกพุทธเจ้ามาเทบิณฑบาตทิ้งแล้วเอาเปือกตมมาใส่จนเต็ม น้องสาวเขาเห็นพี่สะไภ้ทำเช่นนั้นจึงกล่าวว่า หญิงพาล เจ้าจงด่าจงบริภาษเราก่อนเถิด การเทภัตตาหารจากบาตรของท่านผู้ได้บำเพ็ญบารมีมา ๒ อสงไขยเช่นนี้ แล้วใส่เปือกตมให้ นั้นเป็นการไม่สมควรเลย
นางครั้นได้ฟังก็เกิดความสำนึกขึ้นได้ จึงกล่าวว่า โปรดหยุดก่อนเจ้าข้า แล้วเทเปือกตมออก ล้างบาตรแล้วชะโลมด้วยผงเครื่องหอม แล้วได้ใส่ของมีรสอร่อย ๔ อย่างเต็มบาตร แล้ววางถวายบาตรลงในมือของพระปัจเจกพุทธเจ้า ตั้งความปรารถนาว่า สรีระของเราจงผุดผ่องเหมือนบิณฑบาตอันผุดผ่องนี้เถิด พระปัจเจกพุทธเจ้าอนุโมทนาแล้วเหาะขึ้นสู่อากาศ
๐ เกิดในสมัยพระกัสสปทศพลพุทธเจ้า
ผัวเมียแม้ทั้งสองนั้นเมื่อครบชั่วอายุขัยแล้ว ตายลงก็ไปเกิดบนสวรรค์ จุติจากสวรรค์นั้นอีกครั้ง กฏุมพีเกิดเป็นบุตรเศรษฐีมีสมบัติ ๘๐ โกฏิในกรุงพาราณสี ในครั้งพระกัสสปทศพลสัมมาสัมพุทธเจ้า ฝ่ายนางเกิดเป็นธิดาของเศรษฐีเหมือนกัน เมื่อเขาเจริญวัย พวกญาติก็นำธิดาของเศรษฐีนั้นมายังเรือนบุตรเศรษฐีหมายจะตกแต่งเป็นภรรยาแก่บุตรเศรษฐี
ด้วยอานุภาพของกรรมซึ่งได้กระทำไว้แก่พระปัจเจกพุทธเจ้าในชาติก่อน พอนางถูกส่งตัวเข้าไปยังตระกูลของสามี ทั่วทั้งสรีระก็เกิดกลิ่นเหม็นเหมือนส้วมที่เขาเปิดไว้ ตั้งแต่ย่างเข้าไปภายในธรณีประตู เศรษฐีกุมารถามว่า กลิ่นเหม็นนี้เป็นของใคร ครั้นได้ฟังว่าเป็นกลิ่นของลูกสาวเศรษฐี จึงให้นำส่งนางกลับไปเรือนตระกูล ธิดาเศรษฐีถูกส่งกลับไปกลับมาในทำนองนี้ถึง ๗ ครั้ง
ครั้นเมื่อพระกัสสปทศพลเสด็จปรินิพพานแล้ว พุทธศาสนิกชนเริ่มก่อพระเจดีย์สูงโยชน์หนึ่งด้วยอิฐทอง ทั้งหนาทั้งแน่น มีราคาก้อนละหนึ่งแสน เมื่อเขากำลังสร้างพระเจดีย์กันอยู่ ธิดาเศรษฐีคนนั้นคิดว่า เราต้องถูกส่งกลับถึง ๗ ครั้งแล้ว ชีวิตของเราจะมีประโยชน์อะไร จึงให้ยุบสิ่งของเครื่องประดับตัว แล้วนำไปทำอิฐทอง ยาวศอก กว้างคืบ สูง ๔ นิ้ว และถือก้อนหรดาลและมโนศิลา เก็บเอาดอกบัว ๘ กำ ไปยังสถานที่ที่สร้างพระเจดีย์ ขณะนั้นก้อนอิฐแถวหนึ่งที่กำลังก่อมาต่อกันนั้นเกิดขาดอิฐแผ่นต่อเชื่อม
นางจึงพูดกับช่างว่า ท่านจงวางอิฐก้อนนี้ลงตรงนี้เถิด นายช่างกล่าวว่า นางผู้เจริญ ท่านมาได้เวลาพอดี ขอท่านจงวางเองเถิด นางจึงขึ้นไปเอาน้ำมันผสมกับหรดาลและมโนสิลา วางอิฐติดอยู่ได้ด้วยเครื่องยึดนั้น แล้วบูชาด้วยดอกอุบล ๘ กำมือไว้ข้างบนอิฐทองนั้น นางยกมือไหว้แล้วตั้งความปรารถนาว่า ในที่ที่เราเกิด ขอจงมีกลิ่นจันทน์ฟุ้งออกจากตัว กลิ่นอุบลจงฟุ้งออกจากปาก แล้วไหว้พระเจดีย์ ทำประทักษิณรอบพระเจดีย์แล้วกลับไป
ครั้นแล้วในขณะนั้นเอง เศรษฐีบุตรก็เกิดระลึกถึงเศรษฐีธิดาที่เขานำมาที่เรือนครั้งแรก ในพระนครเวลานั้นก็มีงานนักขัตฤกษ์เสียงกึกก้อง เขาจึงพูดกับคนรับใช้ว่า คราวนั้น เจ้านำธิดาเศรษฐีมายังเรือนนี้ นางนั้นอยู่ที่ไหน คนรับใช้กล่าวว่าอยู่ที่เรือนตระกูลของนางขอรับ นายท่าน เศรษฐีบุตรกล่าวว่า พวกเจ้าจงพามา เราจักเล่นนักขัตฤกษ์กับนาง พวกคนรับใช้ของบุตรเศรษฐีจึงไปยังเรือนตระกูลของนาง ไปไหว้นางแล้วยืนอยู่ นางจึงถามว่า ท่านทั้งหลายมาทำไมกัน พวกคนรับใช้ของบุตรเศรษฐีจึงบอกเรื่องราวที่มานั้น
นางกล่าวว่า ท่านทั้งหลาย เราเอาเครื่องอาภรณ์บูชาพระเจดีย์เสียแล้ว เราไม่มีเครื่องอาภรณ์ คนรับใช้เหล่านั้นจึงไปบอกแก่บุตรเศรษฐีๆ จึงกล่าวว่า จงนำนางมาเถิด เราจะให้เครื่องประดับนั้นแก่นาง พวกคนรับใช้จึงไปนำนางมา กลิ่นจันทน์และกลิ่นอุบลขาบฟุ้งไปทั่วเรือน พร้อมกับที่นางเข้าไปในเรือน บุตรเศรษฐีจึงถามนางว่า ครั้งแรกมีกลิ่นเหม็นฟุ้งออกจากตัวเธอ แต่บัดนี้ กลิ่นจันทน์ฟุ้งออกจากตัว กลิ่นอุบลฟุ้งออกจากปากของเธอ นี่อะไรกัน ธิดาเศรษฐีจึงเล่ากรรมที่ตนกระทำตั้งแต่ต้น บุตรเศรษฐีเลื่อมใสว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นนิยยานิกธรรมหนอ จึงเอาเครื่องปกคลุมที่ทำด้วยผ้ากัมพล ยาวประมาณโยชน์หนึ่งหุ้มพระเจดีย์ทองเป็นพุทธบูชา แล้วเอาดอกประทุมทองขนาดใหญ่เท่าล้อรถประดับที่พระเจดีย์ทองนั้น ดอกประทุมทองที่แขวนห้อยไว้มีขนาด ๑๒ ศอก บุตรเศรษฐีนั้นครั้นอยู่จนสิ้นอายุในมนุษยโลกแล้วก็ไปเกิดในสวรรค์
๐ กำเนิดเป็นพระราชธิดาองค์ใหญ่ ในราชตระกูล
จุติจากสวรรค์นั้น บุตรเศรษฐีมาบังเกิดในตระกูลอำมาตย์ตระกูลหนึ่ง ซึ่งพำนักอยู่ในที่ห่างจากกรุงพาราณสีประมาณโยชน์หนึ่ง ฝ่ายลูกสาวเศรษฐีจุติจากเทวโลกเกิดเป็นพระราชธิดาองค์ใหญ่ ในราชตระกูล
เมื่อคนทั้งสองนั้นเจริญวัย ในหมู่บ้านที่กุมารอยู่มีงานนักขัตฤกษ์ กุมารนั้นต้องการจะไปเที่ยวงานกล่าวกับมารดาว่า แม่จ๋า แม่จงให้ผ้าสาฎกฉัน ฉันจะห่มไปเล่นนักขัตฤกษ์ มารดาได้นำผ้าที่ใช้แล้วมาให้เขา เขาปฏิเสธว่า ผ้านี้หยาบไปจ้ะแม่ นางก็นำผ้าผืนอื่นมาให้ แต่ไม่ว่าจะนำผ้าผืนใดมา เขาก็ปฏิเสธว่าผ้านั้นหยาบไป มารดาจึงกล่าวกะเขาว่า ลูก เราเกิดในตระกูลเช่นนี้ พวกเราไม่มีบุญที่จะได้ผ้าเนื้อละเอียดกว่านี้หรอก เขากล่าวว่า แม่จ๋า ถ้าอย่างนั้น ฉันจะไปยังที่ที่จะได้ผ้าที่มีเนื้อละเอียดกว่านี้ มารดากล่าวว่า ลูกเอ๋ย แม่ปรารถนาให้เจ้าได้ราชสมบัติในกรุงพาราณสีวันนี้ทีเดียวน่ะ เขาไหว้มารดาแล้วกล่าวว่า ฉันไปละแม่ มารดาว่า ไปเถอะลูก นัยว่ามารดาของเขามีความคิดว่า มันจะไปไหนเสีย คงจะนั่งที่นี่ ที่นั่นอยู่ในเรือนหลังนี้แหละ
กุมารนั้นก็ออกไปตามเหตุแห่งกรรมที่กำหนดไว้ จนถึงกรุงพาราณสี แล้วเข้าไปนอนคลุมศีรษะอยู่บนแผ่นมงคลศิลาอาสน์ ในพระราชอุทยานของพระเจ้าพาราณสี ในวันนั้นเป็นวันที่พระเจ้าพาราณสีสวรรคตแล้วเป็นวันที่ ๗ เหล่าอำมาตย์ทั้งหลายเมื่อทำการถวายพระเพลิงพระศพแล้ว ก็นั่งปรึกษากันอยู่ที่พระลานหลวง ปรารภว่าว่า พระราชามีแต่พระธิดา ไม่มีพระราชโอรส ราชสมบัติไม่มีพระราชาปกครองเป็นเรื่องไม่สมควร ใครสมควรจะได้เป็นพระราชา
เหล่าอำมาตย์ต่างก็ออกความเห็นว่า ท่านโน้นควรเป็น ท่านนี้ควรเป็น ปุโรหิตกล่าวว่า ไม่ควรเลือกมาก เอาเถอะ พวกเราจะบวงสรวงเทวดาแล้วเสี่ยงราชรถไปเพื่อหาผู้ที่สมควรจะครองราชย์ อำมาตย์เหล่านั้นจึงจัดแจงเทียมม้า ๔ ตัว แล้วตั้งเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ๕ อย่าง กับเศวตรฉัตรไว้บนรถแล้วปล่อยราชรถนั้นไป แล้วให้ประโคมดนตรีตามไปข้างหลัง ม้านำราชรถออกทางประตูด้านทิศปราจีน บ่ายหน้าไปทางพระราชอุทยาน
อำมาตย์บางพวกกล่าวว่า รถบ่ายหน้าไปทางพระราชอุทยาน เพราะม้ามีความคุ้นเคยกับอุทยาน พวกท่านจงให้กลับมา ปุโรหิตกล่าวว่า อย่าให้กลับ ม้านำราชรถไปยังแท่นที่กุมารนอนอยู่ กระทำประทักษิณแก่กุมารแล้วจึงได้หยุดราวกับเตรียมพร้อมที่จะให้ขึ้น ปุโรหิตจึงเดินเข้าไปเลิกชายผ้าห่มด้านเท้าของกุมารที่นอนหลับอยู่เพื่อตรวจดูพื้นเท้าของกุมาร ครั้นตรวจดูแล้วจึงกล่าวว่า ไม่เพียงแค่ชมพูทวีปนี้ทวีปเดียว แต่ท่านผู้นี้สมควรได้ครองราชย์ในทวีปทั้ง ๔ มีทวีปสองพันเป็นบริวาร แล้วสั่งให้ประโคมดนตรีขึ้น ๓ ครั้ง
๐ อำมาตย์ถวายราชสมบัติ
เมื่อกุมารนั้นได้ยินเสียงประโคมดนตรีจึงตื่นขึ้น แล้วเปิดผ้าที่คลุมหน้าขึ้นมองดูเหล่าอำมาตย์ที่มาห้อมล้อมอยู่แล้วพูดว่า ท่านทั้งหลาย พวกท่านมาด้วยกิจกการอะไรกัน พวกอำมาตย์ทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ เหล่าข้าพระองค์ขอถวายราชสมบัติแก่พระองค์ กุมารถามขึ้นว่า แล้วพระราชาของพวกท่านไปไหนเสียเล่า ? อำมาตย์ตอบว่า ได้เสด็จทิวงคตเสียเมื่อ ๗ วันที่แล้ว กุมารถามต่อไปว่า พระราชโอรสหรือพระราชธิดาของท่านไม่มีหรือ ? อำมาตย์ ข้าแต่สมมติเทพ พระราชธิดามี พระราชโอรสไม่มี กุมารรับว่า ถ้าเป็นเช่นนั้น เราจักครองราชย์ เหล่าอำมาตย์ได้ยินรับสั่งเช่นนั้น จึงสั่งให้สร้างมณฑปสำหรับอภิเศกในขณะนั้นทันที แล้วประดับพระราชธิดาด้วยเครื่องอลังการทุกอย่างนำมายังพระราชอุทยานทำการอภิเษกกับกุมาร.
เมื่อพระกุมารทำการอภิเษกแล้ว ประชาชนนำผ้ามีราคาแสนหนึ่งมาถวาย
พระกุมารกล่าวว่า นี้อะไรท่าน
พวกอำมาตย์ทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ผ้านุ่งพระเจ้าข้า
พระกุมาร ผ้านี้เนื้อหยาบไป มีผ้าอื่นที่เนื้อละเอียดกว่านี้หรือไม่ ?
อำมาตย์ ข้าแต่สมมติเทพ ในบรรดาผ้าที่มนุษย์ทั้งหลายใช้สอย ผ้าที่เนื้อละเอียดกว่านี้ไม่มี พระเจ้าข้า
พระกุมารกล่าวว่า พระราชาของพวกท่านทรงผ้านุ่งเช่นนี้หรือ ?
อำมาตย์ พระเจ้าข้า ข้าแต่สมมติเทพ พระกุมาร พระราชาของพวกท่านคงจะไม่มีบุญ พวกท่านจงนำพระเต้าทองมา เราจะทำให้ได้ผ้า อำมาตย์เหล่านั้นนำพระเต้าทองมาถวาย พระกุมารนั้นลุกขึ้นล้างพระหัตถ์ บ้วนพระโอฐ เอาพระหัตถ์วักน้ำสาดไปทางทิศตะวันออก ในขณะนั้นเอง ต้นกัลปพฤกษ์ก็ชำแรกแผ่นดินทึบผุดขึ้นมา ๘ ต้น ทรงวักน้ำสาดไปอีกทั่วทิศ ๓ ทิศอย่างนี้คือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศเหนือ ต้นกัลปพฤษ์ผุดขึ้นในทิศทั้ง ๔ ทิศละ ๘ ต้น รวมเป็น ๓๒ ต้น พระกุมารนั้นทรงปรารถนาผ้าทิพย์จากต้นกัลปพฤกษ์ ครั้นได้แล้วจึงทรงนุ่งผ้าทิพย์ผืนหนึ่ง ทรงห่มผืนหนึ่ง ดังนี้แล้วให้ยกฉัตรขึ้น ทรงประดับตกแต่งพระองค์ ทรงขึ้นช้างตัวประเสริฐเข้าพระนคร ขึ้นสู่ปราสาทเสวยมหาสมบัติ.
ครั้งกาลเวลาผ่านไป วันหนึ่งพระเทวีเห็นมหาสมบัติของพระราชาแล้ว ทรงปรารภแก่พระสวามีว่า ข้าแต่สมมติเทพ ในอดีตกาลพระองค์ได้ทรงศรัทธาต่อพระพุทธทั้งหลาย ได้ทรงกระทำกรรมดีไว้ในอดีต ในชาตินี้จึงทรงได้มหาสมบัติเช่นนี้ ในชาติปัจจุบันนี้ ยังไม่ทรงกระทำกุศลที่จะเป็นปัจจัยแก่อนาคต พระราชาตรัสว่า เราจักทำกุศลแก่ใคร เรายังไม่เห็นผู้มีศีล พระเทวีทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ชมพูทวีปไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลายดอก พระองค์โปรดทรงตระเตรียมทานไว้เท่านั้น หม่อมฉันจะอาราธนาพระอรหันต์ในวันรุ่งขึ้น
พระราชารับสั่งให้ตระเตรียมทานไว้ที่ประตูด้านทิศปราจีน พระเทวีทรงอธิษฐานองค์อุโบสถศีลแต่ตรู่ ทรงบ่ายหน้าไปทางทิศตะวันออกหมอบลงบนปราสาทชั้นบนแล้วกล่าวว่า ถ้าพระอรหันต์มีอยู่ในทิศนี้ พรุ่งนี้ขอนิมนต์มารับภิกษาหารของข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด ปรากฎว่าในทิศนั้นไม่มีพระอรหันต์มาปรากฏ พระนางก็ได้ให้แจกจ่ายสักการะที่เตรียมไว้นั้นแก่คนกำพร้า และยาจก ในวันรุ่งขึ้นทรงตระเตรียมทานไว้ทางประตูทิศใต้แล้วได้กระทำเหมือนอย่างนั้น ก็ไม่มีพระอรหันต์มาปรากฎในทิศนั้น ในวันรุ่งขึ้นทางประตูทิศตะวันตกก็เช่นเดียวกัน
๐ ถวายทานพระปัจเจกพุทธเจ้า
ในวันที่ทรงตระเตรียมไว้ทางประตูทิศเหนือ พระมหาปทุมปัจเจกพุทธเจ้าผู้เป็นพี่ชายของพระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์ ผู้เป็นโอรสของพระนางปทุมวดี อยู่ในป่าหิมพานต์ เรียกพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้เป็นน้องชายซึ่งถูกพระเทวีนิมนต์อย่างนั้นมาว่า ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย พระเจ้านันทราชนิมนต์ท่านทั้งหลาย ท่านจงรับนิมนต์ของท้าวเธอเถิด พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นรับนิมนต์แล้ว ในวันรุ่งขึ้นเมื่อล้างหน้าที่สระอโนดาดแล้วเหาะไปลงที่ประตูทางด้านทิศเหนือ
เหล่าชนมากราบทูลแก่พระราชาว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์ มาแล้วพระเจ้าข้า พระราชาเสด็จ ไปพร้อมกับพระเทวี ทรงไหว้แล้วรับบาตรนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายขึ้นสู่ปราสาท ถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น ในเวลาเสร็จภัตตกิจ พระราชาทรงหมอบที่ใกล้เท้าพระสังฆเถระ พระเทวีหมอบที่ใกล้เท้าพระสังฆนวกะ แล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย ข้าพเจ้าทั้งหลายขออาราธนาท่านทั้งหลาย จงให้ปฏิญญาเพื่ออยู่ในที่นี้จนตลอดอายุของข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด ครั้นท่านรับปฏิญญาแล้ว จึงให้ตกแต่งสถานที่สำหรับอยู่อาศัยแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นในพระอุทยาน คือ บรรณศาลา ๕๐๐ หลัง ที่จงกรม ๕๐๐ ที่ แล้วให้ท่านอยู่ในที่นั้นนั่นแล
๐ เหล่าพระปัจเจกพุทธเจ้าทรงปรินิพพาน
ครั้นกาลเวลาล่วงไป เมืองชายแดนของพระราชาก่อการกำเริบขึ้น พระองค์ทรงกล่าวแก่พระเทวีว่า พี่จะไประงับเหตุที่เมืองชายแดน เธออย่าละเลยพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย แล้วเสด็จออกไปจากพระนคร ในระหว่างที่พระองค์ยังไม่เสด็จกลับ พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายก็สิ้นอายุสังขาร.ในวันเดียวกัน
ในวันนั้น พระมหาปทุมปัจเจกพุทธเจ้า ทรงฌานตลอดราตรีทั้ง ๓ ยาม ในเวลาอรุณขึ้น ทรงยืนเหนี่ยวแผ่นกระดานสำหรับใช้เป็นที่ยึด แล้วทรงปรินิพพานด้วย อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ พระปัจเจกพุทธเจ้าที่เหลือทั้งหมด ก็ปรินิพพานในลักษณะเดียวกัน ในวันรุ่งขึ้น พระเทวีทรงให้ตกแต่งที่นั่งของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายด้วยดอกไม้ จุดเครื่องหอม นั่งคอยพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายมา
เมื่อไม่เห็นมาจึงส่งราชบุรุษไปดูว่าเกิดเหตุใดขึ้นกับพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ราชบุรุษนั้นไปเปิดประตูบรรณศาลาของพระมหาปทุมปัจเจกพุทธเจ้า ไม่พบท่านในบรรณศาลานั้น จึงไปยังที่จงกรม เห็นท่านยืนพิงแผ่นกระดานสำหรับยึด จึงไหว้ แล้วกล่าวว่า ได้เวลาแล้วเจ้าข้า
ราชบุรุษนั้นเห็นว่าท่านไม่ทรงตอบ จึงคิดว่าท่านหลับ จึงเดินไปเอามือลูบที่หลังเท้า จึงรู้ว่าท่านได้เสด็จปรินิพพานแล้ว เพราะเท้าทั้งสองเย็นและแข็ง จึงไปยังสำนักของพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์ที่ ๒ เมื่อรู้ว่าองค์ที่ ๒ ปรินิพพานแล้วเช่นกัน ก็ไปยังสำนักของพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์ที่ ๓ สุดท้ายก็รู้ว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าทุกองค์ปรินิพพานแล้ว
จึงไปกราบทูลว่า ข้าแต่พระเทวี พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายทรงปรินิพพานแล้ว พระเทวีทรงกรรแสงคร่ำครวญ เสด็จออกไปที่บรรณศาลานั้นพร้อมกับชาวเมือง รับสั่งให้เล่าสาธุกีฬา (การเล่นที่เกี่ยวกับเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) กระทำฌาปนกิจสรีระของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย แล้วเก็บธาตุสร้างพระเจดีย์ ไว้ ๐ พระราชาเสด็จกลับ
เมื่อพระราชาทรงปราบเมืองชายแดนให้สงบแล้วเสด็จกลับมา รับสั่งถามพระเทวีผู้เสด็จมาต้อนรับถึงพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย พระเทวีทูลว่า พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายปรินิพพานเสียแล้ว พระราชาทรงพระดำริ ว่า มรณะยังเกิดแก่บัณฑิตทั้งหลายเช่นนี้ พวกเราก็จะไม่พ้นไปเช่นกัน พระองค์จึงไม่เสด็จเข้าไปในพระนคร เสด็จเข้าไปยังพระราชอุทยานเลยทีเดียว รับสั่งให้เรียกพระโอรสองค์ใหญ่มาแล้วมอบราชสมบัติแก่พระโอรสนั้น แล้วทรงผนวชเป็นสมณะ ฝ่ายพระเทวีก็ทรงผนวชอยู่ในพระราชอุทยานนั้นเช่นกัน พระราชาและพระเทวีทั้งสองนั้น บำเพ็ญฌาน จนถึงอายุขัยจึงได้ตายแล้วไป บังเกิดในพรหมโลก
๐ กำเนิดเป็นนางภัททากาปิลานี
ในสมัยพระโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้านี้
ในระหว่างที่คนทั้งสองนั้นอยู่ในพรหมโลก พระศาสดาของเราทั้งหลายทรงอุบัติขึ้นในโลกประกาศพระธรรมจักรอันประเสริฐ เสด็จเข้าไปยังกรุงราชคฤห์โดยลำดับ เมื่อครั้งพระศาสดาประทับอยู่ในกรุงราชคฤห์นั้น ปิบผลิมาณพนี้ก็จุติมาบังเกิดในท้องภรรยาหลวงของกบิลพราหมณ์ ในหมู่บ้านของพวกพราหมณ์ชื่อมหาติตถะ ในนครมคธ
นางภัททากาปิลานี ก็มาเกิดในท้องของภรรยาหลวงของพราหมณ์ โกลิยโคตรนามว่ากปิละ มารดาชื่อสุจีมดี ในมัททชนบท ในสาคลนคร ในนครมคธเช่นกัน เมื่อท่านทั้งสองนั้นเติบโตขึ้นโดยลำดับ จนกระทั่งเมื่อนางภัททามีอายุได้ ๑๖ ปี และ ปิบผลิมาณพ มีอายุได้ ๒๐ ปี บิดามารดาได้เคี่ยวเข็ญให้ท่านแต่งงานเพื่อดำรงวงศ์ตระกูล แต่ปิบผลิมาณพก็ปฏิเสธเสียทุกครั้งโดยกล่าวว่า จะอยู่ปฏิบัติท่านทั้งสองตราบเท่าที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ต่อเมื่อท่านทั้งสองล่วงลับไปแล้ว ท่านจะบวช
ครั้นบิดามารดา เคี่ยวเข็ญหนักเข้า ปิบผลิมาณพคิดว่า เราจะทำให้มารดายอมจำนน จึงเอาทองคำสีสุกปลั่งพันลิ่ม ให้ช่างทองหล่อเป็นรูปหญิงคนหนึ่งแล้วจึงให้รูปหล่อหญิงนั้นนุ่งผ้าแดง ประดับด้วยดอกไม้และเครื่องประดับต่างๆ แล้วให้เรียกมารดามาพูดว่า คุณแม่ เมื่อลูกได้หญิงงามเช่นรูปหล่อนี้จึงจะแต่งงาน ถ้าไม่ได้จักไม่แต่ง
นางพราหมณีเป็นคนมีปัญญาจึงคิดว่า บุตรของเราเป็นผู้มีบุญ เมื่อทำบุญไว้ในอดีตคงจะไม่ทำคนเดียว คงมีหญิงผู้ทำบุญร่วมกับบุตรของเรานี้ เป็นแน่แท้ จึงให้เรียกพราหมณ์ ๘ คนมา แล้วให้ยกรูปทองคำ ขึ้นตั้งบนรถแล้วสั่งให้พารูปหล่อตระเวนไป ถ้าพบเห็นทาริกา งามดังรูปทองนี้ และเกิดในตระกูลที่เสมอกันกับนางพราหมณีโดยชาติ เสมอกันโดยโคตรและเสมอกันโดยโภคทรัพย์ ในที่ใด ก็จงให้รูปทองนี้แหละให้เป็นบรรณการแก่นางในที่นั้น
๐ เหล่าพราหมณ์เสาะหาหญิงงาม
พราหมณ์เหล่านั้นก็พารูปหล่อออกไปตระเวณ และคิดว่าจะไปที่ไหนกันดี จึงได้คิดว่า แคว้นมัททรัฐเป็นบ่อเกิดแห่งสตรี พวกเราควรจะไปมัททรัฐ จึงได้ ไปยังสาคลนครในมัททรัฐ
ในครั้งนั้น แม่นมของนางภัททากาปิลานี ให้นางภัททากาปิลานีอาบน้ำแต่งตัว แล้วให้นั่งเล่นอยู่ในห้อง ตนเองก็จะไปอาบน้ำที่ท่าน้ำ ในระหว่างเดินทางไปท่าน้ำนางเห็นรูปทองนั้น จึงพูดขู่ด้วยเข้าใจว่านางภัททากาปิลานีหลบออกมาเที่ยว และกล่าวว่า แน่ะแม่หัวดื้อ มาที่นี้ทำไม แล้วเงื้อฝ่ามือตีที่ข้างแก้มของรูปหุ่น พร้อมกับพูดว่า จงรีบกลับไป เมื่อมือกระทบรูปทองก็สะท้อนเหมือนตีหิน จึงตระหนักว่าเป็นหุ่นจึงพูดเลี่ยงไปว่า เราเห็นรูปทองเข้าก็เกิดความเข้าใจว่าธิดาแห่งแม่เจ้าของเรา ก็นางนี้ แม้จะให้เป็นผู้ถือผ้านุ่งของธิดาแห่งแม่เจ้าของเราก็ยังไม่เหมาะสม
พวกพราหมณ์เหล่านั้นพากันห้อมล้อมนางแล้วถามว่า ธิดาแห่งเจ้านายของท่าน งามเท่านี้ไหม ? หญิงแม่นมพูดว่า นางนี่น่ะหรือ ธิดาแห่งแม่เจ้าของเรางามยิ่งกว่านางนี้ร้อยเท่า พันเท่า เมื่อเธอนั่งอยู่ในห้องที่มืด ความมืดก็จะหมดไปด้วยแสงสว่างจากร่างของเธอนั้นแหละ พวกพราหมณ์จึงถือเครื่องบูชา ยกรูปทองคำขึ้นบนรถ แล้วไปยังบ้านของพราหมณ์โกสิยโคตร
๐ เหล่าผู้ถือจดหมายแปลงสารของปิบผลิมาณพ
และจดหมายของนางภัททากาปิลานี
พราหมณ์โกสิยโคตรกระทำปฏิสันถารแล้วถามเหตุของการมา ? ชนเหล่านั้นตอบตามเหตุที่ได้รับบัญชามา พราหมณ์โกสิยโคตรจึงยินดีด้วยเหตุว่า มีชาติ โคตร และทรัพย์สมบัติเสมอกัน และยินดีที่จะยกลูกสาวให้ แล้วก็รับเครื่องบรรณาการ ชนเหล่านั้นจึงส่งข่าวแก่กบิลพราหมณ์ว่า ได้เจ้าสาวแล้ว กบิลพราหมณ์ได้สดับข่าวนั้นแล้วจึงบอกแก่ปิบผลิมาณพ มาณพไม่มีความต้องการจะแต่งงาน จึงได้เขียนหนังสือถึงนางภัททากาปิลานี ว่าตนไม่ประสงค์จะแต่งงาน ประสงค์จะออกบวช และให้คนรับใช้นำไปส่งยังนางภัททาปิลานี
นางภัททากาปิลานีก็เช่นกัน เมื่อได้ฟังว่า บิดาจะยกเราให้แก่ปิบผลิมาณพ จึงได้เขียนหนังสือถึงปิบผลิมาณพว่าตนไม่ประสงค์จะแต่งงาน ประสงค์จะออกบวช และให้คนรับใช้นำไปส่งยังปิบผลิมาณพ ในระหว่างเดินทางผู้ถือหนังสือทั้งสองฉบับมาพบกันในระหว่างทาง จึงได้หยุดทักทายกัน
เมื่อคนรับใช้ของปิบผลิมาณพถูกฝ่ายนางภัททากาปิลานีถามว่าถือหนังสือของใครมา ก็ตอบว่าเป็นหนังสือของปิบผลิมาณพส่งให้นางภัททากาปิลานี และเมื่อคนรับใช้ของนางภัททากาปิลานีถูกฝ่ายปิบผลิมาณพถามว่าถือหนังสือของใครมา ก็กล่าวว่า เป็นหนังสือของนางภัททากาปิลานีส่งให้ปีบผลิมาณพ จึงพากันอ่านหนังสือทั้งสองฉบับ เมื่ออ่านแล้วจึงกล่าวว่า เป็นการกระทำของเด็กๆ แท้ ๆ แล้วฉีกหนังสือทั้งสองทิ้งไป แล้วเขียนขึ้นใหม่เป็นจดหมายอันแสดงความพอใจซึ่งกันและกัน และแยกย้ายกันไปส่งให้คนทั้งสองนั้น ดังนั้น คนทั้งสองนั้นก็ได้แต่งงานกัน
เมื่อแต่งงานกันแล้ว หนุ่มสาวทั้งสองก็ยังประพฤติพรหมจรรย์ โดยทั้งสองต่างก็เอาพวงดอกไม้พวงหนึ่งวางไว้ กลางที่นอน มาณพขึ้นที่นอนทางด้านขวา นางภัททากาปิลานีขึ้นที่นอนทางด้านซ้าย แล้วกล่าวว่า ดอกไม้ในด้านของคนใดเหี่ยว พวกเขาจะรู้ได้ว่า ราคจิตเกิดขึ้นแล้วแก่ผู้นั้น คนทั้งสองนั้นนอนไม่หลับตลอดทั้งราตรี เพราะกลัวจะถูกตัวของกันและกัน จนกระทั่งเช้า อนึ่งในเวลากลางวันก็ไม่มีแม้แต่การยิ้มหัว คนทั้งสองนั้นไม่เกี่ยวข้องด้วยเรื่องโลกามิส ไม่จัดการทรัพย์สมบัติตราบเท่าที่บิดามารดายังมีชีวิตอยู่
เมื่อบิดามารดากระทำกาลกิริยาไปแล้ว จึงจัดการทรัพย์สมบัติ โดยปิบผลิมาณพมีสมบัติ ๘๗ โกฎิ เพียงเฉพาะผงทองคำที่ใช้ขัดสีสรีระแล้วทิ้งไปวันหนึ่งๆ มีประมาณ ๑๒ ทะนาน มีเหมืองน้ำประมาณ ๖๐ แห่ง ติดเครื่องยนต์ มีเรือกสวนไร่นาที่ทำกินเนื้อที่ประมาณ ๑๒ โยชน์ มีหมู่บ้านทาส ๑๔ บ้าน ขนาดเท่าเมืองอนุราธบุรี มีหัตถานึกคือกองช้าง ๑๔ กอง มีอัสสานึกคือกองม้า ๑๔ กอง มีรถานึกคือกองรถ ๑๔ กอง
๐ คิดสละสมบัติแล้วออกบวช
วันหนึ่ง ปิบผลิมาณพขึ้นม้าพร้อมด้วยบริวารไปยังที่ทำงาน ยืนอยู่ปลายนา เห็นพวกนกมีกาเป็นต้น คุ้ยเขี่ยสัตว์มีไส้เดือนเป็นต้น จากรอยไถเอามากิน จึงถามว่า ท่านทั้งหลาย สัตว์เหล่านี้กินอะไร ? เหล่าบริวารตอบว่า นายท่าน มันกิน ไส้เดือน มาณพถามว่า บาปที่สัตว์เหล่านี้ทำตกอยู่แก่ใคร ? เหล่าบริวารตอบว่า นายท่าน บาปเป็นของท่าน มาณพคิดว่า ถ้าบาปที่สัตว์เหล่านี้กระทำตกเป็นของเราเช่นนี้ ทรัพย์ ๘๗ โกฎิ จะมีประโยชน์อันใด การงาน ๑๒ โยชน์ เหมืองน้ำติดเครื่องยนต์ ๖๐ แห่ง หมู่บ้านทาส ๑๔ แห่ง จะมีประโยชน์อันใด เราจะมอบทรัพย์สมบัติทั้งหมดนี้แก่ภัททากาปิลานี แล้วออกบวช.
ส่วนนางภัททากาปิลานีพร้อมกับเหล่าพวกแม่นมนั่งห้อมล้อมอยู่ นางให้หว่านเมล็ดงา ๓ หม้อ ลงในไร่ เห็นพวกกากินสัตว์ในเมล็ดงาจึงถามว่า ท่านทั้งหลาย สัตว์เหล่านี้กินอะไร ? พวกแม่นม ตอบว่า แม่เจ้า พวกมันกินสัตว์ นางถามว่า อกุศลจะเป็นของใคร ? พวกแม่นมตอบว่า เป็นของแม่เจ้า นางคิดว่า ก็ถ้าอกุศลนี้จะเป็นของเรา ชีวิตเราก็ต้องวนเวียนอยู่ในวัฎฎะตั้ง ๑,๐๐๐ ภพ เมื่อลูกเจ้าพอมาถึง เราจะมอบทรัพย์สมบัติทั้งหมดแก่ลูกเจ้านั้นแล้วออกบวช
มาณพ และนางภัททากาปิลานีเมื่อกลับมาแล้วก็อาบน้ำขึ้นปราสาท รับประทานอาหารแล้ว ปิบผลิมาณพกล่าวกะนางภัททากาปิลานี ว่าแม่ภัททากาปิลานี ทรัพย์ที่เธอนำเอามาเมื่อจะมาเรือนนี้จำนวนห้าหมื่นห้าพันเล่มเกวียนนั่น กับทรัพย์ของเรา ๘๗ โกฎิ ในเรือนนี้ และสมบัติอื่นๆ ทั้งหมด เราขอมอบแก่เธอ เราจะออกบวช นางภัททากาปิลานีจึงกล่าวว่า เราก็จะบวชเช่นกัน คนทั้งสองนั้นให้คนรับใช้นำผ้ากาสายะ และบาตรดินมาจากตลาด ต่างปลงผมให้กันและกัน แล้วสอดบาตรลงในถุงคล้องที่ไหล่ลงจากปราสาท บรรดาทาสหรือกรรมกรทั้งหลายในเรือนก็ไม่มีใครจำได้
ครั้งนั้น ชนหมู่บ้านทาส จำคนทั้งสองนั้นซึ่งกำลังเดินออกไปทางประตูบ้านทาสได้ ชนเหล่านั้นจึงร้องไห้แล้วหมอบลงที่เท้าของคนทั้งสองแล้วกล่าวว่า นายท่าน ท่านจะทำให้พวกข้าพเจ้าไร้ที่พึ่งหรือ คนทั้งสองกล่าวว่า พวกท่านเท่านั้น จงเป็นไท แก่ตัวแล้วเลี้ยงชีวิตอยู่เถิด เมื่อชาวบ้านทาสเหล่านั้นคร่ำครวญอยู่นั่นแหละ คนทั้งสองก็เดินหลีกไป พระเถระเดินไปข้างหน้าหันกลับมาแลดู พลางคิดว่าภัททากาปิลานีนี้ เป็นหญิง เดินมาข้างหลังเรา คนอื่นๆ จะคิดว่า เรานี้แม้บวชแล้วก็ไม่อาจแยกกัน เป็นการไม่สมควรดังนี้ และพิจารณาว่า ถ้ามีใครๆ คิดต่อเราในทางร้ายเช่นนี้ก็จะเป็นบาปเป็นโทษแก่คนเหล่านั้น เราควรที่จะแยกทางไปจากนางเสีย
๐ แยกกันเดินทางที่ทางสองแพร่ง
พระเถระเดินไปข้างหน้าเห็นทาง ๒ แพร่ง จึงได้หยุดอยู่ที่ปากทางนั้น ฝ่ายนางภัททากาปิลานีเมื่อเดินมาถึงแล้วจึงไหว้แล้วยืนอยู่ พระเถระจึงกล่าวกล่าวกับนางภัททากาปิลานีว่า ถ้ามีผู้เห็นสตรีเช่นเจ้าเดินมาข้างหลังเรา เขาจะคิดว่า เราทั้งสองนี้ถึงบวชแล้วก็ไม่อาจแยกกัน แล้วจะคิดต่อพวกเราในทางร้าย พวกเขาก็จะได้รับบาปรับโทษในอบาย ตรงนี้เป็นทาง ๒ แพร่งท่านจงถือเอาทางสายหนึ่ง ฉันจะไปทางอีกสายหนึ่ง นางภัททากาปิลานีดีด้วยแล้วนางจึงทำประทักษิณ ๓ ครั้ง ไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ในที่ทั้ง ๔ แห่ง (คือ ข้างหน้า ข้างหลัง ข้างซ้าย ข้างขวา) แล้วกล่าวว่า
ความสนิทสนมฐานมิตรซึ่งได้ทำไว้ตลอดกาลนานประมาณแสนกัปจะแตกในวันนี้ แล้วกล่าวว่าท่านมีชาติเบื้องขวา ทางขวาสมควรแก่ท่าน ฉันชื่อว่าเป็นมาตุคาม มีชาติเบื้องซ้าย ทางซ้ายสมควรแก่ฉัน แล้วเดินทางไปทางเบื้องซ้าย ในเวลาที่ท่านทั้งสองนั้นแยกทางกัน มหาปฐพีนี้ได้สะเทือนเลื่อนลั่น เหมือนจะพูดว่า เราสามารถรองรับเขาจักรวาล และเขาสิเนรุได้ แต่ไม่อาจรองรับคุณความดีทั้งสองของพวกท่านได้ ในอากาศมีเสียงเหมือนฟ้าผ่า ภูเขาจักรวาลก็โอนโน้มลง
ขณะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับนั่งในพระคันธกุฎี ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร ได้สดับเสียงแผ่นดินไหวจึงทรงพระรำพึงว่าแผ่นดินไหวเพื่อใครหนอ ทรงทราบว่า ปิบผลิมาณพ และนางภัททากาปิลานี สละสมบัติแล้วบวชอุทิศเรา แผ่นดินไหวนี้เกิดด้วยกำลังแห่งคุณของคนทั้งสอง เราก็ควรทำการสงเคราะห์คนทั้งสองนี้ จึงเสด็จออกจากพระคันธกุฎี โดยลำพังเพียงพระองค์เดียว ทรงถือบาตรและจีวร ไม่ตรัสเรียกใครๆ ในบรรดาพระมหาสาวก ๘๐ องค์ เสด็จไปต้อนรับสิ้นทาง ๓ คาวุต ประทับนั่งขัดสมาธิที่โคนต้นพหุปุตตกนิโครธ ระหว่างกรุงราชคฤห์กับเมืองนาลันทา ก็เมื่อประทับนั่ง มิได้ประทับนั่งเหมือนพระธรรมดารูปหนึ่ง ทรงแสดงพระองค์เป็นพระพุทธเจ้า เปล่งพระรัศมีออกจากพระวรกายประมาณ ๘๐ ศอก.ดังนั้นในขณะนั้น พระพุทธรัศมีก็ได้พุ่งกระจายออกไปรอบด้าน ทำให้เหมือนเวลาพระจันทร์ และพระอาทิตย์ขึ้นเป็นพันๆ ดวง ทำให้ชายป่าบริเวณนั้นให้มีแสงสว่างขึ้นบนท้องฟ้าระยิบระยับประหนึ่งหมู่ดาว ธรรมดาต้นนิโครธจะมีลำต้นขาว มีใบเขียว ผลสุกแดง แต่วันนั้น ต้นนิโครธกลับมีกิ่งขาว มีสีเหมือนทอง
๐ พระพุทธเจ้าทรงอุปสมบทพระมหากัสสปะ
ด้วยวิธีโอวาทปฏิคคหณอุปสัมปทา
พระมหากัสสปเถระเห็นพระพุทธองค์ประทับอยู่เช่นนั้น ก็เกิดความเลื่อมใสอย่างสูงสุด คิดว่าท่านผู้นี้จะเป็นพระศาสดาของเรา เราบวชอุทิศพระศาสดาพระองค์นี้ จึงเดินเข้าไปไหว้แล้วกราบทูลปวารณาตนเป็นสาวก ซึ่งในพระอรรถกถาได้กล่าวไว้ว่า เป็นการเข้าถึงด้วยวิธียอมเป็นศิษย์ โดยการกล่าวว่า “ข้าพระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นศาสดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เป็นสาวก” ๓ ครั้ง การถวายสักการะต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยสาวกผู้มีจิตเลื่อมใสทุ่มเทจิตใจทั้งหมดอย่างนี้ และได้ทำความเคารพอย่างยิ่งปานนี้ เหมือนเช่นที่พระมหากัสสปเถระกระทำต่อพระพุทธองค์นี้ ท่านเปรียบเอาไว้ว่า ถ้าท่านพระมหากัสสปเถระกระทำการเคารพเช่นนี้ต่อผู้อื่นที่มิใช่พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ศีรษะของผู้นั้น “พึงหลุดจากคอ ดุจตาลสุกหล่นฉะนั้น” และอรรถกถาก็อธิบายเพิ่มเติมว่า
“หากพระมหากัสสปเถระพึงความเคารพ ด้วยจิตเลื่อมใสอย่างยิ่งนี้ ต่อมหาสมุทร.มหาสมุทรจะต้องถึงความเหือดแห้ง ดุจหยาดน้ำที่ใส่ในกระเบื้องร้อน.หากพึงทำความเคารพต่อจักรวาล.จักรวาลต้องกระจัดกระจายดุจกำแกลบ.หากพึงทำความเคารพต่อเขาสิเนรุ.เขาสิเนรุต้องย่อยยับดุจก้อนแป้งที่ถูกกาจิก หากพึงทำความเคารพต่อแผ่นดิน.แผ่นดินต้องกระจัดกระจายดุจผุยผงที่ถูกลมหอบมา”
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ประทานการอุปสมบทด้วยวิธี โอวาทปฏิคคหณอุปสัมปทา แก่พระมหากัสสปเถระด้วยโอวาท ๓ ประการ ดังนี้
เพราะเหตุนั้นแล กัสสป เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราจักเข้าไปตั้งความละอาย และความเกรงไว้ในภิกษุทั้งที่เป็นผู้เฒ่า ทั้งที่เป็นผู้ใหม่ ทั้งที่เป็นผู้ปานกลาง อย่างแรงกล้า, เธอพึงศึกษาอย่างนี้แหละ กัสสป
เพราะเหตุนั้นแล กัสสป เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่าเราจักฟังธรรมอันใดอันหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยกุศล, เราเงี่ยหูลงฟังธรรมนั้นทั้งหมด ทำในใจให้สำเร็จประโยชน์ รวบรวมไว้ทั้งหมดด้วยใจ, เธอพึงศึกษาอย่างนี้แล กัสสป
เพราะเหตุนั้นแล กัสสป เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า ก็สติที่เป็นไปในกายของเรา ซึ่งประกอบด้วยความสำราญ จักไม่ละเราเสีย, เธอพึงศึกษาอย่างนี้แล กัสสป
ครั้นประทานแล้วพระพุทธองค์ก็ทรงหลีกไป ด้วยทรงดำริว่า เราจักทำภิกษุนี้ให้เป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตร ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร มีอาสนะเดียวเป็นวัตร พระมหากัสสปเถระ จึงได้สมาทานธุดงค์คุณ ๑๓ ข้อและบำเพ็ญเพียรในการปฏิบัติธรรม เพียง ๗ วันและได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในเช้าของวันที่ ๘
๐ นางภัททกาปิลานีบวชในสำนักปริพาชก
ส่วนนางภัททกาปิลานี แยกไปทางซ้าย เดินทางไปพบสำนักของปริพาชก จึงบวชอยู่ในสำนักนั้นถึง ๕ ปี เนื่องด้วยขณะนั้นพระพุทธองค์ยังมิได้ทรงอนุญาตให้สตรีบวชในพระพุทธศาสนา ต่อมาเมื่อพระนางมหาปชาบดีโคตมีได้บวชแล้ว นางจึงได้มาบวชในสำนักของนางภิกษุณี ได้ศึกษาพระกรรมฐานบำเพ็ญวิปัสสนา ก็ได้บรรลุพระอรหัตผลพร้อมด้วยวิชชา ๓ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๓ อภิญญา ๖ เป็นผู้ชำนาญในบุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือญาณเป็นเครื่องระลึกชาติได้
ดังนั้น พระบรมศาสดา ขณะประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร เมื่อทรงสถาปนาภิกษุณีทั้งหลายไว้ในตำแหน่งต่างๆ ตามลำดับ จึงทรงสถาปนา พระภัททกาปิลาเถรีนี้ ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุสาวิกาทั้งหลาย ในฝ่าย ผู้บุพเพนิวาสานุสสติญาณ
๐ เกิดร่วมสมัยกับพระโพธิสัตว์
ท่านได้เกิดร่วมชาติกับพระโพธิสัตว์อยู่หลายชาติ ดังที่ปรากฏในชาดกต่างๆ เช่น
เกิดเป็นนางพราหมณี พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็นหัตถิปาลกุมาร ใน หัตถิปาลชาดก
เกิดเป็นนางปาริกาผู้มารดา พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็นสุวรรณสาม ใน สุวรรณสามชาดก
เกิดเป็นมารดาของมาณพผู้เสาะหาวิชา พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็นอาจารย์ ใน อสาตมันตชาดก
.............................................................
คัดลอกมาจาก ::
http://www.dharma-gateway.com/
|
|
Update : 17/4/2554
|
|