|
|
พระรัฐปาลเถระ
พระรัฐปาลเถระ
เอตทัคคะในทางผู้บวชด้วยศรัทธา
พระรัฐปาลเถระผู้ได้รับการแต่งตั้งจากพระบรมศาสดาให้เป็นยอดของภิกษุทั้งหลายผู้บวชด้วยศรัทธา ก็โดยเหตุ ๒ ประการ คือโดยเป็นผู้ยิ่งด้วยคุณ เพราะท่านแสดงให้ผู้อื่นเห็นเป็นอย่างชัดเจนในคุณข้อนี้ของท่าน ท่านพระรัฐปาละนั้น เมื่อได้ฟังธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว ได้มีศรัทธาที่จะบวช กระทำการรอดข้าวถึง ๗ วัน มารดาบิดาจึงยอมอนุญาตให้บวชได้ ไม่เพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นการแต่งตั้งโดยเหตุที่ท่านได้ตั้งความปรารถนาไว้ตลอดแสนกัป ตามเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดังต่อไปนี้
๐ ตั้งความปรารถนาไว้ในอดีต
ในกัปแห่งพระปทุมุตตรพุทธเจ้า คือ หนึ่งแสนกัปนับถอยหลังไปจากกัปปัจจุบัน เวลานั้นอยู่ในช่วงเวลาที่พระปทุมุตรพุทธเจ้ายังไม่ทรงอุบัติ พระราหุลเถระและพระรัฐปาลเถระเป็นสหายกัน ต่างก็มาบังเกิดในครอบครัวคฤหบดีผู้มั่งคั่งในพระนครหังสวดี ไม่มีการกล่าวถึงชื่อและตระกูลของท่านทั้งสองในสมัยนั้น เมื่อท่านทั้งสองเจริญวัยดำรงอยู่ในฆราวาส แล้วบิดาสิ้นชีวิตลง ก็ตรวจดูทรัพย์สินที่ตนได้รับมรดกมา เห็นว่ามีทรัพย์หาประมาณมิได้ จึงคิดว่า บุรพชนของตนทั้งหลายมีปู่และปู่ทวดเป็นต้น ต่างก็ไม่สามารถนำเอาทรัพย์เหล่านี้ไปกับตนได้ ดังนั้น เราจึงควรหาทางนำเอาทรัพย์ที่เรามีอยู่นี้ไปกับเราให้ได้ ด้วยอุบายอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อคิดดังนั้นแล้วท่านทั้งสองจึงเริ่มให้มหาทานแก่คนกำพร้าและคนเดินทางเป็นต้น ในสถานที่ ๔ แห่ง
สหายทั้งสองนั้น คนหนึ่ง (พระราหุลเถระ) เป็นผู้ชอบสอบถามคนที่มาแล้วมาอีกในโรงทานของตนว่าชอบใจสิ่งใด เป็นต้นว่า ข้าวยาคูและของเคี้ยว แล้วก็ให้สิ่งนั้นแก่ผู้นั้นไป เพราะเหตุนั้นเขาจึงมีชื่อว่า “ผู้กล่าวกับผู้ที่มาแล้ว” แต่อีกคนหนึ่ง (พระรัฐปาลเถระ) ไม่ถามเลย เมื่อมีผู้ถือภาชนะมาเพื่อใส่สิ่งของ ก็ใส่ของที่ตนต้องการให้ไป เพราะเหตุนั้นเขาจึงมีชื่อว่า “ผู้ไม่กล่าวกับผู้ที่มาแล้ว”
วันหนึ่ง สหายทั้งสองนั้นออกไปนอกบ้านแต่เช้าตรู่ ได้พบดาบสผู้มีฤทธิ์มาก ๒ รูป ที่เหาะมาจากป่าหิมพานต์เพื่อภิกขาจาร (เที่ยวบิณฑบาต, เที่ยวไปเพื่อขอ) แล้วมาลงในที่ที่ไม่ไกลจากที่สหายทั้งสองยืนอยู่ เมื่อดาบสทั้ง ๒ รูปนั้นจัดแจงบริขาร มีภาชนะน้ำเต้า เป็นต้น แล้วก็เดินไปตามทางเพื่อภิกขาจาร สหายทั้งสองจึงมาไหว้ใกล้ๆ
ครั้งนั้นดาบสกล่าวกับคนทั้งสองนั้นว่า “ท่านผู้มีบุญใหญ่ ท่านมาในเวลาใด” คนทั้งสองนั้นตอบว่า “มาเดี๋ยวนี้ ขอรับ” แล้วรับภาชนะน้ำเต้าจากมือของดาบสทั้งสองนั้น นำไปเรือนของตนๆ แล้วถวายภัตตาหาร ครั้นในเวลาเสร็จภัตรกิจ สหายทั้งสองจึงขอให้ท่านดาบสทั้ง ๒ รูปรับปากว่า จะมารับภิกษา (อาหาร) จากตนเป็นประจำ
ดาบสรูปหนึ่งเมื่อจะกระทำอนุโมทนาแก่อุปัฏฐากของตน (พระราหุลเถระ) ก็ให้พรว่า “ขอจงสำเร็จเหมือนดังภพปฐวินทรนาคราชเถิด” ความที่ท่านกล่าวให้พรดังนี้ด้วยมีเหตุผลว่า ท่านเป็นคนมักร้อน เมื่อรู้สึกร้อนก็จะแหวกน้ำในมหาสมุทรออกเป็น ๒ ส่วนด้วยอานุภาพของตน แล้วก็ไปยังภพของปฐวินทรนาคราชเพื่อนั่งพักในตอนกลางวัน จึงได้แลเห็นสมบัติต่างๆ ในภพนาคราชนั้น ว่ามีมากมายและสวยงามเพียงใด ครั้นเมื่อพักพอสบายแล้วจึงกลับมายังโลกมนุษย์
สหายผู้นั้นเมื่อประสงค์จะรู้ความหมายของดาบสที่ให้พรตนอย่างนั้น ในวันหนึ่งจึงถามดาบสนั้นว่า “ท่านผู้เจริญ ท่านกระทำอนุโมทนาว่า ขอจงสำเร็จเหมือนดังภพปฐวินทรนาคราชเถิด คำนี้ท่านหมายความว่าอย่างไร ?” ดาบสกล่าวว่า “ที่เรากล่าวนั้นหมายความว่า ขอให้สมบัติของท่านจงมีเหมือนสมบัติของพระยานาคราช ชื่อว่า ปฐวินทร” ตั้งแต่นั้นมา สหายผู้นั้นก็ตั้งจิตมั่นปรารถนาอยู่ในภพของพระยานาค ชื่อว่า ปฐวินทร
ส่วนดาบสอีกรูปหนึ่งก็เช่นกัน เมื่อจะกระทำอนุโมทนาแก่อุปัฏฐากของตน (พระรัฐปาลเถระ) ก็ให้พรว่า “ขอจงสำเร็จเหมือนดังภพท้าวสักกเทวราชเถิด” ความที่ท่านกล่าวให้พรดังนี้ด้วยมีเหตุผลว่า ท่านเป็นคนมักร้อน เมื่อรู้สึกร้อนก็จะแหวกน้ำในมหาสมุทรออกเป็น ๒ ส่วนด้วยอานุภาพของตน แล้วไปยังภพของท้าวสักกเทวราช ณ เสรีสกวิมาน อันว่างเปล่า เพื่อนั่งพักในตอนกลางวัน ดาบสนั้นเที่ยวไปเที่ยวมาในดาวดึงส์พิภพ จึงได้แลเห็นสมบัติต่างๆ ของท้าวสักกเทวราชนั้น ว่ามีมากมายและสวยงามเพียงใด
ครั้งนั้นสหายอีกผู้หนึ่ง ก็ถามดาบสเหมือนอย่างสหายคนแรกถามดาบสรูปแรก เมื่อได้ฟังความหมายแล้ว สหายผู้นั้นก็ตั้งจิตมั่นปรารถนาอยู่ในภพของท้าวสักกเทวราช
ด้วยกุศลกรรมที่สหายทั้งสองได้บำเพ็ญมาเป็นอันมาก เมื่อทั้งสองสิ้นชีวิตลงแล้ว ต่างก็ได้ไปเกิดในภพที่ตนตั้งจิตปรารถนาไว้ สหายผู้ที่เกิดในภพของปฐวินทรนาคราช ก็มีชื่อว่า ปฐวินทรนาคราชา ซึ่งสหายผู้เกิดเป็นพระยานาคราชนั้น เมื่อเห็นสภาพของตนที่เกิดมาในเพศของนาค ก็เกิดความร้อนใจว่า การเกิดของเราอยู่ในฐานะที่ไม่น่าพอใจหนอ ที่นี้เป็นที่ต้องเลื้อยไปด้วยท้อง เห็นทีดาบสที่ให้พรเราเช่นนั้นคงจะไม่รู้ที่อื่นๆ ที่ดีกว่าเป็นแน่แท้
ส่วนสหายอีกผู้หนึ่งก็ไปเกิดเป็นท้าวสักกเทวราช ในดาวดึงส์พิภพ ต่อมาก็ถึงเวลาที่ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ที่มีหน้าที่จะต้องไปเฝ้าท้าวสักกเทวราช ทุกๆ กึ่งเดือน ซึ่งปฐวินทรนาคราชานั้นก็ต้องไปเฝ้าท้าวสักกะพร้อมกับพระยานาคชื่อว่า วิรูปักษ์ ด้วย จึงได้กลายเพศเป็นมาณพน้อย แล้วไปเข้าเฝ้าท้าวสักกเทวราช ทุกๆ กึ่งเดือน
ในเวลาที่ท่านได้เข้าเฝ้าท้าวสักกเทวราช ท้าวสักกะเห็นพระยานาคราชนั้นก็จำได้ว่าเป็นสหายเก่า จึงถามพระยานาคราชนั้นว่า “สหาย ท่านไปเกิดที่ไหน” พระยานาคราชกล่าวว่า “ท่านมหาราชอย่าถามเลย ข้าพเจ้าไปเกิดในที่ที่ต้องเลื้อยไปด้วยท้อง ส่วนท่านได้อยู่ในที่ที่ดีแล้ว”
ท้าวสักกเทวราชตรัสว่า “สหาย ท่านอย่าวิตกไปเลยว่าเกิดในที่ไม่สมควร บัดนี้ พระทศพลพระนามว่า ปทุมุตตระ ทรงเสด็จมาอุบัติขึ้นในโลกแล้ว ท่านจงกระทำกุศลกรรมแด่พระองค์นั้น แล้วปรารถนาฐานะนี้เถิด เราทั้งสองจักอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข”
พระยานาคราชนั้นกล่าวว่า “เทวะ ข้าพเจ้าจักกระทำอย่างนั้น” แล้วจึงไปนิมนต์พระปทุมุตตรทศพล พร้อมกับจัดแจงเครื่องสักการะสัมมานะ เพื่อเตรียมถวายพระศาสดาและเหล่าพระภิกษุตลอดคืนยันรุ่ง กับนาคบริษัทในภพนาคของตน
วันรุ่งขึ้นเมื่อรุ่งอรุณ พระศาสดาตรัสเรียกพระสุมนเถระ ผู้อุปัฏฐากของพระองค์ว่า “สุมนะ วันนี้ตถาคตจักไปภิกขาจาร ณ ที่ไกล ภิกษุปุถุชนนั้นไม่สามารถไปด้วย จงไปแต่พระผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ผู้มีอภิญญา ๖ เถิด” พระเถระสดับพระดำรัสของพระศาสดาแล้ว แจ้งแก่ภิกษุทั้งปวง ภิกษุทั้งหมดผู้มีอภิญญาประมาณแสนหนึ่งรูปได้เหาะไปพร้อมกับพระศาสดา
ปฐวินทรนาคราชากับนาคบริษัทที่มารับเสด็จพระทศพล แลดูพระภิกษุสงฆ์ที่ล้อมพระศาสดาซึ่งกำลังเสด็จมา ได้แลเห็นพระศาสดาอยู่เบื้องต้น พระสงฆ์นวกะจนถึงสามเณรชื่อว่า อุปเรวตะ ผู้เป็นโอรสของพระตถาคตอยู่ท้าย จึงเกิดปีติปราโมทย์อย่างท่วมท้น แล้วกล่าวว่า “การที่พระสาวกทั้งหลายที่เป็นพระภิกษุได้แสดงอานุภาพให้เห็นปานนี้ยังไม่น่าอัศจรรย์ แต่อานุภาพแห่งสามเณรองค์เล็กนี้ช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกินดังนี้”
ครั้นเมื่อพระทศพลทรงประทับนั่งที่ภพของพระยานาคนั้นแล้ว พระภิกษุทั้งหลายก็นั่งเรียงกันตามลำดับอาวุโส ปฐวินทรนาคราชาเมื่อถวายข้าวยาคูก็ดี เมื่อถวายของเคี้ยวก็ดี แลดูพระทศพลทีหนึ่ง แลดูสามเณรอุปเรวตะทีหนึ่ง นัยว่า มหาปุริสลักษณะ (ลักษณะของมหาบุรุษ) ๓๒ ประการในสรีระของสามเณรนั้นย่อมปรากฏเสมือนพระพุทธเจ้า ก็สงสัยว่าเป็นอะไรกันหนอ จึงถามภิกษุรูปหนึ่งผู้นั่งไม่ไกลว่า “ท่านเจ้าข้า สามเณรรูปนั้นเป็นอะไรกับพระทศพล” ภิกษุนั้นตอบว่า “มหาบพิตร สามเณรรูปนั้นเป็นโอรสของพระพุทธองค์”
ปฐวินทรนาคราชาได้ดำริว่า “สามเณรรูปนี้ใหญ่หนอ จึงได้ความเป็นโอรสของพระตถาคตผู้สง่างามเห็นปานนี้ แม้สรีระของท่านก็ปรากฏเสมือนพระสรีระของพระพุทธเจ้าโดยส่วนเดียว แม้ตัวเราก็ควรเป็นอย่างนี้ในอนาคตกาล”
ดังนั้น พระยานาคราชจึงถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานอยู่ ๗ วัน ครั้นเมื่อครบ ๗ วันแล้วท่านได้กระทำความปรารถนาต่อพระศาสดาว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยอานุภาพแห่งกุศลกรรมนี้ ข้าพระองค์พึงเป็นโอรสของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลเหมือนอุปเรวตะสามเณรเถิด”
พระปทุมุตตระบรมศาสดาผู้ประกอบด้วยพระมหากรุณา ทรงพิจารณาแล้วเห็นว่าความปรารถนาของเขาหาอันตรายมิได้ จึงได้ทรงตรัสพยากรณ์ว่า “ในอนาคตมหาบพิตรจักเป็นโอรสแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่า โคตมะ” ทรงพยากรณ์ดังนี้แล้วเสด็จกลับไป
ส่วนปฐวินทรนาคราชาเมื่อถึงกึ่งเดือนอีกครั้งหนึ่งก็ไปเฝ้าท้าวสักกเทวราชกับพระยานาคชื่อ วิรูปักษ์ อีก คราวนี้ท้าวสักกะตรัสถามพระยานาคราชว่า “สหาย ท่านกระทำมหาทานเพื่อปรารถนาเทวโลกนี้แล้วหรือ”
ปฐวินทรนาคราชาตอบว่า “ข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาเทวโลกนี้ดอกเพื่อน”
ท้าวสักกเทวราชจึงตรัสถามว่า “ท่านเห็นโทษอะไรเล่า ?”
ปฐวินทรนาคราชาตอบว่า “โทษไม่มีมหาราช นับจากข้าพเจ้าได้เห็นสามเณรอุปเรวตะ ผู้เป็นโอรสของพระทศพล ข้าพเจ้าก็มิได้น้อมจิตไปในที่อื่น ข้าพเจ้ากระทำความปรารถนาว่า ในอนาคตกาลขอข้าพเจ้าพึงเป็นโอรสเช่นนี้ของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ข้าแต่มหาราช แม้พระองค์ก็จงกระทำความปรารถนาอย่างนี้เถิด เราทั้งสองจักไม่พรากจากกันในที่ๆ เกิดแล้ว”
เมื่อท้าวสักกเทวราชรับคำของพระยานาคราชนั้นแล้ว ต่อมาวันหนึ่งได้แลเห็นภิกษุผู้มีอานุภาพมากรูปหนึ่ง จึงดำริว่า “กุลบุตรผู้นี้ออกบวชจากสกุลไหนหนอ” ครั้นทราบว่า ภิกษุรูปนี้เป็นบุตรของสกุลผู้สามารถสมานรัฐที่แตกแยกกัน และเป็นผู้มีศรัทธาในการออกบวช แล้วได้กระทำการอดอาหารถึง ๑๔ วันเพื่อให้มารดาบิดาอนุญาตให้บวช และเป็นภิกษุซึ่งพระศาสดาทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่งผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทางผู้บวชด้วยศรัทธา ได้เกิดปีติโสมนัสยิ่ง ท่านจึงปรารถนาที่จะได้เป็นเหมือนอย่างภิกษุนี้ ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลเช่นนั้นบ้าง
ดังนั้น ท่านจึงกระทำมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขตลอด ๗ วัน ครั้นเมื่อครบ ๗ วันแล้วท่านจึงหมอบลงแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้กระทำความปรารถนาว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยอานุภาพแห่งกุศลกรรมนี้ ข้าพระองค์ไม่ปรารถนาสมบัติอื่นใด เพียงแต่ขอข้าพระองค์พึงเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้บวชด้วยศรัทธา ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล เหมือนอย่างภิกษุนี้ในศาสนาของพระองค์เถิด”
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพิจารณาแล้ว เห็นว่าความปรารถนาของเขาจักสำเร็จผล จึงได้ทรงตรัสพยากรณ์ว่า “ในอนาคตมหาบพิตรจักเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้บวชด้วยศรัทธา ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่า โคตมะ” ทรงพยากรณ์ดังนี้แล้วเสด็จกลับไป ฝ่ายท้าวสักกะก็เสด็จกลับไปยังเทพบุรีของพระองค์ตามเดิม
เมื่อหมดอายุขัยแล้ว ก็ท่องเที่ยวไปในภูมิเทวดาและภูมิมนุษย์ทั้งหลาย วนเวียนอยู่เช่นนั้นตลอดแสนกัป
๐ บุรพกรรมในสมัยพระปุสสพุทธเจ้า
ในที่สุดกัปที่ ๙๒ สมัยนั้น พระโพธิสัตว์พระนามว่า ปุสสะ จุติมาบังเกิดเป็นพระโอรสของพระเจ้ามหินทรราชา (อรรถกถาบางแห่งกล่าวว่าชื่อ ชยเสนะ) กรุงกาสี พระราชมารดาทรงพระนามว่า สิริมา ตรัสรู้แล้วทรงแสดงธรรมแก่ สุรักขิตะ ผู้เป็นพระอนุชาของพระองค์ และบุตรปุโรหิต ชื่อ ธรรมเสนะ ทั้งสองดำรงอยู่ในพระอรหัตผล พระศาสดาทรงสถาปนาพระสุรักขิตะถระไว้ในตำแหน่งพระอัครสาวกรูปที่ ๑ ทรงสถาปนาพระธรรมเสนะเถระไว้ในตำแหน่งอัครสาวกรูปที่ ๒
พระเจ้ามหินทรราชา ท่านมีพระโอรสแต่ต่างพระมารดากับพระปุสสพุทธเจ้า อีก ๓ พระองค์ (ซึ่งต่อมมาในสมัยของพระพุทธเจ้าของเรานี้ก็คือ พระอุรุเวลกัสสป พระนทีกัสสป และพระคยากัสสป) ฝ่ายพระเจ้ามหินทรราชา มีพระดำริว่า ลูกชายคนโตของเราออกบวชเป็นพระพุทธเจ้า ลูกคนเล็กเป็นอัครสาวก ลูกปุโรหิตเป็นทุติยสาวก พระองค์จึงทรงให้สร้างวิหาร ทรงดำรงอยู่ในรัตนะ ๓ และทรงปรารถนาจะอุปัฏฐากพระบรมศาสดาผู้เป็นพระโอรส พร้อมหมู่พระภิกษุแต่ผู้เดียว ไม่ยอมให้ชนทั้งหลายได้มีโอกาสเช่นนั้นบ้าง จึงให้สร้างรั้วไม้ไผ่สองข้าง ปิดล้อมด้วยผ้า ตั้งแต่ซุ้มประตูพระวิหารจนถึงทวารพระราชวัง เบื้องบนรับสั่งให้ผูกพวงของหอมพวงมาลัยที่หอมฟุ้งเป็นเพดาน เสมือนประดับด้วยดาวทอง เบื้องล่างรับสั่งให้เกลี่ยทรายสีเหมือนเงินแล้ว โปรยดอกไม้ ให้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาตามทางนั้น แล้วนิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมหมู่ภิกษุเสด็จไปสู่พระราชมณเฑียร เพื่อกระทำภัตกิจ แล้วเสด็จกลับมายังวิหาร โดยทางเดิม มหาชนอื่น แม้จะดูก็ยังไม่ได้ดู แล้วไฉนจะได้ถวายภักษาหารและการบูชาเล่า ทรงกระทำเช่นนี้มาตลอด ๗ ปี ๗ เดือน
ชาวพระนครคิดว่าเมื่อพระศาสดาเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เป็นเวลานานถึงเพียงนี้แล้ว ถึงวันนี้ พวกเราแม้เพียงปรารถนาจะเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ก็ยังไม่ได้เฝ้า จะป่วยกล่าวไปไย ถึงการที่จะได้ถวายภิกษา หรือกระทำการบูชา หรือฟังธรรมเล่า พระราชาทรงยึดถือว่า พระพุทธเจ้า และพระสงฆ์เป็นของพระองค์เองผู้เดียว ที่ถูกแล้ว พระศาสดาเมื่อเสด็จอุบัติ ก็อุบัติเพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งหลาย มิใช่อุบัติเพื่อประโยชน์เฉพาะแก่พระราชาเท่านั้นไม่
ชาวพระนครร่วมปรึกษากับพระโอรสทั้ง ๓ องค์ว่าพวกเราจะทำอุบายอย่างหนึ่ง โดยให้ชาวพระนครเหล่านั้นแต่งโจรชายแดนขึ้น แล้วส่งข่าวกราบทูลพพระเจ้ามหินทรราชาว่า หมู่บ้าน ๒ - ๓ แห่งที่อยู่ชายแดนเกิดโจรปล้น พระเจ้ามหินทรราชาจึงมีรับสั่งให้เรียกพระโอรสทั้ง ๓ เข้าเฝ้าแล้วรับสั่งให้พระโอรสทั้ง ๓ ออกไปโจร พระโอรสทั้ง ๓ ออกไปจัดการให้โจรสงบแล้วกลับมากราบทูลพระเจ้ามหินทรราชา
พระราชาทรงพอพระทัย ตรัสว่าและสัญญาว่าจะพระราชทานพรข้อหนึ่งให้กับพระโอรสทั้งสาม พระโอรสเหล่านั้นรับพระดำรัสแล้ว ได้ไปปรึกษากับชาวพระนครถึงเรื่องพรที่ได้รับพระราชทานมาว่า พวกเราจะเอาอะไร ชาวพระนครกล่าวว่า ทรัพย์สินเงินทองช้างม้าเป็นต้นหาได้ไม่ยาก แต่พระพุทธรัตนะหาได้ยาก ไม่เกิดขึ้นทุกกาล เราขอให้พระเจ้ามหินทรราชาทรงยอมให้ชาวพระนครได้มีโอกาสกระทำบุญแด่ พระปุสสพุทธเจ้าบ้าง พระโอรสเหล่านั้นจึงนำความนั้นขึ้นกราบบังคมทูลแด่พระราชา
พระราชาเมื่อกลับคำพูดไม่ได้จึงตรัสต่อรองว่า ขอเวลาให้ท่านได้ทำบุญกับพระศาสดากับหมู่พระสงฆ์อีก ๗ ปี ๗ เดือน ชาวพระนครไม่รับ พระราชาทรงให้ลดลงอย่างนี้คือ ๖ ปี ๕ ปี ๔ ปี ๓ ปี ๒ ปี ๑ ปี ๖ เดือน ฯลฯ เพียงเดือนเดียว พระโอรสก็ไม่ยินยอม สุดท้ายจึงขออีก ๗ วัน พระโอรสก็ยินยอม
พระราชาทรงนำสิ่งที่เตรียมไว้ถวายพระพุทธองค์และหมู่ภิกษุ สำหรับระยะเวลา ๗ ปี ๗ เดือน มารวมกันเพื่อถวายใน ๗ วันเท่านั้น แล้วพระราชาถวายบังคม กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า บัดนี้ ข้าพระองค์อนุญาตให้ชาวพระนครได้ถวายทานแล้ว ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป โปรดทรงอนุเคราะห์แก่ชาวพระนครเหล่านั้นเถิด
พระราชโอรสเหล่านั้นกับชาวพระนครจึงสร้างพระวิหารมอบถวายแด่พระศาสดา ปรนนิบัติพระศาสดาในที่นั้น เมื่อจวนเข้าพรรษา พระราชโอรสเหล่านั้นจึงคิดกันว่า พวกเราจะปรนนิบัติพระศาสดาให้ยิ่งขึ้นได้อย่างไรหนอ
ครั้นแล้วจึงได้มีพระดำริอย่างนี้ว่า ขึ้นชื่อว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นผู้หนักในธรรม ไม่หนักในอามิส หากพวกเราตั้งอยู่ในศีลแล้วจักเป็นที่พอพระทัยของพระศาสดาได้ ราชกุมารเหล่านั้นจึงจึงแต่งตั้งอำมาตย์ผู้หนึ่งไว้ในตำแหน่งเป็นผู้หารายได้เพื่อใช้ในการถวายทาน แต่งตั้งอำมาตย์ ผู้หนึ่งเป็นผู้รับจ่ายในการถวายทาน และแต่งตั้งอำมาตย์อีกผู้หนึ่งมีหน้าที่เป็นผู้เลี้ยงภิกษุสงฆ์อันมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เพื่อตัดกังวลในการถวายทานของพระโอรสทั้งสาม
ครั้นแล้ว ราชกุมารทั้งสาม พร้อมทั้งบริวาร ๑,๐๐๐ คน ออกบวชโดยสมาทานศีล ๑๐ ครองผ้ากาสายะ ๒ ผืน บริโภคน้ำที่สมควร ครองชีพอยู่ เขาบำรุงพระศาสดาตลอดชีวิต พระศาสดาทรงเสด็จปรินิพพานในสำนักของเขาเหล่านั้นเอง
ราชโอรสเหล่านั้นเมื่อทิวงคตแล้ว ก็วนเวียนเที่ยวตายเกิดอยู่ในเทวโลกและมนุษย์โลก
๐ กำเนิดเป็นรัฐปาลกุลบุตรในสมัยพระสมณโคดมพุทธเจ้า
ครั้นมาในเวลาเริ่มสมัยพระพุทธเจ้าของเรานี้ ราชกุมารทั้งสามมาเกิดเป็นชฎิล ๓ พี่น้อง คือ พระอุรุเวลกัสสป พระนทีกัสสป และ พระคยากัสสป อำมาตย์สามคนนั้น คนหนึ่งมาเกิดเป็นพระเจ้าพิมพิสาร ส่วนอีกคนหนึ่งมาเกิดเป็นวิสาขอุบาสก และอำมาตย์ผู้มีหน้าที่เป็นผู้เลี้ยงภิกษุสงฆ์อันมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข นั้นก็มาเกิดเป็นบุตรเพียงคนเดียว ในวรรณพ่อค้า ตระกูลเศรษฐี ในถุลลโกฏฐิตะนิคม ตระกูลของท่านชื่อว่า รัฐปาละ เพราะเป็นผู้สามารถดำรงรักษารัฐที่แบ่งแยกได้ คือตระกูลท่านได้สละทรัพย์สินช่วยเหลือแคว้นซึ่งกำลังตกต่ำทางเศรษฐกิจ ให้กลับมั่นคงเหมือนเดิม คนทั่วไปเรียกชื่อท่านว่า รัฐปาละ ตามชื่อตระกูลของท่านเอง
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้เสด็จจาริกไปในหมู่ชนชาวกุรุ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จถึงนิคมที่ท่านรัฐปาลอาศัยอยู่ เหล่าพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลายชาวนิคมถุลลโกฏฐิตะ ได้ทราบข่าวว่า พระสมณโคดมศากยบุตรทรงผนวชจากศากยสกุล เสด็จจาริกมาถึง จึงได้พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ พระผู้มีพระภาคทรงโปรดพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลายให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริงด้วยธรรมีกถา
๐ รัฐปาลกุลบุตรขอบวช
สมัยนั้น รัฐปาลกุลบุตร ก็ได้นั่งอยู่ในหมู่บริษัทนั้นด้วย เขาเกิดความเลื่อมใสในพระธรรมที่ทรงตรัส และเกิดความคิดว่า ทำอย่างไรหนอเราจึงจะทราบพระธรรมของพระบรมศาสดาทรงแสดงให้ได้ทั่วถึงถ้าเรายังคงเป็นผู้ครองเรือน การจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์ ให้บริสุทธิ์ ก็ไม่สามารถทำได้โดยง่าย ถ้ากระนั้นเรา พึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเถิด
ครั้งนั้น พวกพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมีกถาจบแล้ว ต่างก็ชื่นชมยินดีในพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค แล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง ถวายบังคมแล้วต่างพากันกลับไป
รัฐปาลกุลบุตร คิดว่า เราไม่ควรทูลขอบรรพชาต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าในเวลาที่พราหมณ์ และคหบดี เหล่านั้นยังไม่ลุกไป เพราะญาติสาโลหิตมิตรทั้งหลาย ของเขาในที่นั้นเป็นจำนวนมาก ทุกคนก็ทราบอยู่ว่า ท่านเป็นลูกคนเดียว ของมารดาบิดา ท่านไม่ควรบวช แล้วก็จะขัดขวางการขอบรรพชาของเขา ดังนั้นเขาจึงทำเป็นลุกขึ้นไปพร้อมกับพวกเหล่านั้น เมื่อเดินไปได้หน่อยหนึ่งแล้วก็แกล้งแยกตัวออกมาอ้างว่ามีกิจเนื่องอยู่ด้วยสรีระบางอย่าง แล้วไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลขอบรรพชา
พระผู้มีพระภาคทรงถามว่า ท่านเป็นผู้ที่มารดาบิดาอนุญาตให้ออกบวชเป็นบรรพชิตแล้วหรือ ?
รัฐปาลกุลบุตรกราบทูลว่า ยัง พระเจ้าข้า
พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า ดูกรรัฐปาละ พระตถาคตทั้งหลาย ย่อมไม่บวชบุตรที่มารดาบิดามิได้อนุญาต
ครั้งนั้น รัฐปาลกุลบุตรลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วเข้าไปหามารดาบิดาที่อยู่ในเรือน แล้วได้กล่าวขออนุญาตเพื่อออกบวช
เมื่อรัฐปาลกุลบุตรกล่าวเช่นนี้แล้ว มารดาบิดาของรัฐปาลกุลบุตร ได้กล่าวว่า
พ่อรัฐปาละ เจ้าเป็นบุตรคนเดียว เป็นที่รักที่ชอบใจของเราทั้งสอง มีแต่ความสุข ได้รับเลี้ยงดูมาด้วยความสุข พ่อรัฐปาละ เจ้าไม่ได้รู้จักความทุกข์อะไรเลย มาเถิด พ่อรัฐปาละ เจ้าจงแสวงหาความสุขทางโลกไปเถิด เจ้ายังอยู่ในวัยหนุ่ม ยังสามารถแสวงหาความสุขต่างๆ ก็จงแสวงหาความสุขไปด้วย ทำบุญไปด้วยก็ยังได้ เราทั้งสองจะอนุญาตให้เจ้าออกบวชเป็นบรรพชิตไม่ได้ อย่าว่าแต่จะยอมให้เจ้าออกบวชเป็นบรรพชิตเลย แม้นเจ้าจะตายลง เราทั้งสองก็ไม่ปรารถนาจะพลัดพรากจากเจ้า ?
แม้รัฐปาลกุลบุตร จะอ้อนวอนมารดาบิดาอยู่ถึงสามครั้ง ท่านทั้งสองก็ยังไม่ยินยอม
๐ มารดาบิดาไม่อนุญาตให้บวช
ครั้งนั้น รัฐปาลกุลบุตรน้อยใจว่า มารดาบิดาไม่อนุญาตให้เราออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ดังนี้ จึงนอนอยู่บนพื้นเรือนที่นั้นเอง ด้วยตั้งใจว่าเราจักยอมตายถ้ามารดาบิดาไม่ยอมให้เราบวช
ตั้งแต่นั้นเขาก็ไม่ยอมบริโภคอาหาร เริ่มตั้งแต่ ๑ วัน ๒ วัน ๓ วัน ๔ วัน ๕ วัน ๖ วัน ไปจนกระทั่งถึงวันที่ ๗
ครั้งนั้น มารดาบิดาของรัฐปาลกุลบุตรจึงได้กล่าวอ้อนวอนให้เขาล้มเลิกความคิดที่จะออกบวชเสีย แล้วมาแสวงหาความสุขใส่ตัวจะดีกว่า มารดาบิดาทั้งสองก็ได้อ้อนวอนเขาถึง ๓ ครั้งแต่รัฐปาลกุลบุตรก็ได้แต่นอนนิ่งเสีย ไม่ยอมฟัง
๐ เพื่อนช่วยอ้อนวอนขอให้อนุญาตให้บวช
ครั้งนั้น มารดาบิดา ของเขาพูด ๓ ครั้งไม่ได้แม้คำตอบ จึงให้เรียกสหายของเขามาพูดว่า สหายของเจ้านั้นอยากจะบวช พวกท่านจงห้ามเขาทีเถอะ แม้สหายเหล่านั้นจะเข้าไปหาเขาแล้ว พูดอ้อนวอนถึง ๓ ครั้งเขาก็ยังคงนิ่ง เหล่าสหายของเขาก็คิดอย่างนี้ว่า ถ้าเพื่อนผู้นี้ไม่ได้บวช ก็จักตาย ก็จะไม่มีใครได้ประโยชน์อะไร แต่ถ้ายอมให้เขาบวชแล้ว ทั้งมารดาบิดาก็จะมีโอกาสได้เห็นเขาบ้างเป็นครั้งคราว รวมทั้งพวกเราที่เป็นสหายด้วย อีกอย่างหนึ่งการบรรพชานี้เป็นของลำบาก เขาก็ต้องถือบาตรเดินไป เที่ยวบิณฑบาตทุกวันๆ การประพฤติพรหมจรรย์ที่มีการนอนหนเดียว กินหนเดียว หนักนักหนา ก็เพื่อนของเราผู้นี้เป็นชาวเมือง เป็นสุขุมาลชาติ ถ้าเขาไม่อาจทนประพฤติพรหมจรรย์เช่นนั้นได้ ก็จะต้องกลับมาเอง เอาเถิด เราจักเกลี้ยกล่อมให้มารดาบิดาของเขาอนุญาตจะเป็นผลดีกว่า
ลำดับนั้น พวกสหายพากันเข้าไปหามารดาบิดาของรัฐปาลกุลบุตรถึงที่อยู่ แล้วได้กล่าวว่า ถ้าคุณแม่คุณพ่อจะไม่อนุญาตให้รัฐปาลกุลบุตรออกจาก เรือนบวชเป็นบรรพชิต เขาก็จักตายเสียในที่นั้นเอง แต่ถ้าคุณแม่คุณพ่อจะอนุญาตให้รัฐปาลกุลบุตรออกบวช คุณแม่คุณพ่อก็จักได้เห็นเขาบ้าง แม้บวชแล้ว หากรัฐปาลกุลบุตรทนสภาพการบวชไม่ได้ เขาจะไปไหนอื่น เขาก็จักลับมาที่นี่เอง ขอคุณแม่คุณพ่ออนุญาตให้รัฐปาลกุลบุตรออกบวชเป็นบรรพชิตเถิด
๐ มารดาบิดาอนุญาตให้บวช
มารดาบิดากล่าวว่า ดูกรพ่อทั้งหลาย เราอนุญาตให้รัฐปาลกุลบุตรออกบวชเป็นบรรพชิต แต่เมื่อเขาบวชแล้วพึงมาเยี่ยมมารดาบิดาบ้าง
ครั้งนั้น สหายทั้งหลาย พากันเข้าไปหารัฐปาลกุลบุตรถึงที่อยู่ แล้วได้กล่าวว่า คุณแม่คุณพ่ออนุญาตให้ท่านออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตแล้ว แต่เมื่อท่านบวชแล้ว พึงมาเยี่ยมคุณแม่คุณพ่อบ้าง.
๐ รัฐปาละบวชและบรรลุพระอรหันต์
ครั้งนั้น รัฐปาลกุลบุตรลุกขึ้น บริโภคโภชนะ บำรุงกายให้เกิดกำลังแล้ว ไหว้มารดาบิดา ละเครือญาติ ที่มีน้ำตาตกนองหน้าเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
แล้วได้ทูลว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มารดาบิดาอนุญาตให้ข้าพระพุทธเจ้า ออกบวชเป็นบรรพชิตได้แล้ว ขอพระผู้มีพระภาคให้ข้าพระพุทธเจ้าบวชเถิด พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเรียกภิกษุรูปหนึ่งซึ่งยืนอยู่ที่ใกล้ ให้รัฐปาลกุลบุตรได้บรรพชา ได้อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาค
ครั้นเมื่อท่านรัฐปาละอุปสมบทแล้วไม่นาน พอได้กึ่งเดือน พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในถุลลโกฏฐิตนิคมตามควรแล้ว เสด็จจาริกไปทางนครสาวัตถี เสด็จจาริกไปโดยลำดับได้เสด็จถึงพระนครสาวัตถีแล้ว ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี
ท่านรัฐปาละเมื่อได้บวชแล้ว หลีกออกไปอยู่แต่ผู้เดียว บำเพ็ญสมณธรรม ถือธุดงควัตรอย่างอุกฤษฏ์ อยู่อย่างนี้ ๑๒ ปี เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ไม่ช้านานเท่าไร ก็ทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์ ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ที่กุลบุตรทั้งหลายผู้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการ รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้วกิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ท่านพระรัฐปาละได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย
ครั้นเมื่อบรรลุพระอรหัตแล้ว พระเถระรำลึกถึง คำที่สัญญากับว่า เมื่อครั้งที่มารดา บิดาของเราอนุญาตเราให้บวช ท่านทั้งสองกล่าวว่า เจ้าต้องมาพบเราบางครั้งบางคราว แล้วจึงอนุญาต บัดนี้ เราจักทูลลาพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อกลับไปเยี่ยมท่านทั้งสอง แล้วประสงค์จะทูลลา จึงเข้าเฝ้า
ครั้งนั้น ท่านพระรัฐปาละเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ปรารถนาจะไปเยี่ยมมารดาบิดา ถ้าพระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตกะข้าพระองค์ พระผู้มีพระภาคทรงมนสิการกำหนดใจของท่านพระรัฐปาละด้วยพระหฤทัยแล้วว่า เมื่อพระรัฐปาละไปแล้ว จักมีอุปสรรคไรๆ ไหมหนอ ทรงทราบว่า จักมีแน่ ทรงตรวจดูต่อไปว่า พระรัฐปาละ จักสามารถย่ำยีอุปสรรคนั้นหรือไม่หนอ ทรงเห็นว่า พระรัฐบาละนั้นบรรลุพระ อรหัตแล้ว จักสามารถพ้นจากอุปสรรคนั้นได้ จึงทรงอนุญาต
ท่านพระรัฐปาละลุกจากอาสนะถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณแล้ว เก็บอาสนะถือบาตรและจีวรหลีกจาริกไปทางถุลลโกฏฐิตนิคม จาริกไปโดยลำดับ บรรลุถึงถุลลโกฏฐิตนิคมแล้ว เมื่อถึงแล้ว ท่านพระรัฐปาละจึงได้พักอยู่ ณ พระราชอุทยาน ชื่อมิคาจีระ ของพระเจ้าโกรัพยะ ในถุลลโกฏฐิตนิคมนั้น.ซึ่งเป็นพระราชอุทยานที่พระราชาพระองค์นั้นพระราชทานพระราชานุญาตแก่เหล่าบรรพชิตที่มาถึงในเวลาที่หาที่พักไม่ได้ ครั้นรุ่งเช้า ท่านพระรัฐปาละจึงเข้าไปบิณฑบาตยังถุลลโกฏฐิตนิคม
เมื่อเที่ยวบิณฑบาตมาจนถึงเรือนของบิดาท่าน สมัยนั้น บิดาของท่านพระรัฐปาละ กำลังให้ช่างกัลบกสางผมอยู่ที่ซุ้มประตูกลาง ได้เห็นท่านพระรัฐปาละในเพศบรรพชิต กำลังมาแต่ไกล ด้วยความที่ระยะเวลาผ่านไปถึง ๑๒ ปี อีกทั้งพระเถระบำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่แต่ในป่า บริโภคแต่ภัตที่บิณฑบาตได้ หน้าตาผิวพรรณจึงเปลี่ยนไป จนท่านบิดาจำไม่ได้ และด้วยความที่ท่านบิดาผูกใจเจ็บในพวกเหล่าสมณะที่ทำให้ท่านต้องเสียลูกชายอันเป็นที่รักต้องออกจากเรือนไปบวช จึงกล่าววาจาขับไล่ว่า สมณะเหล่านี้ ตั้งแต่ให้บุตรที่รักคนเดียวของเราบวช เราก็ไม่เห็นบุตรเราแม้แต่วันเดียว เหมือนเรามอบบุตรไว้ใน มือโจร สมณะเหล่านี้กระทำการหยาบช้าอย่างนี้ ยังจะเข้าใจว่า ที่นี้ควรจะเข้ามาอีก ควรจะเอาตัวออกไปเสียจากที่นี้
ครั้งนั้น ท่านพระรัฐปาละไม่ได้อะไรจากการที่ไปที่บ้านบิดาของท่าน ที่แท้ได้แต่คำด่าเท่านั้น.ขณะนั้นนางทาสีแห่งเรือนของบิดาท่านพระรัฐปาละกำลังจะเอาขนมแป้งที่ชื่อกุมมาสที่บูดเน่าไปทิ้งเสียในที่ทิ้งขยะ ท่านรัฐปาละเห็นดังนั้นจึงได้กล่าวกะนางทาสีนั้นว่า
ดูกรน้องหญิง ถ้าสิ่งนั้นจำต้องทิ้ง ก็จงใส่ในบาตรของฉันนี้เถิด
นางทาสีเมื่อได้ยินดังนั้นก็ก้มลงเทขนมบูดเน่านั้นลงในบาตรของท่านรัฐปาละ ขณะที่นางทาสีกำลังเทขนมบูดลงในบาตรนั้น แลเห็นมือทั้งสองตั้งแต่ข้อมือ ของพระเถระผู้น้อมบาตรลงเพื่อรับภิกษา และเท้าทั้งสองตั้งแต่ชายจีวรลงไป นางก็จำเสียงและลักษณะของมือและเท้าของท่านพระเถระได้ว่าเป็น ท่านรัฐปาละผู้เป็นบุตรของนายตน
แต่ถึงแม้นางทาสีนั้นจะเป็นนางนม ผู้ทะนุถนอมพระเถระให้ดื่มน้ำนม และเลี้ยงมาจนเติบโต ก็ไม่บังอาจพูดกับบุตรนายผู้บวช และถึงความเป็นพระมหาขีณาสพแล้ว นางจึงรีบเข้าเรือนแล้วได้เข้าไปหามารดาของท่านรัฐปาละ แล้วได้กล่าวว่า
เดชะบุญแม่เจ้า แม่เจ้าพึงทราบว่า รัฐปาละลูกแม่เจ้ามาแล้ว
มารดาท่านพระรัฐปาละกล่าวว่า แม่คนใช้ ถ้าเจ้ากล่าวจริง ฉันจะปล่อยให้เจ้าเป็นไท ทำให้เจ้าไม่ต้องเป็นทาสี
แล้วมารดาของท่านพระรัฐปาละจึงเข้าไปหาบิดาถึงที่อยู่แล้วได้กล่าวว่า เดชะบุญท่านคฤหบดี ท่านพึงทราบว่า ได้ยินว่ารัฐปาลกุลบุตรมาถึงแล้ว
๐ พระรัฐปาลฉันขนมบูด
พระเถระนั้น เมื่อได้ภัตแล้วก็เดินหลีกไป ในบริเวณที่ใกล้ๆ นั้นมีศาลาที่ผู้ใจบุญสร้างขึ้นอยู่ใกล้เรือน ที่ศาลานั้นเขาจัดอาสนะไว้ น้ำและน้ำข้าวเขาก็จัดตั้งไว้ในศาลานั้น เพื่อบรรพชิตทั้งหลายที่เมื่อเที่ยวบิณฑบาตได้แล้วจักนั่งฉัน และถ้าว่าบรรพชิตทั้งหลายปรารถนา ก็สามารถจะถือเอาสิ่งของที่ทานบดีทั้งหลายจัดไว้ก็ได้ ขณะนั้น ท่านพระรัฐปาละอาศัยศาลานั้นฉันขนมกุมมาสบูดนั้นอยู่
บิดาเข้าไปหาท่านพระรัฐปาละถึงที่ใกล้ แล้วได้ถามว่า
มีอยู่หรือ พ่อรัฐปาละ ที่พ่อจะ ฉันขนมกุมาสบูด แม้เราเห็นกับตาก็ไม่เชื่อ ทนไม่ได้ พ่อรัฐปาละ พวกเรา นั้นมีทรัพย์อยู่หนอ มิใช่ไม่มีทรัพย์ พ่อควรไปเรือนของตัวมิใช่หรือ ?
คฤหบดียืนจับที่ขอบปากบาตรของพระเถระ แล้วกล่าวคำข้างต้น เมื่อบิดายืนจับที่ขอบปากบาตรอยู่นั้น พระเถระก็ฉันขนมนั้น ขนมนั้นส่งกลิ่นบูดเหม็นเหมือนฟองไข่เน่า เป็นเช่นกับรากสุนัข เล่าว่าปุถุชนก็ไม่อาจกินขนมเช่นนั้นได้ แต่พระเถระ ฉันเหมือนกับอาหารปกติ ครั้นฉันเสร็จแล้วจึงกรองน้ำด้วย ธรรมกรก ล้างบาตร ปาก และมือ แล้วท่านพระรัฐปาละตอบว่า
ดูกรคฤหบดี เรือนของอาตมภาพผู้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตจะมีที่ไหน อาตมภาพไม่มีเรือน อาตมภาพได้ไปถึงเรือนของท่านแล้ว แต่ที่เรือนของท่านนั้น อาตมภาพไม่ได้การให้ ไม่ได้คำตอบเลย ได้เพียงคำด่าอย่างเดียวเท่านั้น
มาไปเรือน มาเถิด พ่อรัฐปาละ
พระเถระ เพราะเป็นผู้ถือ เอกาสนิกังคธุดงค์ (ฉันมื้อเดียว) อย่างอุกฤษฏ์ จึงกล่าวปฏิเสธว่า
อย่าเลยคฤหบดี วันนี้อาตมภาพทำภัตตกิจเสร็จแล้ว
พ่อรัฐปาละ ถ้าอย่างนั้น ขอท่านจงรับภัตตาหารเพื่อฉันในวันพรุ่งนี้ ท่านพระรัฐปาละรับนิมนต์ด้วยดุษณีภาพแล้ว
พระเถระ โดยปกติเป็นผู้ถือ สปทานจาริกังคธุดงค์อย่างอุกฤษฏฺ์ (บิณฑบาตตามลำดับบ้าน) จึงปกติจะไม่รับนิมนต์ เพื่อฉันภิกษาในบ้าน ในวันรุ่งขึ้น แต่ที่รับก็เพราะประสงค์จะอนุเคราะห์มารดา ได้ยินว่า มารดาของพระเถระรำลึกแล้วรำลึกเล่าถึงพระเถระ ก็เกิดความโศกอย่างใหญ่ ร้องห่มร้องไห้มีดวงตาฟกซ้ำ เพราะฉะนั้น พระเถระคิดว่า ถ้าเราจักไม่ไปเยี่ยมมารดานั้น หัวใจของมารดาจะพึงแตก จึงรับด้วยความอนุเคราะห์
๐ พระรัฐปาลเข้าไปบ้านโยมบิดา
ลำดับนั้น บิดาของท่านพระรัฐปาละทราบว่า ท่านรัฐปาละรับนิมนต์แล้วเข้าไปยังนิเวศน์ของตน แล้วสั่งให้ฉาบไล้ที่แผ่นดินด้วยโคมัยสด แล้วให้ขนเงินและทองมากองเป็นกองใหญ่ แบ่งเป็นสองกอง คือ เงินกองหนึ่ง ทองกองหนึ่ง เป็นกองใหญ่อย่างที่บุรุษที่ยืนอยู่ข้างนี้ ไม่เห็นบุรุษที่ผู้ยืนข้างโน้น บุรุษที่ยืนข้างโน้นไม่เห็นบุรุษผู้ยืนข้างนี้ ฉะนั้น ให้ปิดกองเงินกองทอง นั้นด้วยเสื่อลำแพน ให้ปูลาดอาสนะไว้ท่ามกลาง แล้วแวดวงด้วยม่าน แล้วเรียกหญิงทั้งหลายที่เป็นภรรยาเก่าของท่านพระรัฐปาละมาว่า
ดูกรแม่สาวๆ ทั้งหลาย เจ้าทั้งหลาย ประดับด้วยเครื่องประดับสำรับใดมา จึงเป็นที่รักที่ชอบใจของรัฐปาลบุตรของเราแต่ก่อน จงประดับด้วยเครื่องประดับสำรับนั้น
ครั้นล่วงราตรีนั้นไป บิดาของท่านพระรัฐปาละ ได้สั่งให้ตกแต่งของเคี้ยวของฉัน อย่างประณีต แล้วใช้คนไปเรียนเวลาแก่ท่านพระรัฐปาละว่า ถึงเวลาแล้วพ่อรัฐปาละว่า ภัตตาหารสำเร็จแล้ว
ครั้งนั้น เวลาเช้า ท่านพระรัฐปาละ นุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปยังนิเวศน์ แห่งบิดาท่าน แล้วนั่งบนอาสนะที่เขาแต่งตั้งไว้ บิดาของท่านพระรัฐปาละสั่งให้เปิดกองเงินและทองนั้น แล้วได้กล่าวกะท่านพระรัฐปาละว่า
พ่อรัฐปาละ ทรัพย์กองนี้เป็นส่วนของมารดา กองอื่นเป็นส่วนของบิดา ส่วนของปู่อีกกองหนึ่ง เป็นของพ่อผู้เดียวพ่ออาจจะใช้สอยสมบัติ และทำบุญ ได้ พ่อจงลาสิกขาสึกเป็นคฤหัสถ์มาใช้สอยสมบัติ และทำบุญไปเถิด
ท่านพระรัฐปาละตอบว่า
ดูกรคฤหบดี ถ้าท่านพึงทำตามคำของอาตมภาพได้ ท่านพึงให้ เขาขนกองเงินกองทองนี้บรรทุกเกวียนให้เข็นไปจมเสียที่กลางกระแสแม่น้ำคงคา ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะความโศก ความร่ำไร ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส เพราะมีทรัพย์นั้นเป็นเหตุ จักเกิดขึ้นแก่ท่าน
ครั้นพระเถระกล่าวอย่างนั้น เศรษฐีคฤหบดีคิดว่า เรานำทรัพย์นี้มาด้วยหมายจะให้บุตรนี้สึก บัดนี้ บุตรนั้นกลับเริ่มสอนธรรม แก่เรา อย่าเลย เขาจักไม่ทำตามคำของเราแน่ แล้วจึงลุกขึ้นไปให้เปิดประตู ห้องภรรยาเก่าของบุตรนั้น ส่งคนไปบอกว่า ผู้นี้เป็นสามี พวกเจ้าจงไปทำ อย่างใดอย่างหนึ่ง พยายามจับตัวมาให้ได้ นางรำทั้งหลายผู้อยู่ในวัยทั้งสามออกไปล้อมพระเถระไว้ แล้วต่างจับท่านที่เท้าแล้วถามว่า พ่อผู้ลูกเจ้า นางฟ้าทั้งหลายผู้เป็นเหตุให้ท่านประพฤติพรหมจรรย์นั้นเป็นเช่นไร ?
เพราะเหตุไร นางรำเหล่านั้น จึงกล่าว อย่างนี้ ? ได้ยินว่า ครั้งนั้น คนทั้งหลายเห็น เจ้าหนุ่มบ้าง พราหมณ์หนุ่มบ้าง ลูกเศรษฐีบ้าง เป็นอันมาก ละสมบัติ ออกบวชกัน คนเหล่านั้นไม่รู้คุณของการบรรพชา จึงตั้งคำถามว่า เหตุไรคนเหล่านี้ จึงบวช คนอีกพวกหนึ่งจึงกล่าวว่า เพราะเหตุแห่งเทพอัปสร เทพนาฏกะ ถ้อยคำนั้นได้แพร่ไปอย่างกว้างขวาง นางฟ้อนรำเหล่านั้นทั้งหมด จึงจำถ้อยคำนั้นได้แล้วจึงกล่าวอย่างนี้
ท่านพระรัฐปาละตอบว่า
ดูกรน้องหญิง เราทั้งหลายประพฤติพรหมจรรย์เพราะเหตุนางฟ้าทั้งหลายหามิได้
หญิงเหล่านั้นเสียใจว่า รัฐปาละผู้ลูกเจ้าเรียกเราทั้งหลายด้วยวาทะว่า น้องหญิง ดังนี้สลบล้มอยู่ ณ ที่นั้น
ครั้งนั้น ท่านพระรัฐปาละได้กล่าวกะบิดาว่า
ดูกรคฤหบดี ถ้าจะพึงให้ โภชนะก็จงให้เถิด อย่าแสดงทรัพย์และส่งมาตุคามมาเบียดเบียนเราเลย อย่าให้อาตมภาพลำบากเลย
พระเถระ กล่าวอย่างนั่นเพราะเหตุว่าเพื่ออนุเคราะห์ มารดาบิดา เล่ากันว่า เศรษฐีนั้น สำคัญผิดว่า ขึ้นชื่อว่าเพศบรรพชิตแล้วย่อมเศร้าหมอง เราจักให้เปลื้องเพศบรรพชิตออก ให้อาบน้ำ บริโภคร่วมกันสามคน จึงไม่ถวายภิกษาแก่พระเถระ พระเถระคิดว่า ถ้ามารดาบิดากระทำเช่นนั้นแก่พระขีณาสพเช่นเรา ก็จะประสบสิ่งที่มิใช่บุญเป็นอันมาก จึงกล่าวอย่างนี้ ด้วยความอนุเคราะห์มารดาบิดานั้น
คฤหบดีได้ยินเช่นนั้นจึงกล่าวว่า บริโภคเถิด พ่อรัฐปาละ ภัตตาหารสำเร็จแล้ว
ถึงบิดาท่านพระรัฐปาละ ได้อังคาสท่านพระรัฐปาละด้วยของเคี้ยวของฉันอย่างประณีตให้อิ่มหนำด้วยมือของตนเสร็จแล้ว
๐ พระรัฐปาละแสดงธรรม
ครั้งนั้น ท่านพระรัฐปาละฉันเสร็จชักมือออกจากบาตรแล้วได้ยืนขึ้นกล่าวคาถาเหล่านี้ว่า
จงมาดูอัตภาพอันวิจิตร มีกายเป็นแผล อันคุมกันอยู่แล้ว กระสับกระส่าย เป็นที่ดำริของชนเป็นอันมาก ไม่มีความยั่งยืนมั่นคง
จงมาดูรูปอันวิจิตรด้วยแก้วมณีและกุณฑล มีกระดูกอันหนังหุ้มห่อไว้ งามพร้อมด้วยผ้า (ของหญิง) เท้าที่ย้อมด้วยสีแดงสด หน้าที่ไล้ทาด้วยจุณ พอจะหลอกคนโง่ให้หลงได้ แต่จะหลอกคนผู้แสวงหาฝั่งคือพระนิพพานไม่ได้
ผมที่แต่งงาม ตาที่เยิ้มด้วยยาหยอด พอจะหลอกคนให้หลงได้ แต่จะหลอกคนผู้แสวงหาฝั่งคือพระนิพพานไม่ได้
กายเน่าอันประดับด้วยเครื่องอลังการ ประดุจกล่องยาหยอดอันใหม่วิจิตร พอจะหลอกคนโง่ให้หลงได้ แต่จะหลอกคนผู้แสวงหาฝั่งคือพระนิพพานไม่ได้
ท่านเป็นดังพรานเนื้อวางบ่วงไว้ แต่เนื้อไม่ติดบ่วง เมื่อพรานเนื้อกำลังคร่ำครวญอยู่ เรากินแต่อาหารแล้วก็ไป
ครั้นท่านพระรัฐปาละยืนกล่าวคาถาเหล่านี้จบแล้ว จึงเหาะไปยังพระราชอุทยานมิคาจีระของพระเจ้าโกรัพยะ แล้วนั่งพักกลางวันอยู่ที่โคนไม้แห่งหนึ่ง การที่ท่านต้องเหาะไปเช่นนั้น เนื่องจากท่านทราบว่าเศรษฐีบิดาของพระเถระนั้น สั่งนักมวยปล้ำให้คุมอยู่ที่ซุ้มประตูทั้ง ๗ และคอยดูว่า ถ้าพระเถระจะออกไป ก็จงจับมือเท้าพระเถระไว้เปลื้องผ้ากาสายะออกให้ถือเพศคฤหัสถ์ เพราะฉะนั้น พระเถระจึงคิดว่า มารดาบิดานั้น จับมือเท้าพระมหาขีณาสพเช่นเรา จะพึงประสบสิ่งมิใช่บุญ ข้อนั้นอย่าได้มีแก่มารดาบิดาเลย จึงได้เหาะไป
ครั้งนั้น พระเจ้าโกรัพยะ ตรัสเรียกพนักงานรักษาพระราชอุทยานชื่อ มิควะมาเพื่อให้ตกแต่งสวนให้สะอาดงดงามเพราะมีพระประสงค์จะเสด็จประพาสอุทยานนั้น
นายมิควะทูลรับพระเจ้าโกรัพยะ แล้วจึงชำระพระราชอุทยานมิคาจีระโดยกระทำทางไปพระราชอุทยานให้เสมอ ให้ถากสถานที่ที่ควรจะถาก ให้กวาดสถานที่ที่ควรจะกวาด และกระทำการเกลี่ยทรายโรยดอกไม้ ตั้งหม้อน้ำเต็ม ตั้งต้นกล้วยเป็นต้น ไว้ภายในพระราชอุทยาน จึงได้เห็นพระรัฐปาละ ซึ่งนั่งพักกลางวันอยู่ที่โคนไม้แห่งหนึ่ง คนเฝ้าสวนคิดว่า พระราชาของเรา ตรัสชมกุลบุตร ผู้นี้อยู่เสมอ ทรงมีพระประสงค์จะพบแต่ไม่ทรงทราบว่ากุลบุตรผู้นั้นมาแล้ว เพราะฉะนั้น เราจักไปกราบทูลพระราชา จึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าโกรัพยะ แล้วได้กราบทูลว่า
ขอเดชะ พระราชอุทยานมิคาจีระของพระองค์หมดจดแล้วและในพระราชอุทยานนี้มีกุลบุตรชื่อ รัฐปาละ ผู้เป็นบุตรแห่งตระกูลเลิศในถุลลโกฏฐิตนิคมนี้ ที่พระองค์ทรงสรรเสริญอยู่เสมอๆ นั้น เธอนั่งพักกลางวันอยู่ที่โคนไม้แห่งหนึ่ง
พระเจ้าโกรัพยะตรัสว่า
ดูกรเพื่อนมิควะ ถ้าเช่นนั้น ควรจะไปยังพื้นสวนเดี๋ยวนี้เราทั้งสองจักเข้าไปหารัฐปาละผู้เจริญนั้นในบัดนี้
ครั้งนั้น พระเจ้าโกรัพยะรับสั่งว่า ของควรเคี้ยวควรบริโภคสิ่งใดอันจะตกแต่งไปในสวนนั้น ท่านทั้งหลายจงแจกจ่ายของสิ่งนั้นทั้งสิ้นเสียเถิด ดังนี้แล้ว รับสั่งให้เทียมพระราชยานชั้นดี เสด็จออกจากถุลลโกฏฐิตนิคมด้วยพระราชยานที่ดีๆ ด้วยราชานุภาพอันยิ่งใหญ่ เพื่อจะพบท่านพระรัฐปาละ
ท้าวเธอเสด็จพระราชดำเนิน โดยกระบวนยานพระที่นั่งไปจนสุดทางเสด็จลงทรงพระดำเนินด้วยบริษัทชนสูงๆ เข้าไปหาท่านพระรัฐปาละ แล้วทรงปราศรัยกับท่านพระรัฐปาละ ครั้นผ่านปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว ได้ประทับยืนอยู่ ณ ที่อันสมควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วรับสั่งว่า เชิญท่านรัฐปาละผู้เจริญนั่งบนเครื่องลาดนี้เถิด
ท่านพระรัฐปาละถวายพระพรว่า
ดูกรมหาบพิตร อย่าเลย เชิญมหาบพิตร นั่งเถิดอาตมภาพนั่งที่อาสนะของอาตมภาพดีแล้ว พระเจ้าโกรัพยะประทับนั่งบนอาสนะที่พนักงานจัดถวาย
ท่านพระรัฐปาละถวายพระพรว่า
ดูกรมหาบพิตร อย่าเลย เชิญมหาบพิตร นั่งเถิดอาตมภาพนั่งที่อาสนะของอาตมภาพดีแล้ว พระเจ้าโกรัพยะประทับนั่งบนอาสนะที่พนักงานจัดถวาย
๐ พระรัฐปาลเถระแสดงธรรมถวายพระเจ้าโกรัพยะ
ความเสื่อม ๔
ครั้นพระเจ้าโกรัพยะประทับนั่งแล้ว ได้ตรัสกะท่านพระรัฐปาละว่า
ท่านรัฐปาละผู้เจริญ ความเสื่อม ๔ ประการนี้ คือ ความเสื่อมเพราะชรา ๑ ความเสื่อมเพราะความเจ็บไข้ ๑ ความเสื่อมจากโภคสมบัติ ๑ ความเสื่อมจากญาติ ๑ คนบางพวกในโลกนี้เมื่อประสพความเสื่อมเหล่านี้แล้ว ย่อมปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต
ท่านรัฐปาละ ความเสื่อม ๔ ประการนี้ ที่คนบางพวกในโลกนี้ถึงเข้าแล้ว จึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ท่านรัฐปาละไม่ได้มีความเสื่อมเหล่านั้นเลย
ท่านรัฐปาละรู้เห็นหรือได้ฟังอะไร จึงออกจากเรือนบวชเป็น บรรพชิตเสียเล่า ?
ธัมมุทเทส ๔
ท่านพระรัฐปาละถวายพระพรว่า มีอยู่แล มหาบพิตร พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ทรงแสดงธัมมุทเทส ๔ ข้อ ที่อาตมภาพรู้เห็นและได้ฟังแล้ว จึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต
ธัมมุทเทส ๔ ข้อเป็นไฉน ? คือ
๑. โลกอันชรานำเข้าไปไม่ยั่งยืน
๒. โลกไม่มีผู้ต้านทาน ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตน
๓. โลกไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องละสิ่งทั้งปวงไป
๔. โลกบกพร่องอยู่เป็นนิตย์ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา
ดูกรมหาบพิตร ธัมมุทเทส ๔ ข้อนี้แล อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงแล้ว ที่อาตมภาพรู้เห็นและได้ฟังแล้ว จึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต
พระรัฐปาละกล่าวนิคมคาถา
ท่านรัฐปาละได้กล่าวคำนี้แล้ว ครั้นแล้ว ภายหลังได้กล่าวคาถาประพันธ์นี้อื่นอีกว่า
เราเห็นมนุษย์ทั้งหลายในโลก ที่เป็นผู้มีทรัพย์ ได้ทรัพย์แล้วย่อมไม่ให้เพราะความหลง โลภแล้วย่อมทำการสั่งสมทรัพย์และยังปรารถนากามทั้งหลายยิ่งขึ้นไป พระราชาทรงแผ่อำนาจชำนะตลอดแผ่นดิน ทรงครอบครองแผ่นดินมีสาครเป็นที่สุดมิได้ทรงรู้จักอิ่มเพียงฝั่งสมุทรข้างหนึ่ง ยังทรงปรารถนาฝั่งสมุทร ข้างโน้นอีก พระราชาและมนุษย์เหล่าอื่นเป็นอันมาก ยังไม่สิ้นความทะเยอทะยาน ย่อมเข้าถึงความตาย เป็นผู้พร่องอยู่ ละร่างกายไปแท้ ความอิ่มด้วยกามย่อมไม่มีในโลกเลย
อนึ่ง ญาติทั้งหลายพากันสยายผมคร่ำครวญถึงผู้นั้น พากันกล่าวว่า ได้ตายแล้วหนอ พวกญาตินำเอาผู้นั้นคลุมด้วยผ้าไปยกขึ้นเชิงตะกอนแต่นั้นก็เผากัน ผู้นั้น เมื่อกำลังถูกเขาเผา ถูกแทงอยู่ด้วยหลาวมีแต่ผ้าผืนเดียว ละโภคสมบัติไปญาติก็ดี มิตรก็ดี หรือสหายทั้งหลายเป็นที่ต้านทานของบุคคลผู้จะตายไม่มี ทายาททั้งหลาย ก็ขนเอาทรัพย์ของผู้นั้นไป ส่วนสัตว์ย่อมไปตามกรรม ที่ทำไว้ ทรัพย์อะไรๆ ย่อมติดตามคนตายไปไม่ได้ บุตรภรรยาทรัพย์และแว่นแคว้นก็เช่นนั้น
บุคคลย่อมไม่ได้อายุยืนด้วยทรัพย์ และย่อมไม่กำจัดชราได้ด้วยทรัพย์ นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวชีวิตนี้ว่าน้อยนัก ว่าไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ทั้งคนมั่งมี ทั้งคนยากจน ย่อมกระทบผัสสะ ทั้งคนพาล ทั้งนักปราชญ์ ก็กระทบผัสสะเหมือนกัน แต่คนพาลย่อมนอนหวาดอยู่ เพราะความที่ตนเป็นพาลส่วนนักปราชญ์อันผัสสะถูกต้องแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหว
เพราะเหตุนั้นแลปัญญา จึงประเสริฐกว่าทรัพย์ ปัญญาเป็นเหตุถึงที่สุดในโลกนี้ได้ คนเป็นอันมาก ทำบาปกรรมเพราะความหลงในภพน้อยภพใหญ่เพราะไม่มีปัญญาเครื่องให้ถึงที่สุดสัตว์ที่ถึงการท่องเที่ยวไปมาย่อมเข้าถึงครรภ์บ้าง ปรโลกบ้าง ผู้อื่นนอกจากผู้มีปัญญานั้นย่อมเชื่อได้ว่า จะเข้าถึงครรภ์และปรโลก หมู่สัตว์ผู้มีบาปธรรม ละโลกนี้ไปแล้วย่อมเดือดร้อน เพราะกรรมของตนเองในโลกหน้า เปรียบเหมือนโจรผู้มีความผิด ถูกจับเพราะโจรกรรม มีตัดช่อง เป็นต้น ย่อมเดือดร้อนเพราะกรรมของตนเอง ฉะนั้น ความจริง กามทั้งหลายวิจิตร รสอร่อยเป็นที่รื่นรมย์ใจ ย่อมย่ำยีจิต ด้วยรูปมีประการต่างๆ
มหาบพิตร อาตมาภาพเห็นโทษในกามทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นจึงบวชเสียสัตว์โลกทั้งหลาย ทั้งหนุ่มทั้งแก่ เมื่อสรีระทำลายไป ย่อมตกตายไป เหมือนผลไม้ทั้งหลายที่ร่วงหล่นไป มหาบพิตร อาตมภาพรู้เหตุนี้จึงบวชเสีย ความเป็นสมณะ เป็นข้อปฏิบัติอันไม่ผิด เป็นผู้ประเสริฐแท้ ดังนี้แล
๐ ทรงแต่งตั้งพระรัฐปาลเถระเป็นเอตทัคคะ
ผู้เลิศของภิกษุทั้งหลายผู้บวชด้วยศรัทธา
ต่อมา ภายหลังพระศาสดาประทับนั่งท่ามกลางพระอริยสงฆ์ ทรงสถาปนาพระเถระไว้ในตำแหน่งเป็นยอดของเหล่ากุลบุตรผู้บวชด้วยศรัทธาในศาสนานี้ ทั้งนี้ด้วยเหตุ ๒ ประการคือ ท่านพระรัฐปาละนั้น เมื่อได้ฟังธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว ได้มีศรัทธาที่จะบวช กระทำการรอดข้าวถึง ๗ วัน มารดาบิดาจึงยอมอนุญาตให้บวชได้ และ โดยเหตุที่ท่านได้ตั้งความปรารถนาไว้ตลอดแสนกัป ตามเรื่องที่จะกล่าวไว้ข้างต้น
๐ พระรัฐปาลเถระปรินิพพาน
ไม่มีรายละเอียดว่า ท่านปรินิพพานอย่างไร ทราบเพียงว่า ท่านปรินิพพานหลังพระผู้มีพระภาค
.............................................................
คัดลอกมาจาก ::
http://www.dharma-gateway.com/
http://www.manager.co.th/Dhamma/
|
Update : 17/4/2554
|
|