หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    ประเพณีการทอดกฐิน

    Image

    ประเพณีการทอดกฐิน

    “เดือนสิบเอ็ดเสร็จธุระพระพรรษา
    ชาวพาราเซ้งแช่แห่กฐิน
    ลงเรือเพียบพายยกเหมือนนกบิน
    กระแสสินธ์ สาดปรายกระจายฟอง
    สนุกสนานขานยาวฉาวสนั่น
    บ้างแข่งขันต่อสู้เป็นคู่สอง
    แพ้ชนะปะตาพูดจาลอง
    ตามทำนองเล่นกฐินสิ้นทุกปี”
    (นิราศเดือน)

    “พอแต่เหลียวขึ้นฟ้าเห็นแต่ว่าวเดือนสิบสอง
    ลมคะนองเชยพัดง่า ยม กะเลยม้วน
    พอสมควรกะหาผ้ากฐินทานมาทอด
    ตลอดเดือนหนึ่งหาได้ดั่งประสงค์
    หลวงปู่พรหมไปหาผ้าหลวงตาสีหาน้ำครั่ง
    หลวงปู่สอนนั่งสอดด้ายขวาซ้ายเข้าซ่อยกัน
    พอแต่ตกบ่อนบั้นโลกมันเปลี่ยนเวียนผัน
    ปัจจุบันกะเลยโยมเป็นคนเฮ็ดแห่แหนแพนกั้ง
    ต่างกะหวังเต็มที่ทำความดีบ่ดูหมิ่น
    บุญกฐินซ่อยค้ำทานทอดให้หมู่สงฆ์”
    (บทผญาอีสาน)


    การทอดกฐิน เป็นประเพณีสำหรับพุทธศาสนิกชนที่มีศรัทธาเลื่อมใส ประสงค์จะทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และส่งเสริมให้พระภิกษุได้ปฏิบัติตามพระวินัย ซึ่งถือปฏิบัติมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลกระทั่งถึงปัจจุบัน เป็นการเพิ่มพูนบุญกุศลซึ่งนำความสุขมาให้ เป็นงานบุญที่มีปีละครั้ง ท่านจึงจัดเป็นกาลทาน แปลว่า “ถวายตามกาลสมัย” ประชาชนชาวไทยจัดพิธีนี้อย่างสนุกสนาน ดังคำกลอนและบทผญาอีสานข้างต้นนั้น

    กฐินแปลว่าอะไร ?

    กฐิน มีความหมาย 4 ประการ ดังนี้

    (1) กฐินที่เป็นชื่อของกรอบไม้

    “กฐิน” หมายถึง ไม้สะดึง คือกรอบไม้แบบชนิดหนึ่งสำหรับขึงผ้าให้ตึง เพื่อเป็นอุปกรณ์สำหรับใช้เป็นเครื่องมือเย็บจีวร ซึ่งมีลักษณะเป็นวงกลม เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ในสมัยก่อน การเย็บจีวรต้องใช้ไม้สะดึงขึงให้ตึงก่อนแล้วจึงเย็บ เพราะช่างยังไม่มีความชำนาญเหมือนสมัยปัจจุบันนี้ และเครื่องมือในการเย็บก็ยังไม่เพียงพอเหมือนจักรเย็บผ้าในปัจจุบัน การทำจีวรในสมัยโบราณจะเป็นผ้ากฐิน หรือแม้แต่จีวรอันมิใช่ผ้ากฐิน ถ้าภิกษุทำเอง ก็จัดเป็นงานเอิกเกริกทีเดียว

    การทำผ้าโดยอาศัยแม่แบบเช่นนี้ คือ ทาบผ้าลงไปกับแม่แบบ ตัด เย็บ ย้อม ตากให้แห้ง ควรแก่การใช้ได้ให้เสร็จภายในวันเดียว ด้วยความสามัคคีของพระสงฆ์ เป็นการร่วมแรงร่วมใจกันทำกิจที่เกิดขึ้น เมื่อทำเสร็จหรือพ้นกำหนดกาลแล้ว แม่แบบหรือกฐินนั้น ก็รื้อเก็บไว้ใช้ในการทำผ้าเช่นนั้นอีกในปีต่อๆ ไป การรื้อแบบไว้เรียกว่า เดาะ ฉะนั้นคำว่า กฐินเดาะหรือเดาะกฐิน จึงหมายถึงการรื้อไม้แม่แบบเพื่อเก็บไว้ใช้ในโอกาสต่อไป

    ตำนานกล่าวไว้ว่า การเย็บจีวรนั้น พระเถรานุเถระ 80 รูป ต่างมาช่วยพระอนุรุทธะเย็บจีวร พระมหากัสสปะนั่งหัวแถว พระสารีบุตรนั่งกลาง พระอานนท์นั่งท้ายสุด ภิกษุรูปอื่นๆ ช่วยกรอด้าย พระพุทธเจ้าทรงร้อยด้าย ส่วนพระโมคคัลลานะจัดหาเสบียงมาถวายพระเถระผู้ร่วมทำจีวร ภิกษุสามเณรอื่นๆ ก็ช่วยขวนขวายในการเย็บจีวร อุบาสกอุบาสิกาก็จัดหาน้ำดื่ม เป็นต้น มาถวายพระภิกษุสงฆ์ มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน

    โดยนัยนี้ การเย็บจีวรแม้โดยธรรมดา ก็เป็นการต้องช่วยกันทำหลายผู้หลายองค์ (ไม่เหมือนในปัจจุบัน ซึ่งมีจีวรสำเร็จรูปมาแล้ว)

    (2) กฐินที่เป็นชื่อของผ้า

    “กฐิน” หมายถึง ผ้าที่ถวายใช้เป็นกฐินภายในกำหนดกาล 1 เดือน นับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ผ้าที่จะถวายนั้นจะเป็นผ้าใหม่ หรือผ้าเทียมใหม่ เช่น ผ้าฟอกสะอาด หรือผ้าเก่า หรือผ้าบังสุกุล คือผ้าที่เขาทิ้งแล้ว และเป็นผ้าเปื้อนฝุ่นหรือผ้าตกตามร้านก็ได้ ผู้ถวายจะเป็นคฤหัสถ์ก็ได้ เป็นพระภิกษุหรือสามเณรก็ได้ ถวายแก่พระสงฆ์แล้วก็เป็นอันใช้ได้

    (3) กฐินที่เป็นชื่อของบุญกิริยา

    “กฐิน” คือ การทำบุญถวายผ้ากฐินเป็นทานแก่พระสงฆ์ ผู้จำพรรษาอยู่ในวัดใดวันหนึ่งครบ 3 เดือน เพื่อสงเคราะห์พระสงฆ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ ให้มีผ้านุ่งหรือผ้าห่มใหม่ จะได้ใช้ผลัดเปลี่ยนของเก่าที่จะขาดหรือชำรุด

    การทำบุญถวายผ้ากฐินหรือที่เรียกว่า การทอดกฐิน คือ การนำผ้ากฐินไปทอดหรือไปวางไว้ต่อหน้าพระสงฆ์อย่างต่ำห้ารูป กล่าวคำถวายในท่ามกลางสงฆ์ แล้วให้พระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่ง ที่ได้รับมอบหมายจากคณะสงฆ์ทั้งนั้นเป็นเอกฉันท์ ให้เป็นผู้รับกฐินนั้น เรียกได้ว่าเป็นกาลทาน คือการถวายทานที่ทำได้เฉพาะกาล 1 เดือน ท่านจึงถือว่าหาโอกาสทำได้ยาก

    (4) กฐินที่เป็นชื่อของสังฆกรรม

    “กฐิน” คือ กิจกรรมของสงฆ์ ก็จะต้องมีการสวดประกาศขอรับความเห็นชอบจากที่ประชุมสงฆ์ ในการมอบผ้ากฐินให้แก่พระภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง เมื่อทำจีวรสำเร็จแล้วด้วยความร่วมมือของพระภิกษุทั้งหลาย ก็จะได้เป็นโอกาสให้ได้ช่วยกันทำจีวรของพระภิกษุรูปอื่น ขยายเวลาทำจีวรได้อีก 4 เดือน ทั้งนี้เพราะในสมัยพุทธกาลการหาผ้า การทำจีวรทำได้โดยยาก ไม่ทรงอนุญาตให้เก็บสะสมผ้าไว้เกิน 10 วัน แต่เมื่อได้ช่วยกันทำสังฆกรรมเรื่องกฐินแล้ว อนุญาตให้แสวงหาผ้า และเก็บผ้าไว้ทำเป็นจีวรได้จนตลอดฤดูหนาว คือจนถึงวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 4

    ดังนั้น จะเห็นได้ว่าความหมายของคำว่ากฐิน มีความเกี่ยวข้องกันทั้ง 4 ประการ เมื่อสงฆ์ทำสังฆกรรมเรื่องกฐินเสร็จแล้ว และประชุมกันอนุโมทนากฐิน คือแสดงความพอใจว่าได้กรานกฐินเสร็จแล้ว ก็เป็นอันเสร็จพิธี

    กฐินในปัจจุบัน มีผู้ถวายผ้ามากขึ้น มีผู้สามารถตัดเย็บย้อมผ้าที่จะทำเป็นจีวรได้แพร่หลายขึ้น การใช้กรอบไม้แม่แบบอย่างเก่าจึงเลิกไป เพียงแต่รักษาชื่อประเพณีไว้โดยไม่ต้องใช้กรอบไม้แม่แบบ เพียงถวายผ้าขาวให้ตัด เย็บ ย้อม ตากให้แห้ง ควรแก่การใช้ได้ให้เสร็จภายในวันเดียว หรืออีกอย่างหนึ่งคือ นำผ้าสำเร็จรูปมาถวายก็เรียกว่า “ถวายผ้ากฐิน” เหมือนกัน

    อีกทั้ง เนื่องจากยังมีประเพณีนิยมถวายผ้ากฐินกันแพร่หลายไปทั่วประเทศไทย จึงนับว่าเป็นประเพณีนิยมในการบำเพ็ญกุศลที่ยังขึ้นหน้าขึ้นตาเป็นสาธารณะประโยชน์ ร่วมกับการบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอารามไปในขณะเดียวกัน

    เหตุที่ทรงอนุญาตกฐิน

    ในสมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับอยู่ ณ วัดพระเชตวัน เขตพระนครสาวัตถี มีพระภิกษุชาวเมืองปาฐา (อยู่ด้านทิศปัจฉิม ในแคว้นโกศล) ประมาณ 30 รูป ล้วนถือธุดงควัตรทั้ง 13 ข้อ อาทิเช่น อารัญญิกังคธุดงค์ คือถือการอยู่ป่าเป็นวัตร, ปิณฑปาติกังคธุดงค์ คือถือการบิณฑบาตเป็นวัตร, และเตจจีวริกังคธุดงค์ คือถือผ้า 3 ผืน (ไตรจีวร) เป็นวัตร เป็นต้น อันมีปฏิปทาน่าเลื่อมใส ปฏิบัติเคร่งครัดในพระธรรมวินัย มีความตั้งใจจะพากันไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ ซึ่งจำพรรษาในเมืองสาวัตถี

    แต่ต้องเดินทางไกล พอไปถึงเมืองสาเกต ซึ่งมีระยะทางห่างจากเมืองสาวัตถีประมาณ 6 โยชน์ ก็เผอิญถึงฤดูกาลเข้าพรรษาเสียก่อน เดินทางต่อไปไม่ได้ พระภิกษุเหล่านั้นจึงตกลงกันอธิษฐานใจอยู่จำพรรษา ณ เมืองสาเกต ตลอดไตรมาส ภิกษุเหล่านั้นจำพรรษาด้วยมีใจรัญจวนว่า พระพุทธเจ้าประทับอยู่ใกล้ๆ ระยะทางห่างเพียง 6 โยชน์ แต่ก็ไม่ได้เฝ้าพระองค์ ครั้นล่วง 3 เดือน ออกพรรษาทำปวารณาเสร็จแล้ว ก็เดินทางไปเมืองสาวัตถีโดยเร็ว

    การที่พระผู้มีพระภาคทั้งหลายทรงปราศรัยกับพระอาคันตุกะทั้งหลายนั้น เป็นพุทธประเพณี ครั้งนั้นพระพุทธองค์ได้ตรัสถามถึงสุขทุกข์และความก้าวหน้าแห่งการปฏิบัติธรรม ด้วยพระสุรเสียงที่เปี่ยมด้วยพระเมตตา พระภิกษุเหล่านั้นต่างพากันกราบทูลให้ทรงทราบถึงความลำบากตรากตรำในระหว่างเดินทางของตน เพราะอยู่ในช่วงฤดูฝน มีจีวรเก่า พากันเดินเหยียบย่ำโคลนตม จีวรเปรอะเปื้อนโคลนเปียกชุ่มด้วยน้ำฝน

    พระพุทธองค์ทรงทราบความลำบากของพระภิกษุเหล่านั้น และเห็นว่า “กฐินตฺถาโร จ นาเมส สพฺพพุทฺเธหิ อนุญฺญาโต” การกรานกฐินนี้ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ได้ทรงอนุญาตมา ดังนั้น จึงทรงอนุญาตให้พระภิกษุผู้ที่อยู่จำพรรษาครบ 3 เดือนแล้ว รับผ้ากฐินของผู้มีจิตศรัทธาถวายได้ เมื่อได้รับแล้วมีความสามัคคีร่วมกันทำให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย จะได้รับอานิสงส์หรือความยกเว้นในการผิดพระธรรมวินัย 5 ประการ นางวิสาขามหาอุบาสิกาได้ทราบพระบรมพุทธานุญาต และได้ถวายผ้ากฐินเป็นบุคคลแรก

    ผ้ากฐิน

    ผ้าที่พระบรมพุทธานุญาตให้ใช้เป็นผ้ากฐินได้นั้น มีดังนี้คือ ผ้าใหม่ ๑ ผ้ากลางเก่ากลางใหม่ ๑ ผ้าเก่า ๑ ผ้าบังสุกุล ๑ ผ้าที่มีขายอยู่ตามร้านตลาด ๑ ซึ่งผ้าเหล่านี้เอามาทำเป็นผ้ากฐินได้

    ส่วนผ้าที่เอามาทำเป็นผ้ากฐินไม่ได้ คือ ผ้าที่ยืมเขามา ๑ ผ้าที่ทำนิมิตได้มา ๑ ผ้าที่พูดเลียบเคียงได้มา ๑ ผ้าเป็นนิสัคคีย์ ๑ ผ้าที่ขโมยมา ๑

    เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว ผ้าที่เอามาทำเป็นผ้ากฐินได้คือ ผ้าที่ได้มาโดยชอบหรือโดยสุจริต ส่วนผ้าที่เอามาทำเป็นผ้ากฐินไม่ได้คือ ผ้าที่ได้มาโดยมิชอบหรือโดยทุจริต

    Image

    ประเภทของกฐิน

    แบ่งกฐินออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ กฐินหลวง และกฐินราษฎร์

    กฐินหลวง

    ประวัติกล่าวไว้ว่า เมื่อพระพุทธศาสนาได้เข้ามาประดิษฐานในประเทศไทย และประชาชนคนไทยที่ตั้งหลักแหล่งอยู่ในผืนแผ่นดินไทย ได้ยอมรับนับถือพระพุทธศาสนาว่าเป็นศาสนาประจำชาติแล้ว การทอดกฐินก็ได้กลายเป็นประเพณีของบ้านเมืองมาโดยลำดับ

    พระเจ้าแผ่นดินผู้ปกครองบ้านเมืองได้ทรงรับเรื่องกฐินนี้ขึ้นเป็นพระราชพิธีอย่างหนึ่ง ซึ่งทรงบำเพ็ญเป็นการประจำเมื่อถึงเทศกาลทอดกฐิน การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเกี่ยวกับกฐินโดยรับขึ้นเป็นพระราชพิธีนี้ เป็นเหตุให้เรียกกันว่า “กฐินหลวง” วัดใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นพระอารามหลวง (วัดหลวง) หรือวัดราษฎร์ หากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปทรงถวายผ้าพระกฐินแล้ว เรียกว่า “กฐินหลวง” ทั้งสิ้น มิใช่กำหนดว่าทอดที่พระอารามหลวง (วัดหลวง) เท่านั้น จึงจะเรียกว่ากฐินหลวง

    แต่สมัยต่อมา เรื่องของกฐินหลวงได้เปลี่ยนไปตามภาวการณ์ของบ้านเมือง เช่น ประชาชนมี ศรัทธาเจริญรอยตามพระราชศรัทธาของพระเจ้าแผ่นดิน ได้รับพระมหากรุณาให้ถวายผ้าพระกฐินได้ตามสมควรแก่ฐานะ เป็นเหตุให้แบ่งแยก “กฐินหลวง” ออกเป็นประเภทๆ ดังปรากฏในปัจจุบัน ดังนี้คือ

    (1) กฐินที่กำหนดเป็นพระราชพิธี
    (2) กฐินต้น
    (3) กฐินพระราชทาน

    (1) กฐินที่กำหนดเป็นพระราชพิธี

    เป็นกฐินที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จพระราชดำเนินไปถวายผ้าพระกฐินด้วยพระองค์เอง หรือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ หรือองคมนตรี หรือผู้ที่ทรงเห็นสมควร เป็นผู้แทนพระองค์นำผ้าพระกฐินพระราชทานไปทอดถวาย ณ พระอารามหลวง (วัดหลวง) ที่สำคัญๆ ทั้งในกรุงเทพมหานครและส่วนภูมิภาค ซึ่งทางราชการกำหนดขึ้น มีทั้งหมด 16 วัด เป็นประจำทุกปี

    กฐินที่กำหนดเป็นพระราชพิธีนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สำนักพระราชวังออกหมายกำหนดการเสด็จพระราชดำเนินไว้อย่างเรียบร้อย เป็นประจำทุกปี จึงไม่มีการจองล่วงหน้า

    พระอารามหลวง (วัดหลวง) 16 วัด มีดังนี้คือ

    ในกรุงเทพมหานคร

    1. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กทม.
    2. วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กทม.
    3. วัดสุทัศน์เทพวราราม กทม.
    4. วัดบวรนิเวศวิหาร กทม.
    5. วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กทม.
    6. วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กทม.
    7. วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม กทม.
    8. วัดเทพศิรินทราวาส กทม.
    9. วัดราชาธิวาส กทม.
    10. วัดมกุฎกษัตริยาราม กทม.
    11. วัดอรุณราชวราราม กทม.
    12. วัดราชโอรสาราม กทม.

    ในส่วนภูมิภาค

    13. วัดพระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม
    14. วัดสุวรรณดาราราม จ.พระนครศรีอยุธยา
    15. วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ จ.พระนครศรีอยุธยา
    16. วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จ.พิษณุโลก

    (2) กฐินต้น

    เป็นกฐินที่เกิดขึ้นเพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดที่มิใช่พระอารามหลวง (วัดหลวง) แต่เป็นวัดราษฎร์วัดใดวัดหนึ่ง และมิได้เสด็จไปอย่างเป็นทางราชการหรืออย่างเป็นพระราชพิธี แต่เป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลส่วนพระองค์ โดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้

    - เป็นวัดที่ยังไม่เคยเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินมาก่อน

    - ประชาชนมีความเลื่อมใสในวัดนั้นมาก

    - ประชาชนในท้องถิ่นนั้นไม่ค่อยมีโอกาสได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เมื่อเสด็จพระราชดำเนินไป จะได้มีโอกาสเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอย่างใกล้ชิดด้วย

    พลตรีหม่อมทวีวงศ์ถวัลยศักดิ์ (ม.ร.ว.เฉลิมลาภ ทวีวงศ์) ได้เล่าประวัติเรื่องการเกิดขึ้นของกฐินต้นไว้ว่า “กฐินส่วนพระองค์นี้ ในสมัยก่อนรัชกาลที่ 5 จะเรียกว่าอย่างไรนั้นยังไม่พบหลักฐาน มาเรียกกันว่ากฐินต้น ในรัชกาลที่ 5 ภายหลังที่ได้มีการเสด็จประพาสหัวเมืองต่างๆ เมื่อ พ.ศ. 2447 การเสด็จประพาสครั้งนั้น โปรดให้จัดให้ง่ายกว่าการเสด็จประพาสเพื่อสำราญพระราชอิริยาบถอย่างสามัญ คือโปรดไม่ให้มีท้องตราสั่งหัวเมืองให้จัดทำที่ประทับแรม ณ ที่ใดๆ พอพระราชหฤทัยจะประทับที่ไหนก็ประทับที่นั่น บางคราวก็ทรงเรือเล็กหรือเสด็จรถไฟไปโดยมิให้ใครรู้ การเสด็จประพาสครั้งนั้นเรียกว่า เสด็จประพาสต้น”

    ประพาสต้นนี่เอง ที่เป็นมูลเหตุให้เรียกการเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินเป็นการส่วนพระองค์ว่า “พระกฐินต้น”

    (3) กฐินพระราชทาน

    เป็นกฐินที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานผ้าพระกฐินของหลวงแก่ผู้ที่กราบบังคมทูลขอพระราชทาน เพื่อไปทอดถวาย ณ พระอารามหลวง (วัดหลวง) อื่นๆ ที่มิใช่ 16 วัดซึ่งทางราชการกำหนดขึ้นเป็นพระราชพิธี

    เหตุที่เกิดกฐินพระราชทาน ก็เพราะว่าปัจจุบันพระอารามหลวง (วัดหลวง) มีเป็นจำนวนมาก จึงเปิดโอกาสให้ข้าราชบริพาร ส่วนราชการ กระทรวง ทบวง กรม องค์กรเอกชน ตลอดจน คณะบุคคล หรือบุคคลที่สมควร รับพระราชทานผ้ากฐินไปถวายได้ และผู้ที่ได้รับพระราชทานจะเพิ่มไทยธรรมเป็นส่วนตนโดยเสด็จพระราชกุศล ตามกำลังศรัทธาด้วยก็ได้

    ปัจจุบัน ข้าราชบริพาร ส่วนราชการ กระทรวง ทบวง กรม องค์กรเอกชน คณะบุคคล หรือบุคคลใด มีความประสงค์จะรับพระราชทานผ้าพระกฐินไปถวาย ณ พระอารามหลวง (วัดหลวง) วัดใด ก็ติดต่อไปยังกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ ตามระเบียบ ซึ่งเท่ากับเป็นการจองกฐินไว้ก่อนนั่นเอง

    Image

    กฐินราษฎร์

    เป็นกฐินที่พุทธศาสนิกชนผู้มีศรัทธานำผ้ากฐินของตนไปทอด ณ วัดต่างๆ ซึ่งตนมีศรัทธาเป็นการเฉพาะ เว้นไว้แต่วัดที่ได้กล่าวมาแล้วในเรื่องกฐินหลวง การทอดกฐินของราษฎรตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นต้นมา จนกระทั่งปัจจุบัน มีชื่อเรียกแตกต่างกันคือ

    (1) กฐินหรือมหากฐิน
    (2) จุลกฐิน
    (3) กฐินสามัคคี
    (4) กฐินตกค้าง

    (1) กฐินหรือมหากฐิน

    เป็นกฐินที่ราษฎรหรือประชาชนนำไปทอด ณ วัดใดวัดหนึ่งซึ่งตนมีศรัทธาเป็นการเฉพาะ กล่าวคือ ท่านผู้ใดมีศรัทธาจะทอดกฐิน ณ วัดใด ก็นำผ้ากฐินจัดเป็นองค์กฐิน อาจถวายของอื่นๆ ไปพร้อมกับองค์กฐิน เรียกกันว่า บริวารกฐิน ตามที่นิยมกันมีปัจจัย 4 คือ เครื่องอาศัยของพระภิกษุสามเณร มีไตรจีวร บริขารอื่นๆ ที่จำเป็น เป็นของที่สมควรแก่พระภิกษุสามเณรจะบริโภค นอกจากนี้ ยังมีธรรมเนียมที่เจ้าภาพจะต้องมีผ้าห่มพระประธาน และเทียนสำหรับจุดในเวลาที่พระภิกษุ สวดพระปาติโมกข์ ที่เรียกกันสั้นๆ ว่า เทียนปาติโมกข์ จำนวน 24 เล่ม และมีธงผ้าขาวเขียน รูปจระเข้หรือสัตว์น้ำอื่น เช่น ปลา นางเงือก สำหรับปักหน้าวัดที่อยู่ตามริมแม่น้ำ

    เมื่อทอดกฐินเสร็จแล้ว และมีธงผ้าขาวเขียนเป็นรูปตะขาบ ปักไว้หน้าวัด สำหรับวัดที่ตั้งอยู่บนดอยไกลแม่น้ำ เพื่อแสดงให้ทราบว่า วัดนั้นๆ ได้รับกฐินแล้วและอนุโมทนาร่วมกุศลด้วยได้ อนึ่ง ยังมีประเพณีนิยมอีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับเวลาของการทอดกฐิน ถ้าเป็นเวลาเช้าจะมีการทำบุญถวายอาหารเพลแก่พระภิกษุสามเณรในวัด

    (2) จุลกฐิน

    ปัจจุบันวัฒนธรรมประเพณีไทยหลายอย่าง ได้ค่อยๆ เลือนหายไปจากสังคมไทย หนึ่งในนั้นก็คือ ประเพณีจุลกฐิน หรือ กฐินน้อย ซึ่งเป็นกฐินที่ต้องทำให้เสร็จภายในวันเดียว เดิมเรียกว่า กฐินแล่น ความหมาย คือ เร่งรีบ ต้องแล่น (วิ่ง) จึงจะเสร็จทันกาล ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือและความสามัคคีของคนหมู่มาก จึงไม่ค่อยมีใครนิยมทำกันนัก

    ด้วยเป็นกฐินที่ต้องทำด้วยความเร่งรีบ เจ้าภาพผู้ที่จะทอดกฐินเช่นนี้ได้ ต้องมีพวกมาก มีกำลังมาก เพราะต้องเริ่มตั้งแต่การทำผ้าที่นำไปทอดตั้งแต่ต้น คือ เริ่มตั้งแต่นำฝ้ายที่แก่ใช้ได้แล้ว แต่ยังอยู่ในฝักมีปริมาณให้พอแก่การที่จะทำเป็นผ้าจีวรผืนใดผืนหนึ่งได้ แล้วทำพิธีสมมติว่าฝ้ายจำนวนนั้นได้มีการหว่าน แตกงอกออกต้น เติบโต ผลิดอก ออกฝัก แก่ สุก แล้วเก็บมาอิ้วเอาเมล็ดออก ดีดเป็นผง ทำเป็นเส้นด้าย เปียออกเป็นใจ กรอออกเป็นเข็ด แล้วฆ่าด้วยน้ำข้าว ตากแห้ง ใส่กงปั่นเส้นหลอด ใส่กระสวยเครือ แล้วทอเป็นแผ่นผ้าตามขนาดที่ต้องการ นำไปทอดเป็นผ้ากฐิน

    เมื่อพระสงฆ์รับผ้านั้นแล้ว มอบแก่พระภิกษุผู้เป็นองค์ครอง ซึ่งพระองค์ครองจะจัดการต่อไปตามพระวินัย หลังจากนั้นผู้ทอดต้องช่วยทำต่อ คือนำผ้านั้นมาขยำทุบซัก แล้วตากให้แห้ง นำมาตัดเป็นจีวรผืนใดผืนหนึ่ง แล้วเย็บย้อม ตากแห้ง พับ รีดเสร็จเรียบร้อย แล้วนำไปถวายองค์ครองอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ท่านทำพินทุอธิษฐาน เสร็จแล้วจะมีการประชุมสงฆ์แจ้งให้ทราบ พระภิกษุทั้งหมดจะอนุโมทนา เป็นเสร็จพิธี

    ในกรณีผู้ทอดจุลกฐินไม่มีกำลังมากพอ จะตัดตอนพิธีการในตอนต้นๆ ออกเสียก็ได้ โดยเริ่มด้วยการเอาผ้าขาวผืนใหญ่มากะประมาณให้พอที่จะตัดเป็นจีวรผืนใดผืนหนึ่ง แล้วนำไปทอด เมื่อพระภิกษุสงฆ์ท่านนำไปดำเนินการตามพระวินัยแล้ว ก็ช่วยทำต่อจากท่าน คือ ซัก ตัด เย็บ ย้อมให้เสร็จ แล้วนำกลับไปถวายองค์ครองเพื่อพินทุอธิษฐานต่อไป เหมือนวิธีที่กล่าวมาแล้ว

    อนึ่ง ข้อที่ควรกำหนดคือ จุลกฐินจะเป็นวิธีใดวิธีหนึ่งก็ตาม จะต้องทำให้เสร็จในวันเดียว เริ่มต้นตั้งแต่เวลาเช้าถึงย่ำรุ่งของวันรุ่งขึ้น คือต้องทำให้เสร็จก่อนรุ่งอรุณของวันใหม่ ไม่เช่นนั้นแล้วกฐินนั้นไม่เป็นกฐิน ส่วนบริวารของจุลกฐิน ผ้าห่มพระประธานและเทียนปาติโมกข์ ตลอดจน ธงจระเข้ ธงตะขาบ ก็คงเป็นเช่นที่กล่าวมาแล้วในเรื่องกฐินหรือมหากฐิน ในปัจจุบันนี้ไม่ค่อยนิยมทำกันแล้ว

    “วิธีทอดจุลกฐินนี้ มีปรากฏในหนังสือเรื่องคำให้การชาวกรุงเก่าว่า บางทีเป็นของหลวงทำในวันกลางเดือน 12 คือ ถ้าสืบรู้ว่าวัดไหนยังไม่ได้รับกฐิน ถึงวันกลางเดือน 12 อันเป็นที่สุดของพระบรมพุทธานุญาตซึ่งพระสงฆ์จะรับกฐินได้ในปีนั้น จึงทำผ้าจุลกฐินไปทอด มูลเหตุของจุลกฐินคงเกิดแต่จะทอดในวันที่สุดเช่นนี้ จึงต้องรีบร้อนขวนขวายทำให้ทัน เห็นจะเป็นประเพณีมีมาเก่าแก่ เพราะถ้าเป็นชั้นหลังก็จะเที่ยวหาซื้อผ้าไปทอดได้ หาพักต้องทอใหม่ไม่”

    (3) กฐินสามัคคี

    เป็นกฐินที่มีเจ้าภาพหลายคนร่วมกัน แต่เพื่อไม่ให้การจัดงานยุ่งยากมากเกินไป ก็มักจะตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่งดำเนินการ แล้วมีหนังสือบอกบุญไปยังผู้อื่นด้วย เมื่อได้ปัจจัยมาเท่าไรก็จัดผ้าอันเป็นองค์กฐิน รวมทั้งบริวาร ปัจจัยที่เหลือก็ถวายวัด เพื่อทางวัดจะนำไปใช้จ่ายในทางที่ควร กฐินสามัคคีนี้มักนำไปทอดยังวัดที่กำลังมีการก่อสร้างหรือกำลังบูรณปฎิสังขรณ์ เพื่อสมทบทุนให้สิ่งอันพึงประสงค์ของวัดสำเร็จ

    (4) กฐินตกค้าง

    กฐินนี้มีชื่อเรียกอีกว่า กฐินตก, กฐินโจร

    ศาสตราจารย์พระยาอนุมานราชธน ได้กล่าวถึงเหตุผลที่เกิดกฐินตกค้างนี้ว่า “แต่ที่ทำกันเช่นนี้ ทำกันอยู่ในท้องถิ่นที่มีวัดมาก ซึ่งอาจมีวัดตกค้างไม่มีใครทอดก็ได้ จึงมักมีผู้ศรัทธาไปสืบเสาะหาวัดอย่างนี้เพื่อทอดกฐิน ตามปกติในวันใกล้ๆ จะสิ้นหน้าทอดกฐินหรือในวันสุดท้าย คือวันก่อนแรมค่ำหนึ่งของเดือน 12 ทอดกฐินอย่างนี้เรียกกันว่า กฐินตกค้าง หรือเรียกว่า กฐินตก บางถิ่นก็เรียก กฐินโจร เพราะกิริยาอาการที่ไปทอดอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว จู่ๆ ก็ไปทอด ไม่บอกกล่าวเล่าสิบล่วงหน้าไว้ให้วัดรู้ เพื่อเตรียมตัวกันได้พร้อมและเรียบร้อย

    ‘การทอดกฐินตก’ ถือว่าได้บุญอานิสงส์แรงกว่าทอดกฐินตามปกติธรรมดา บางทีเตรียมข้าวของไปทอดกฐินหลายๆ วัด แต่ได้วัดทอดน้อยวัด เครื่องไทยธรรมที่ตระเตรียมเอาไปทอดยังมีเหลืออยู่ หรือทางวัดทอดไม่ได้ ก็เอาเครื่องไทยธรรมเหล่านั้นจัดทำเป็นผ้าป่า เรียกกันว่า ผ้าป่าแถมกฐิน”

    การแก้ปัญหาเรื่องกฐินตกค้าง ในกรณีที่วัดใดวัดหนึ่งไม่มีผู้จองกฐิน วิธีแก้ปัญหาคือ ใครก็ได้ที่มีศรัทธาและมีทุนไม่มาก ไปซื้อผ้าสำเร็จรูปผืนใดผืนหนึ่งนำมาถวาย ก็เรียกว่า ทอดกฐินแล้ว หรือในกรณีที่บางวัดมีประเพณีให้ตัด เย็บ ย้อม ให้เสร็จในวันนั้น ก็ซื้อผ้าขาวผืนเดียวมาถวายก็จัดเป็นการทอดกฐินที่สมบูรณ์ตามพระธรรมวินัยแล้ว เป็นอันแก้ปัญหาเรื่องกฐินตกค้างอย่างง่ายเพียงเท่านี้

     


    Image

    การทอดกฐินเป็นบุญพิเศษ

    - พิเศษเพราะเป็นสังฆทาน มิได้เฉพาะเจาะจงแก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง

    - พิเศษเพราะเป็นการถวายทานตามกาล ไม่มีทั่วไป เรียกว่า “กาลทาน” ตามพระธรรมวินัยกำหนดกาลไว้ คือ มีกำหนดเวลาถวายที่จำกัดเพียงหนึ่งเดือนหลังจากออกพรรษาแล้ว ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 โดยแต่ละวัดสามารถรับกฐินได้ปีละครั้งเดียว และจะต้องมีพระสงฆ์อยู่จำพรรษาครบ 5 รูป หากวัดใดมีพระสงฆ์อยู่จำพรรษาไม่ถึง 5 รูป จะต้องนิมนต์พระสงฆ์จากวัดอื่นๆ มาร่วมพิธีกรรมให้ครบ 5 รูปเป็นอย่างน้อย เพื่อให้ครบองค์สงฆ์ตามพระวินัยบัญญัติ

    องค์สงฆ์ 5 รูป ตามพระวินัยบัญญัติดังกล่าวนั้น มี 4 รูป เป็นองค์พยาน และอีก 1 รูปเป็นองค์ครองผ้ากฐิน ภาษาสังฆกรรมของพระเรียกว่า “ปัญจวรรค”

    ผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใสใคร่จะทอดกฐิน ก็ให้ทอดได้ในระหว่างระยะเวลานี้ ถ้าทอดก่อนหรือทอดหลังกำหนดนี้ก็ไม่เป็นการทอดกฐิน แต่มีข้อยกเว้นพิเศษว่า ถ้าทายกทายิกาผู้จะทอดกฐินนั้น มีกิจจำเป็นเช่นจะต้องไปในทัพ ไม่สามารถจะอยู่ทอดกฐินตามกำหนดนั้นได้ จะทอดกฐินก่อนกำหนดดังกล่าวแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุรับไว้ก่อนได้

    - พิเศษเพราะมีอานิสงส์ทั้งสองฝ่าย คือ อานิสงส์สำหรับพระภิกษุผู้รับกฐิน และอานิสงส์สำหรับผู้ถวายกฐิน

    อานิสงส์สำหรับพระภิกษุผู้รับกฐิน

    พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้พระภิกษุผู้อยู่จำพรรษาครบ 3 เดือน รับผ้ากฐินได้ เมื่อได้รับแล้วมีความสามัคคีร่วมกันทำให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย จะได้รับอานิสงส์หรือความยกเว้นในการผิดพระธรรมวินัย 5 ประการ คือ

    1. จาริกไปที่อื่นได้โดยไม่ต้องบอกลาเพื่อนสหธัมมิกด้วยกัน หมายความว่า พระภิกษุรับนิมนต์ไว้ในที่แห่งหนึ่ง สามารถไปที่เรือนอื่นได้ในเวลาก่อนฉันหรือหลังฉัน โดยมิต้องบอกลาพระภิกษุอื่น

    2. จาริกไปที่อื่นได้โดยไม่ต้องนำผ้าไตรจีวรไปครบชุด หมายความว่า พระภิกษุสามารถอยู่ปราศจากผ้าผืนใดผืนหนึ่งที่อธิษฐานเป็นผ้าไตรจีวรได้

    3. ฉันคณโภชน์ได้ หมายความว่า ทายกทายิกานิมนต์รับอาหารโดยระบุชื่ออาหาร พระภิกษุตั้งแต่ 4 รูปขึ้นไปรับแล้วนำมาฉันรวมกันเป็นหมู่คณะและฉันพร่ำเพรื่อ (ในเวลา) ได้

    4. เก็บอดิเรกจีวรไว้ได้ตามต้องการ หมายความว่า พระภิกษุสามารถเก็บผ้าจีวรนอกจากผ้าไตรได้

    5. จีวรเกิดขึ้นในวัดนั้น เธอมีสิทธิได้รับส่วนแบ่ง หมายความว่า ผู้มีจิตศรัทธาน้อมนำจีวรมาถวาย เธอจะได้รับสิทธิเท่าเทียมกับพระภิกษุในวัดนั้น กล่าวคือ มีส่วนได้ “อดิเรกลาภ” (ลาภพิเศษ) ที่เกิดขึ้นในวัดนั้น

    พระภิกษุผู้ได้รับกฐินแล้วจะได้รับอานิสงส์นี้ เป็นเวลา 4 เดือน ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4

    ขออธิบายขยายความในเรื่องนี้สักเล็กน้อย ตามหลักพระธรรมวินัยนั้น พระภิกษุจะเข้าบ้านต้องบอกลาพระภิกษุด้วยกัน, จะเดินทางเที่ยวไปต้องนำเอาไตรจีวรไปให้ครบชุด, เวลาฉันอาหารต้องนั่งเรียงกัน จะล้อมวงกันไม่ได้, จีวรที่เหลือใช้เก็บไว้ได้เพียง 10 วัน และลาภที่เกิดขึ้นต้องให้แก่พระภิกษุผู้มีอาวุโส คือที่บวชนานที่สุด ข้อบังคับเหล่านี้ย่อมเป็นความลำบากแก่พระภิกษุทั้งหลายเป็นอันมาก

    ตัวอย่างเช่น การเข้าบ้านต้องบอกลากันเสมอไปนั้น ถ้าเผอิญอยู่คนเดียว ไม่มีใครจะรับลา ก็เข้าบ้านไม่ได้, การเดินทางต้องเอาไตรจีวรไปให้ครบ หมายความว่าต้องเอาผ้านุ่งห่มไปให้ครบชุด คือ สบง (ผ้านุ่ง) จีวร (ผ้าห่ม) สังฆาฏิ (ผ้าซ้อนผ้าห่ม) ในครั้งก่อน พระภิกษุไม่มีโอกาสได้ผ้าบางเนื้อละเอียดอย่างสมัยนี้เสมอไป ถ้าไปได้ผ้าเปลือกไม้หรือผ้าอะไรชนิดหนา การที่จะนำเอาไปด้วยนั้นไม่เป็นการง่าย, การห้ามฉันอาหารล้อมวง ต้องนั่งเรียงกันฉันอาหารนั้น ถ้ามีอาหารน้อยก็ทำความลำบาก เราทราบอยู่แล้วว่าการรับประทานแยกกัน ย่อมปลีกอาหารมากกว่าการรับประทานรวมกัน

    ส่วนเรื่องการเก็บจีวรที่เหลือใช้นั้น ในชั้นเดิมเป็นความมุ่งหมายของพระพุทธเจ้า ที่จะไม่ให้พระภิกษุเก็บสะสมทรัพย์สมบัติ ถ้ามีอะไรเหลือใช้จะเก็บไว้ไม่ได้ ต้องให้คนอื่นเสีย โดยเฉพาะเรื่องจีวรนี้มีบัญญัติว่า ถ้ามีจีวรเหลือใช้เก็บไว้ได้เพียง 10 วัน พ้น 10 วันไปแล้วต้องสละให้คนอื่นไป ถ้าจะไม่สละต้องทำพิธี 2 อย่าง อย่างหนึ่งเรียกว่า “วิกัป” คือไปทำความตกลงกับพระภิกษุอีกรูปหนึ่งให้เป็นเจ้าของจีวรด้วยกัน แล้วมอบให้ตนเก็บไว้ อีกอย่างหนึ่งเรียกว่า “อธิษฐาน” คือถ้าจีวรที่เหลือใช้นั้นใหม่กว่าของที่ใช้อยู่ ก็เอามาใช้เสีย แล้วสละของเก่าให้คนอื่นไป การห้ามกวดขันไม่ให้เก็บผ้าจีวรไว้เกินต้องการเช่นนี้ ในบางครั้งก็เกิดความลำบาก เช่น ถูกขโมยลักจีวร ซึ่งเคยถูกลักกันมามากในครั้งพุทธกาล หรือมีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งที่ทำให้จีวรนั้นใช้ไม่ได้ ก็ไม่มีสำรองเสียเลย

    ในเรื่องลาภที่เกิดขึ้นในวัดนั้น มีข้อบังคับกวดขันว่าให้ได้แก่พระภิกษุที่มีพรรษายุกาลมากที่สุด คือที่บวชก่อนคนอื่น ในเรื่องนี้ทำความเดือดร้อนหลายครั้ง เช่น พระภิกษุอยู่ในวัดเดียวกัน อดอยากมาด้วยกัน มีผู้เอาของมาถวาย และในวันที่มีผู้เอาของมาถวายนั้น เผอิญมีพระภิกษุจรมาพักอยู่ในวัดนั้นด้วย และพระภิกษุจรมีพรรษายุกาลมากกว่าพระภิกษุที่อยู่ในวัด ลาภนั้นก็ต้องตกเป็นของพระภิกษุที่จรมา ส่วนพระภิกษุที่อยู่ในวัดก็ไม่มีส่วนได้

    ความขัดข้องลำบากอันเกิดจากทางพระธรรมวินัยนี้ พระพุทธเจ้าได้ทรงเห็นมานานแล้ว แต่พระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าไม่เหมือนกับกฎหมาย คือกฎหมายที่บัญญัติไว้แล้ว ถ้าเห็นว่าไม่ดีก็ประกาศยกเลิกและบัญญัติใหม่ได้ ส่วนพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าประกาศยกเลิกไม่ได้ ได้แต่งดชั่วคราวหรือมีข้อยกเว้นพิเศษให้เท่านั้น

    เมื่อได้ทรงเห็นความลำบากของพระภิกษุชาวเมืองปาฐา ประมาณ 30 รูป ที่พากันมาเข้าเฝ้า ทรงเห็นชัดว่าควรให้ความยกเว้นในเรื่องการหอบหิ้วเอาไตรจีวรมาให้ครบ และเมื่อทรงยกเว้นในข้อนี้ ก็เลยทรงประทานข้อยกเว้นอื่นๆ ที่ทรงดำริมาแล้วแต่ก่อนด้วย จึงเกิดมีข้อยกเว้นในการผิดพระธรรมวินัยขึ้น 5 ข้อดังกล่าวมาข้างต้น

    แต่การงดชั่วคราวหรือให้ความยกเว้นเป็นพิเศษนั้น จะให้กันเฉยๆ ไม่ได้ พระภิกษุต้องได้ทำความดีอันใดอันหนึ่งจึงจะได้รับความยกเว้น ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติให้มีพิธีกรานกฐิน ด้วยพิธีกรานกฐินถือเป็นความดีความชอบอย่างหนึ่ง เพราะการทำจีวรในสมัยนั้นไม่ใช่ของง่ายๆ ตามปกติเวลามีการทำจีวร พระภิกษุย่อมได้รับความยกเว้นในวินัยหลายข้ออยู่แล้ว เมื่อต้องมาทำจีวรโดยรีบร้อนให้เสร็จในวันเดียว และตกเป็นสมบัติของคณะสงฆ์อีกเช่นนี้ ก็ควรเป็นความดีความชอบอันพึงได้รับความยกเว้นในการผิดพระธรรมวินัย

    อานิสงส์สำหรับผู้ถวายกฐิน

    โดยทั่วไปยังไม่เคยพบในพระบาลีที่ระบุไว้โดยตรง แต่ว่าการทอดกฐินเป็นกาลทาน ปีหนึ่งทำได้ครั้งเดียว วัดหนึ่งทำได้ครั้งเดียวในปีหนึ่งๆ ต้องทำภายในกำหนดเวลา และผู้ทอดก็ต้องตระเตรียมจัดทำเป็นงานใหญ่ ต้องมีผู้ช่วยเหลือหลายคน จึงนิยมกันว่าเป็นพิธีบุญที่อานิสงส์แรง

    น่าคิดอีกทางหนึ่งว่า การทอดกฐินนี้ ผู้เข้าใจจึงปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง จะได้รับผลคือสมบูรณ์ด้วยโภคสมบัติเพราะเราให้ทานเอง และสมบูรณ์ด้วยบริวารสมบัติเพราะชักชวนผู้อื่น บอกบุญแก่ญาติมิตรให้มาร่วมการกุศลด้วย กาลทานเช่นนี้ เรียกว่า ทานทางพระธรรมวินัย

    Image

    ผู้ประสงค์จะทอดกฐินจะทำอย่างไร

    พุทธศาสนิกชนทั่วไป ย่อมถือกันว่า การทำบุญทอดกฐินเป็นกุศลแรง เพราะเป็นกาลทาน ทำได้เพียงปีละ 1 ครั้งและต้องทำในกำหนดเวลาที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ ดังนั้นถ้ามีความเลื่อมใสใคร่จะทอดกฐินบ้างแล้ว พึงปฏิบัติดังต่อไปนี้

    การจองกฐิน

    สำหรับวัดราษฎร์ทั่วไป เมื่อจะไปจองกฐิน ณ วัดใด พอเข้าพรรษาแล้ว พึงไปมนัสการสมภารเจ้าวัดนั้น กราบเรียนแก่ท่านว่าตนมีความประสงค์จะขอทอดกฐิน แล้วเขียนหนังสือจองกฐินปิดประกาศไว้ ณ วัดนั้น เพื่อให้รู้ทั่วๆ กัน การที่ต้องไปจองก่อนแต่เนิ่นๆ ก็เพื่อให้ได้ทอดวัดที่ตนต้องการ หากมิเช่นนั้นอาจมีผู้อื่นไปจองก่อน นี้กล่าวสำหรับวัดราษฎร์ ซึ่งราษฎรมีสิทธิจองได้ทุกวัด

    สำหรับการขอพระราชทานผ้าพระกฐินไปทอด ณ พระอารามหลวง อันมีธรรมเนียมว่าต้องได้รับกฐินหลวงแล้ว ทายกนั้นครั้นกราบเรียนเจ้าอาวาสท่านแล้ว ต้องทำหนังสือยื่นต่อกองสัมฆการี กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ ขอเป็นกฐินพระราชทาน เพื่อกรมการศาสนาจะขึ้นบัญชีไว้กราบบังคมทูลและแจ้งให้วัดทราบ ครั้นคำอนุญาตตกไปถึงแล้ว จึงจะจองได้

    การเตรียมการ

    ครั้นจองกฐินเรียบร้อยแล้ว เมื่อออกพรรษาแล้ว จะทอดกฐินในวันใด ก็กำหนดให้แน่นอน แล้วกราบเรียนให้เจ้าวัดท่านทราบวันกำหนดนั้น ถ้าเป็นอย่างชนบท สมภารเจ้าวัด ก็บอกติดต่อกับชาวบ้านว่าวันนั้นว่านี้เป็นวันทอดกฐิน ให้ร่วมแรงร่วมใจกันจัดหาอาหารไว้เลี้ยงพระ และเลี้ยงผู้มาในงานกฐิน

    ครั้นกำหนดวันทอดกฐินแล้ว ก็เตรียมจัดหาเครื่องผ้ากฐิน คือ ไตรจีวร พร้อมทั้งเครื่องบริขารอื่นๆ ตามแต่มีความศรัทธามากน้อย (ถ้าจัดเต็มที่มักมี 3 ไตร คือ องค์ครอง 1 ไตร, คู่สวดองค์ละ 1 ไตร)

    วันงานทอดกฐิน

    พิธีทอดกฐินเป็นบุญใหญ่ดังกล่าวมาแล้ว การนำกฐินไปทอดทำได้สองอย่าง อย่างหนึ่งคือ ตั้งองค์พระกฐินกับเครื่องบริวาร ณ วัดที่จะทอดก่อน พอถึงวันกำหนดเจ้าภาพผู้เป็นเจ้าของกฐิน หรือรับพระราชทานผ้ากฐินทานมา จึงพากันไปยังวัดเพื่อทำพิธีถวาย

    อีกอย่างหนึ่ง ตามคติที่ถือว่าการทอดกฐินเป็นการถวายทานพิเศษแก่พระสงฆ์ที่ได้จำพรรษาครบไตรมาส นับว่าได้กุศลแรง จึงได้มีการฉลองกฐินก่อนนำไปวัด ดังนั้น โดยมากจึงจัดงานเป็น 2 วัน วันต้นตั้งองค์พระกฐินกับเครื่องบริวารที่บ้านของเจ้าภาพก็ได้ หรือจะไปตั้งที่วัดก็ได้ มีการทำบุญเลี้ยงพระและเลี้ยงผู้คน ที่บ้านของผู้เป็นเจ้าของกฐิน กลางคืนมีการมหรสพสมโภชครึกครื้นสนุกสนาน ญาติพี่น้องและมิตรสหายก็มักจะมาร่วมอนุโมทนา

    รุ่งขึ้นไปยังวัดที่จะทอดเพื่อทำพิธีถวาย ถ้าไปทางบก ก็มีแห่แหนทางขบวนรถหรือเดินขบวนกันไป มีแตรวง มีเครื่องบรรเลง มีการฟ้อนรำนำขบวนตามประเพณีนิยม หรืออื่นๆ เป็นการครึกครื้น ถ้าไปทางเรือก็มีแห่แหนทางขบวนเรือ สนุกสนาน โดยมากมักแห่ไปตอนเช้า และเลี้ยงพระถวายภัตตาหารเพล

    การทอดกฐิน จะทอดในตอนเช้านั้นก็ได้ ทอดเพลแล้วก็ได้ สุดแล้วแต่สะดวก การเลี้ยงพระถ้าเป็นอย่างในชนบท ชาวบ้านจัดภัตตาหารเลี้ยงด้วย เจ้าของงานกฐินก็จัดไปด้วย อาหารมากมายเหลือเฟือ แม้ข้อนี้ก็สุดแต่กาละเทศะแห่งท้องถิ่น

    อนึ่ง ถ้าตั้งองค์พระกฐินในวัดที่จะทอดนั้น เช่น ในชนบท ตอนเย็นก็แห่องค์พระกฐินไปตั้งที่วัด กลางคืนมีการฉลอง รุ่งขึ้นเลี้ยงพระเช้า แล้วทอดกฐิน ถวายภัตตาหารเพล และบางงานอาจมีการรวบรวมปัจจัยไปวัดถวายพระอีกด้วย เช่น ในกรณีกฐินสามัคคี

     

    ลำดับการถวายผ้ากฐิน

    1. นำผ้ากฐินไปวัดที่จะถวาย ถ้ามีการแห่แหนไป เมื่อเข้าไปในวัดแล้วจะนำองค์กฐินเวียนโบสถ์ (วัดหลวงเรียกว่า พระอุโบสถ) เช่นเดียวกับการนำนาค จะเวียนโบสถ์ด้วยก็ได้ หรือจะไม่เวียนก็ได้

    2. นำผ้ากฐิน พร้อมด้วยเครื่องบริวารกฐิน ไปตั้งไว้ ณ สถานที่ที่ถวายให้เรียบร้อย สถานที่ถวาย เช่น โบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ จงพิจารณาดูว่าที่ไหนจะเหมาะ (คำว่า เหมาะ หมายถึง ที่กว้างพอที่จะเข้าไปนั่งร่วมอนุโมทนาได้พอสมควร) การถวายผ้ากฐินนั้น นิยมถวายในโบสถ์ โดยเฉพาะกฐินพระราชทาน ก่อนจะถึงกำหนดเวลาจะเอาเครื่องบริวารกฐินไปจัดตั้งไว้ในโบสถ์ก่อน ส่วนผ้ากฐินพระราชทานจะยังไม่นำเข้าไป

    เมื่อถึงกำหนดเวลาที่พระสงฆ์จะทำพิธีของท่าน (สังฆกรรม) ท่านจะต้องไปทำในโบสถ์เสมอ ทำนอกโบสถ์ไม่ได้ ถ้าวัดไม่มีโบสถ์ ก็ต้องทำในเขตแม่น้ำ หรือในเขตสระใหญ่ๆ

    3. เมื่อเจ้าภาพไปถึงสถานที่ถวายผ้ากฐินแล้ว ให้จุดธูปเทียนสักการบูชา และกราบพระรัตนตรัย ตั้งนะโม 3 จบก่อน ดอกไม้ธูปเทียนสำหรับสักการบูชาพระรัตนตรัยนี้ เจ้าภาพจะนำไปด้วยก็ได้ หรือจะให้คนไปจัดไว้ที่วัดก่อนก็ได้ เรื่องนี้ตามประเพณีนิยมถือกันว่า ไปวัดทั้งทีควรมีดอกไม้ธูปเทียนไปสักการบูชาด้วย การนำไปพร้อมกับเจ้าภาพไม่ยุ่งยาก เพียงให้คนถือตามไป มีเทียน 2 เล่ม ธูป 3 ดอก ดอกไม้ 1 กำ ก็พอแล้ว

    เมื่อไปถึงก็นำไปสักการบูชา ณ สถานที่จัดไว้ ถ้าให้คนไปจัดไว้ที่วัดก่อน ควรมีโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็กๆ ปูผ้าขาว ตั้งแจกัน 1 คู่ พร้อมด้วยธูป 3 ข้างหน้าวางหมอนไว้ 1 ใบ ถ้าไม่มีหมอนก็ใช้ผ้าขาวปูไว้แทน จะใช้ผ้าเช็ดหน้าที่สะอาดขนาดเหมาะสมก็ได้ เมื่อเจ้าภาพไปถึง ก็ให้จุดเทียนธูปสักการบูชาพระรัตนตรัยที่จัดไว้นี้ แล้วกราบพระ 3 ครั้ง

    4. ตามประเพณีนิยมในต่างจังหวัด ในบางถิ่น ถ้ามีการทอดกฐินชาวบ้านที่ทำบุญในวัดที่จะทอดนั้น จะพากันไปร่วมอนุโมทนาด้วยเป็นจำนวนมาก เวลาถวายผ้ากฐินก็ร่วมถวายด้วย ถ้าในถิ่นที่ชาวบ้านนิยมประเพณีนี้ก็ควรอนุโลม ถ้าหากเป็นกฐินของประชาชนหรือกฐินสามัคคี กล่าวคือ ใช้ด้ายสายสิญจน์ผูกกับผ้าไตรกฐิน (อย่าผูกให้แน่นนักจะแก้ออกลำบาก ให้ผูกเป็นเงื่อนกระตุกได้) เมื่อผูกแล้วโยงมาวงเครื่องบริวารกฐินให้รอบ ที่เหลือจากนั้น ให้ผู้ที่มาร่วมอนุโมทนาถือด้วยกันทุกคน

    เวลาจะโยงมาวงเครื่องบริวารกฐิน ให้เว้นด้ายสายสิญจน์ไว้ในระยะประมาณ จากที่ตั้งองค์กฐินไปถึงหัวอาสน์สงฆ์ เพราะเวลานำผ้ากฐินไปประเคนนั้น ยังไม่ได้แก้ด้ายสายสิญจน์ออก ประเคนผ้ากฐินแล้วจึงแก้ออก ทั้งนี้ถือกันว่าผู้ร่วมอนุโมทนาได้ประเคนร่วมด้วย เพราะเขาถือกันว่า การทำบุญถ้าได้ประเคนกับมือตนเองได้บุญมาก เรื่องด้ายสายสิญจน์นี้ ถ้าในท้องถิ่นที่ไม่นิยมก็ไม่จำเป็นต้องใช้ เพียงแต่ประนมมือ ว่าคำถวายตามไปด้วยก็พอแล้ว

    5. เมื่อพร้อมแล้ว ถึงเวลาถวายผ้ากฐิน ให้เจ้าภาพหยิบผ้าห่มพระ (ผ้าห่มพระประธาน) มอบให้แก่มรรคนายกหรือผู้ช่วย เพื่อนำไปห่มพระประธาน แล้วประเคนตาลปัตรแด่พระสงฆ์ผู้เป็นประธาน เพื่อท่านจะได้ใช้ในการให้ศีล

    6. มรรคนายกหรือผู้ช่วย อาราธนาศีล เจ้าภาพพร้อมด้วยผู้มาร่วมอนุโมทนากฐิน ตั้งใจรับศีลโดยพร้อมเพรียงกัน

    7. มรรคนายกหรือผู้ช่วย นำผ้ากฐินมามอบให้เจ้าภาพ เพื่อให้นำไปวางไว้ต่อหน้าพระสงฆ์ไม่ต่ำกว่า 5 รูป แล้วให้พระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่งที่ได้รับมอบหมายจากคณะสงฆ์ทั้งนั้น เป็นเอกฉันท์ ให้เป็นผู้รับกฐินนั้น ส่วนพานแว่นฟ้าที่วางผ้ากฐิน โดยประเพณีมักจะนำไปตั้งไว้เบื้องหน้าพระสงฆ์รูปที่ 2 หรือรูปที่ 3 นับจากหัวอาสน์สงฆ์ เพื่อว่าเมื่อกล่าวคำถวายผ้ากฐินเสร็จแล้ว เจ้าภาพจะได้นำผ้ากฐินไปวาง ณ ที่นั้น

    ทั้งนี้หมายความว่า ผ้ากฐินตั้งไว้รวมกับเครื่องบริวารกฐิน การตั้งรวมไว้เป็นหมวดหมู่ก็เพื่อความสวยงาม ไม่ได้ไปตั้งไว้ที่หัวอาสน์สงฆ์ก่อน เมื่อผู้เป็นเจ้าภาพรับผ้ากฐินแล้ว ให้อุ้มประคองประนมมือหันหน้าไปทางพระปฏิมาประธาน (ในการทอดกฐินนี้ ถ้าสามีภรรยาเป็นเจ้าภาพไปทอดด้วยกัน จะจับผ้ากฐินด้วยกันก็ได้ และก็ควรจะเป็นเช่นนั้น เพราะว่าได้ทำบุญร่วมกันจริงๆ) เมื่อหันหน้าไปทางพระประธานแล้ว ให้ตั้งนะโม... 3 จบ แล้วหันหน้าไปทางพระสงฆ์ กล่าวคำถวายผ้ากฐิน ดังนี้

    คำถวายผ้ากฐิน (สำหรับวัดมหานิกาย)

    อิมํ สปริวารํ กฐินจีวรทุสฺสํ สงฺฆสฺส โอโณชยาม (ว่า 3 หน)

    แปลว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายผ้ากฐินจีวรกับทั้งบริวารนี้ แด่พระสงฆ์”

    คำถวายผ้ากฐิน (สำหรับวัดธรรมยุต)

    อิมํ ภนฺเต สปริวารํ กฐินนทุสฺสํ สงฺฆสฺส โอโณชยาม สาธุ โน ภนฺเต สงฺโฆ อิมํ สปริวารํ กฐินทุสฺสํ ปฏิคฺคณฺหาตุ ปฏิคฺคเหตฺวา จ อิมินา ทุสฺเสน กฐินํ อตฺถรตุ อมฺหากํ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย

    แปลว่า “ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายขอน้อมถวายผ้ากฐิน พร้อมทั้งบริวารนี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย และครั้นรับแล้วขอจงกรานกฐินด้วยผ้านี้ เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย สิ้นกาลนานเทอญ”

    การกล่าวคำถวาย ถ้าจะไม่ว่าคำแปลด้วย ให้ทอดเสียงสองคำสุดท้าย สำหรับวัดมหานิกายคือ “โอโณชะยามะ” สำหรับวัดธรรมยุตคือ “หิตายะ สุขายะ” ให้ยาวหน่อย เพื่อให้พระสงฆ์สังเกตได้ว่าจบแล้ว ท่านจะได้กล่าวรับด้วยคำว่า “สาธุ” ขึ้นพร้อมกัน

    8. เมื่อกล่าวคำถวายจบ พระสงฆ์รับ “สาธุ” ขึ้นพร้อมกันแล้ว ให้นำผ้ากฐินไปประเคนแด่พระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่ง ประเคนองค์ที่ 2 หรือองค์ที่ 3 ก็ได้ เพื่อท่านจะได้รับไว้แทนพระสงฆ์ เพราะผ้ากฐินยังไม่เป็นกรรมสิทธิ์ของรูปใดรูปหนึ่ง เมื่อท่านรับแล้ว ต่อจากนี้ไปเป็นพิธีกรานกฐินของพระสงฆ์ ซึ่งจะได้พิจารณามอบผ้ากฐินให้แก่พระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้สมควร

    กฐินของประชาชน หรือกฐินสามัคคี หรือในวัดบางวัด นิยมถวายกันที่ศาลาการเปรียญ หรือวิหารสำหรับทำบุญ แล้วมรรคนายกหรือผู้ช่วย จึงนำผ้ากฐินที่ถวายแล้วไปถวายพระสงฆ์ ทำพิธีกรานกฐินในโบสถ์เฉพาะพระสงฆ์อีกทีหนึ่ง

    การทำพิธีกฐินัตถารกิจของพระสงฆ์ เริ่มจากการกล่าวคำขอความเห็นที่เรียกว่า อปโลกน์ (อ่านว่า อะ-ปะ-โหลก) ในที่ประชุมสงฆ์ว่า ควรมีการกรานกฐินหรือไม่ และการสวดญัตติทุติยกรรม คือการยินยอมยกให้ พระสงฆ์ก็ทำพิธีมอบผ้าให้แก่พระภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นพระเถระผู้ที่มีอายุมาก มีพรรษามาก มีจีวรเก่า เป็นผู้ที่ฉลาด รู้ธรรมวินัย

    9. เมื่อพระสงฆ์ทำพิธีของท่านเสร็จแล้ว ให้มรรคนายกหรือผู้ช่วย ส่งไตรคู่สวดให้เจ้าภาพประเคน เพื่อท่านจะได้ออกไปครองผ้าพร้อมกัน (การถวายผ้ากฐินนี้ ถ้าถวายที่วิหารหรือศาลาการเปรียญ เวลาท่านจะไปทำสังฆกรรมในโบสถ์ ก็ให้ถวายไตรครองพระคู่สวดเสียก่อน ท่านจะได้ครองผ้าในโบสถ์ พร้อมกับองค์ครองกฐินเลยทีเดียว ไม่ต้องกลับมาแล้วให้ท่านครองอีก เป็นการเสียเวลา)

    10. พระสงฆ์ครองผ้ากลับเข้ามานั่งบนอาสน์สงฆ์เรียบร้อยแล้ว มรรคนายกหรือผู้ช่วย ส่งของให้เจ้าภาพประเคน ให้ส่งเครื่องบริวารกฐินถวายองค์ครองให้เสร็จก่อน แล้วประเคนพระคู่สวดพระอันดับตามลำดับ ถ้ามีสามเณรก็ให้มารับไทยธรรมตอนนี้ด้วย

    การประเคนของพระสงฆ์และสามเณรนี้ เจ้าภาพจะมีใจเอื้อเฟื้อให้ทายกทายิกา และผู้มาร่วมอนุโมทนาเข้าประเคนสิ่งของอันเป็นบริวารขององค์กฐินด้วยก็ได้ ทั้งนี้เฉพาะผู้ที่อยู่ในเครือญาติ หรือผู้ที่เคารพนับถือและรู้จักมักคุ้น

    11. ประเคนเครื่องไทยธรรมเสร็จแล้ว มรรคนายกหรือผู้ช่วย นำน้ำกรวดไปให้เจ้าภาพ พระสงฆ์ทั้งนั้นจับพัด ประธานสงฆ์เริ่มสวดนำด้วยคาถาอนุโมทนา ว่า (ยถา...) เจ้าภาพกรวดน้ำ ถ้าภาชนะปากแคบ ให้เทโกรกลงในที่รอง อย่าเอานิ้วรองรับสายน้ำให้หยดติ๋งๆ เมื่อพระสงฆ์ว่า “ยถา.....” จบ ให้เทน้ำลงไปในที่รองกรวดให้หมด แล้วประนมมือรับพร ฟังพระสงฆ์อนุโมทนาต่อไปจนจบ ก็เป็นอันเสร็จพิธีการทอดกฐินเพียงนี้

    หมายเหตุ : เรื่องการประเคนผ้ากฐินนี้ พระสงฆ์บางวัดรับประเคน แต่มีบางวัดไม่รับ เพราะฉะนั้น ขอให้ส่งผู้แทนไปซักซ้อมเรียนถามเสียก่อน จะได้เป็นการเรียบร้อยด้วยกันทั้งสองฝ่าย สำหรับวัดที่ท่านไปประเคน ประธานพึงวางผ้ากฐินไว้บนพานแว่นฟ้า ตรงเบื้องหน้าพระสงฆ์เถระนั้น

    พิธีกรานกฐิน

    พิธีของกฐินนี้มีอยู่ 2 ระยะ คือ ระยะที่ทายกทายิกานำผ้ากฐินไปถวายระยะหนึ่ง ซึ่งมีกำหนดเวลาถวายที่จำกัดเพียงหนึ่งเดือนหลังจากออกพรรษาแล้ว ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึง วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 และระยะที่ภิกษุสงฆ์ท่านรับผ้ากฐินจากทายกทายิกาแล้ว ประชุมกันทำกรรมวิธีการตัด เย็บ ย้อม ตากให้แห้ง แล้วกรานกฐินนี้ เป็นอีกระยะหนึ่งซึ่งไม่เกี่ยวกับฆราวาสแต่ประการใด เป็นเรื่องพิธีกรรมทางพระธรรมวินัยของสงฆ์โดยเฉพาะ

    พิธิกรานกฐินเป็นพิธีฝ่ายภิกษุสงฆ์โดยเฉพาะ คือ ภิกษุผู้ได้รับมอบผ้ากฐินนั้น นำผ้ากฐินไปทำเป็นไตรจีวรผืนใดผืนหนึ่ง ตัด เย็บ ย้อม ตากให้แห้ง ควรแก่การใช้ได้ให้เสร็จภายในวันเดียว เรียบร้อยดีแล้ว เคาะระฆัง ประชุมกันในโรงพระอุโบสถ ภิกษุผู้รับผ้ากฐิน ถอนผ้าเก่าอธิษฐานผ้าใหม่ที่ตนได้รับนั้นเข้าชุดเป็นไตรจีวร

    เสร็จแล้ว ภิกษุรูปหนึ่ง ขึ้นสู่ธรรมาสน์แสดงพระธรรมเทศนา กล่าวคือเรื่องประวัติกฐินและอานิสงส์ ครั้นแล้วภิกษุผู้รับผ้ากฐิน นั่งคุกเข่าตั้งนะโม 3 จบ แล้วเปล่งวาจาในท่ามกลางชุมนุมนั้น ตามลักษณะผ้าที่กรานดังนี้

    ถ้าเป็นผ้าสังฆาฏิ เปล่งวาจากรานกฐินว่า “อิมายสงฺฆาฏิยา กฐินํ อตฺถรามิ” แปลว่า ข้าพเจ้ากรานกฐิน ด้วยผ้าสัมฆาฏินี้ (ในเวลาว่านั้นไม่ต้องว่าคำแปลนี้) 3 จบ

    ถ้าเป็นผ้าอุตตราสงค์ เปล่งวาจากรานกฐินว่า “อิมินาอุตฺตราสงฺเคน กฐินํ อตฺถรามิ” แปลว่า ข้าพเจ้ากรานกฐิน ด้วยผ้าอุตตราสงค์นี้ 3 จบ

    ถ้าเป็นผ้าอันตรวาสก (สบง) เปล่งวาจากรานกฐินว่า “อิมินา อนฺตรวาสเกน กฐินํ อตฺถรามิ” แปลว่าข้าพเจ้ากรานกฐิน ด้วยผ้าอันครวาสกนี้ 3 จบ

    ลำดับนั้น สงฆ์นั่งคุกเข่าพร้อมกันแล้วกรานพระ 3 หนเสร้จแล้ว ตั้งนโมพร้อมกัน 3 จบ แล้วท่านผู้ได้รับผ้ากฐินหันหน้ามายังกลุ่มภิกษุสงษ์ กล่าวคำอนุโมทนาประกาศดังนี้

    “อตฺถตํ อาวุโส สงฺฆสฺส กฐินํ ธมฺมิโก กฐินตฺถาโร อนุโมทามิ” 3 จบ (แปลว่า อาวุโส ! กฐินสงฆ์กราบแล้ว การกรานกฐินเป็นธรรม ข้าพเจ้าขออนุโมทนา)

    คำว่า อาวุโส นั้น ถ้ามีภิกษุอื่นซึ่งมีพรรษามากกว่าภิกษุผู้ครองกฐินแม้เพียงรูปเดียวก็ตาม ให้เปลี่ยนเป็น ภนฺเต

    ต่อนั้น สงฆ์ทั้งปวงรับว่า สาธุ พร้อมกันแล้ว ให้ภิกษุทั้งปวงอนุโมทนาเรียงองค์กันไปทีละรูปๆ ว่า “อตฺถตํ ภนฺเต สงฺฆสฺส กฐินฺ ธมฺมิโก กฐินตฺถาโร อนุโมทามิ” 3 จบ สงฆ์ทั้งปวงรับว่า สาธุ ทำดังนี้ จนหมดภิกษุผู้ประชุมอนุโมทนา

    (ถ้าผู้อนุโมทนา มีพรรษาแก่กว่าสงฆ์ทั้งปวง ให้เปลี่ยนคำว่า ภนฺเต เป็น อาวุโส)

    ในการว่าคำอนุโมทนานี้พึงนั่งคุกเข่าประนมมือ เสร็จแล้วจึงนั่งพับเพียบลง

    เมื่อเสร็จแล้ว ให้นั่งพร้อมกันคุกเข่าประนมมือ หันหน้าตรงต่อพระพุทธปฏิมา ว่าพร้อมกันอีก 3 จบ แต่ให้เปลี่ยนคำว่า อนุโมทามิ เป็น อนุโมทาม เป็นอันเสร็จไปชั้นหนึ่ง

    ต่อแต่นั้นกราบพระ 3 หน นั่งพับเพียบ สวดปาฐะและคาถาเนื่องด้วยกรานกฐิน จบแล้วก็เป็นเสร็จพิธีการกรานกฐิน

    ธงกฐิน

    ในเรื่องของการทอดกฐินนี้ “ธงกฐิน” ซึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงให้รู้ว่าวัดนี้ได้รับผ้ากฐินแล้ว โดยเหตุที่ว่าวัดหนึ่งๆ นั้นรับกฐินได้เพียงครั้งเดียว อีกในหนึ่ง ธงกฐินจะมีรูปสัตว์ 3-4 จำพวกเป็นสัญลักษณ์ คือ รูปจระเข้ รูปตะขาบ รูปแมลงป่อง รูปนางกินรีหรือนางมัจฉา และรูปเต่า

    เรื่องธงกฐินนี้โดยใจความแล้วไม่มีปรากฏในพระไตรปิฎกหรือในหนังสือคัมภีร์อื่นๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องของกฐินอย่างชัดเจน สาเหตุอาจจะเป็นเพราะนักปราชญ์อีสานโบราณท่านสอนคนหรือแนะนำคน จะไม่ใช้วิธีการที่บอกหรือกล่าวสอนกันตรงๆ มักจะใช้ทำนองที่ว่าเรียบๆ เคียงๆ เป็นลักษณะของปริศนาธรรม เช่น ลักษณะที่เด่นและเห็นชัดเจนคือ การใช้คำพูดในบทผญาหรือ อีสานภาษิต ซึ่งไม่ได้กล่าวถึงเรื่องกำลังพูดกันตรงๆ

    เช่นว่า “เจ้าผู้แพรผืนกว้างปูมาให้มันเลื่อมแด่เป็นหยัง สังมาอ่อมส่อมแพงไว้แต่ผู้เดียว แท้น้อ” ซึ่งสำนวนนี้ก็ได้พูดถึงความใจกว้างหรือความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่

    สำหรับรูปสัตว์ต่างๆ ธงกฐินนี้ท่านบอกสอนไว้ให้รู้ในลักษณะที่ว่า คนที่สามารถทำกฐินหรือเจ้าภาพทอดกฐินได้ ต้องเป็นคนจิตใจกว้าง มีความเสียสละเป็นอันมาก รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แม้กระทั่งสัตว์ที่มีพิษร้ายก็สามารถมาร่วมทำบุญได้ หรืออีกความหมายหนึ่งนักปราชญ์อีสานโบราณ ท่านอธิบายเปรียบเทียบกับโลภะ โทสะ โมหะ ได้ชัดเจนว่า

    Image

    ธงกฐินอันที่ 1 เป็นรูปจระเข้คาบดอกบัว หมายถึง ความโลภ โดยปกติแล้วจรเข้เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ในบางช่วงขึ้นมานอนอ้าปากอยู่บนบกให้แมลงวันเข้ามาตอมอยู่ในปาก พอแมลงวันเข้าไปรวมกันหลายๆ ตัวเข้า จึงได้งับปากเอาแมลงเป็นอาหาร ท่านได้เปรียบถึงคนเราที่มีความโลภ ไม่มีความรู้สึกสำนึกชั่วดี ความถูกต้องหรือไม่ มีแต่จะเอาให้ได้ท่าเดียว โดยไม่คำนึงว่าที่ได้มานั้น มีความสกปรกแปดเปื้อนด้วยความไม่ดีไม่งาม คืออกุศลหรือไม่ ผู้อื่นจะได้รับผลอย่างไรจากการกระทำของตนไม่ได้ใส่ใจ ดังนั้น ธงรูปจระเข้ท่านจึงได้เปรียบเหมือนกับความโลภ ที่ทำให้คนกอบโกยทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่จะมีช่องทางหรือโอกาส

    ธงกฐินอันที่ 2 เป็นรูปตะขาบหรือแมลงป่องคาบดอกบัว หมายถึง ความโกรธ โดยธรรมชาติแล้วสัตว์ทั้งสองอย่างนี้เป็นสัตว์ที่มีพิษร้าย ถ้าใครโดนตะขาบและแมลงป่องกัดหรือต่อยเข้าแล้ว จะรู้สึกเจ็บปวด แต่ความเจ็บปวดเหล่านั้นมียาหรือของที่แก้ให้หาย หรือบรรเทาปวดได้ ท่านได้เปรียบถึงโทสะ เพราะโทสะนี้เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นง่าย เกิดขึ้นเร็ว และรุนแรง แต่ก็หายเร็ว หรือที่เรียกว่าโกรธง่ายหายเร็ว โทสะหรือความโกรธมีความเจ็บปวด มีความเสียหายเป็นผล ดังนั้น ท่านจึงเปรียบธงรูปตะขาบและธงรูปแมงป่อง ว่าเหมือนกับความโกรธ เพราะมีลักษณะคล้ายกันคือเกิดขึ้นง่าย เกิดขึ้นเร็ว และรุนแรง มีความเจ็บปวด มีความเสียหาย แต่หายเร็วหรือมีทางที่จะรักษาให้หายได้

    Image

    ธงกฐินอันที่ 3 เป็นรูปนางกินรีหรือนางมัจฉาถือดอกบัว หมายถึง ความหลงหรือโมหะ โดยที่รูปร่างและศัพท์ที่ใช้เรียกก็มีความชัดเจนอยู่แล้ว กินรี แปลว่า คนอะไรหรือสัตว์อะไร ดูไม่ออกบอกไม่ถูกว่าเป็นรูปสัตว์หรือรูปคนกันแน่ เพราะว่าท่อนล่างมีรูปเป็นปลา ท่อนบนมีรูปร่างเป็นคน ศัพท์ว่ากินรีมาจากภาษาบาลีว่า “กินนรี” แต่ผ่านกระบวนการแปลงศัพท์ของภาษาบาลีเป็น “กินนรี” แปลว่า “คนอะไร” หรือว่า คนผู้สงสัย, ผู้ยังสงสัย หรือผู้ที่ค้นพบเห็นก็เกิดความสงสัย คือคนที่ไม่เป็นตัวของตัวเองนั่นเอง ทั้งทางด้านความคิด ทั้งทางด้านการกระทำหรือพฤติกรรม เพราะฉะนั้น กินนรี หรือ กินรี ท่านจึงเปรียบเสมือนโมหะ คือความหลงหรือผู้หลง ความลังเลสงสัยนั่นเอง

    ธงกฐินอันที่ 4 เป็นรูปเต่าคาบดอกบัว หมายถึง ศีลหรืออินทรีย์สังวร (การสำรวมระวังอินทรีย์) โดยปกติสัญชาติญาณการหลบภัยของเต่าคือ การหดส่วนต่างๆ ของร่างกายเข้าไว้ในกระดอง อันตรายที่จะเกิดจากสัตว์ไม่ว่าจะมีรูปร่างใหญ่โตสักปานใด ก็ไม่สามารถที่จะทำอันตรายอะไรแก่เต่าได้ หรือสังเกตง่ายๆ เวลาหมาเห่าเต่าก็จะเก็บอวัยวะส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหัว หางและขาไว้ภายในกระดอง หมาไม่สามารถทำอันตรายใดๆ แก่เต่าได้

    ฉะนั้น บุคคลที่สามารถทำบุญกฐินให้ได้บุญจริงๆ ต้องเป็นผู้ที่มีศีลคือมีความสำรวมระวัง ไม่ให้อกุศลเกิดขึ้นจากการที่อินทรีย์ทั้ง 6 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบสิ่งที่เป็นสาเหตุแห่งอารมณ์ขัดเคืองหรือความไม่ได้ดั่งใจตนคิด อันทำให้เกิดความท้อถอย ทั้งนี้ โดยการอาศัยศีลคือความมั่นคงในตัวเองนั่นเอง

    Image

    ทำไมจึงใช้ธงจระเข้ในงานบุญทอดกฐิน

    ธงจระเข้ ปัญหาที่ว่าเพราะเหตุไรจึงมีธงจระเข้ยกขึ้นในวัดที่ทอดกฐินแล้ว ยังไม่ปรากฏหลักฐานและข้อวิจารณ์อันสมบูรณ์โดยมิต้องสงสัย เท่าที่รู้กันมี 3 มติ คือ

    (1) ในโบราณสมัย การจะเดินทางต้องอาศัยดาวช่วยประกอบ เหมือนเช่นการยกทัพเคลื่อนขบวนในตอนจวนจะสว่าง จะต้องอาศัยดาวจระเข้นี้ เพราะดาวจระเข้นี้ขึ้นในตอนจวนจะสว่าง การทอดกฐินมีภาระมาก บางทีต้องไปทอด ณ วัดซึ่งอยู่ไกลบ้าน ฉะนั้น การดูเวลาจึงต้องอาศัยดาว พอดาวจระเข้ขี้น ก็เคลื่อนองค์กฐินไปสว่างเอาที่วัดพอดี และต่อมาก็คงมีผู้คิดทำธงในงานกฐิน ในชั้นต้นก็คงทำธงทิวประดับประดาให้สวยงามทั้งที่องค์กฐิน ทั้งที่บริเวณวัด และภายหลังคงหวังจะให้เป็นเครื่องหมายเนื่องด้วยการกฐิน ดังนั้น จึงคิดทำธงรูปจระเข้ เสมือนประกาศให้รู้ว่าทอดกฐินแล้ว

    (2) มติที่สอง เล่าเป็นนิทานโบราณว่า ในการแห่กฐินในทางเรือของอุบาสกผู้หนึ่ง มีจระเข้ตัวหนึ่งอยากได้บุญจึงอุตส่าห์ว่ายตามเรือไปด้วย แต่ยังไม่ทันถึงวัดก็หมดกำลัง ว่ายตามต่อไปอีกไม่ไหว จึงร้องบอกอุบาสกว่า เหนื่อยนักแล้ว ไม่สามารถจะว่ายตามไปร่วมกองการกุศล วานท่านเมตตาช่วยเขียนรูปข้าพเจ้า เพื่อเป็นสักขีพยานว่าได้ไปร่วมการกุศลด้วยเถิด อุบาสกผู้นั้นจึงได้เขียนรูปจระเข้ยกเป็นธงขึ้นในวัดเป็นปฐม และสืบเนื่องมาจนบัดนี้

    (3) อีกมติหนึ่งเป็นเรื่องเก่าแก่ตั้งแต่โบราณ เรื่องปู่โสมเฝ้าทรัพย์ ในอดีตกาลท่านกล่าวถึงเศรษฐีคนที่มีเงิน ขี้ตระหนี่ มัจฉริยะ ความตระหนี่ ตอนที่มีชีวิตอยู่หาแต่เงิน เก็บแต่เงินไว้ ไม่ไปทำบุญให้ทาน ไม่ตักบาตร ไม่ถวายสร้างกุฏิ วิหาร ไม่ถวายสร้างโบสถ์ ไม่ถวายสร้างสะพาน ไม่ช่วยทำทางเข้าวัด เหล่านี้เป็นต้น คนขี้ตระหนี่ไม่ทำบุญ เมื่อไม่ทำบุญ สมัยก่อนเขาเอาเงินใส่ไหใส่ตุ่มไปฝังไว้ที่ริมฝั่งน้ำ ทีนี้เมื่อตายไป ก็ด้วยความห่วงสมบัติ เมื่อห่วงสมบัติก็ตายไปเป็นจระเข้เฝ้าสมบัติอยู่แถวนั้นบ้าง

    ทีนี้นานเข้า ก็เลยมาเข้าฝันญาติบอกว่า เงินอยู่ตรงนั้นให้ไปขุดเอา แล้วนำเงินไปทอดกฐินให้หน่อย ทำบุญอะไรก็ได้ ทอดกฐินก็ได้ ผ้าป่าก็ได้ ญาตินั้นก็รู้ ก็ไปเอาเงินนั้นไปทอดกฐิน ทีนี้เมื่อทอดกฐิน สมัยก่อนเขาก็นั่งเรือ จระเข้ตัวนั้นก็ว่ายตามเรือไป ตามกองกฐินเขาไป เมื่อทอดกฐินเสร็จ เขาก็อุทิศส่วนกุศลให้บอกว่า นายนี้ที่ล่วงลับไป บัดนี้เอาเงินมาทอดกฐินถวายพระแล้ว ตอนนั้นจระเข้ก็จะโผล่หัวขึ้นมานะเหมือนอย่างในฟาร์ม พอทอดกฐินจบ พระอนุโมทนาให้พรจบ จระเข้นั้นก็มุดน้ำหายไปเลย ทุกวันนี้ก็เลยมีธรรมเนียมอันนั้นขึ้นมา จระเข้คาบดอกบัวเป็นสัญลักษณ์ในการทอดกฐิน ตะขาบนี้ก็เหมือนกัน เมื่อตายไปก็ไปเป็นตะขาบ ไปเฝ้าสมบัติเหมือนกัน
    พิธีทอดกฐินพระราชทาน

    1. กฐินพระราชทาน คือ กฐินที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ข้าราชบริพาร ส่วนราชการ กระทรวง ทบวง กรม องค์กรเอกชน น้อมนำไปทอดถวาย ณ พระอารามหลวงต่างๆ แทนพระองค์

    2. การดำเนินการ ให้หน่วยราชการ คณะบุคคล หรือเอกชนนำหนังสือขอจองไปที่กรมการศาสนา เพื่อรวบรวม กราบบังคมทูลให้ทรงทราบว่ามีจำนวนกี่วัด

    3. ลำดับพิธี (ไม่มีการรับศีล)

    - พระสงฆ์พร้อมที่อาสน์ในพระอุโบสถ

    - ประธาน ฯ เดินทางมาถึงด้านหน้าประตูพระอุโบสถ ถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และรับผ้าพระกฐินจากพานแว่นฟ้าบนโต๊ะหมู่บูชา

    - ประธาน ฯ ประคองผ้าพระกฐินขึ้นสู่พระอุโบสถ ไปวางผ้าพระกฐินบนพานแว่นฟ้าหน้าอาสน์สงฆ์

    - ประธาน ฯ จุดเทียนธูปบูชาพระรัตนตรัย แล้วกราบ 3 หน

    - ประธาน ฯ หยิบผ้าห่มให้พระประธานที่วางอยู่บนผ้าพระกฐิน ส่งให้เจ้าหน้าที่นำไปห่มพระพุทธปฏิมาประธาน

    - ประธาน ฯ ยกผ้าพระกฐินขึ้นประคองประนมมือ หันหน้าไปทางพระพุทธปฏิมาประธาน กล่าวนะโม 3 จบ แล้วหันหน้าไปทางพระสงฆ์ กล่าวคำถวายผ้าพระกฐิน ดังนี้

    “ผ้าพระกฐินทาน พร้อมทั้งเครื่องบริวารทั้งปวงนี้ ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทรสยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ กอปรด้วยพระราชศรัทธา โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้.............(ระบุชื่อหน่วยราชการหรือบุคคล) น้อมนำมาถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ ซึ่งจำพรรษากาลถ้วนไตรมาส ในอาวาสวิหารนี้ ขอพระสงฆ์จงรับผ้าพระกฐินทานนี้ กระทำกฐินัตถารกิจ ตามพระบรมพุทธานุญาต นั้นเทอญ” (จบแล้ว พระสงฆ์รับ “สาธุ” พร้อมกัน)

    - ประธาน ฯ ประเคนพระสงฆ์รูปที่ 2 ซึ่งนั่งรองจากเจ้าอาวาส เสร็จแล้วยกพานเทียนปาติโมกข์ถวาย แล้วกลับนั่งที่สำหรับประธาน ฯ

    - พระสงฆ์กระทำอปโลกนกรรม และสวดญัตติ

    - ประธาน ฯ ถวายผ้าไตรแก่พระคู่สวด 2 รูป จากนั้นพระสงฆ์องค์ครองผ้า และพระคู่สวดออกไปครองผ้า

    - ประธาน ฯ และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ช่วยกันถวายเครื่องบริวารพระกฐิน

    - เจ้าหน้าที่อ่านปวารณาปัจจัยบำรุงวัด เสร็จแล้วประธาน ฯ ถวายปวารณาแด่เจ้าอาวาส

    - พระสงฆ์อนุโมทนา ประธาน ฯ กรวดน้ำ และประนมมือรับพร

    - ประธาน ฯ กราบลาพระรัตนตรัย

    - เสร็จพิธี

    4. การแต่งกาย

    - ประธาน ฯ ในพิธีแต่งเครื่องแบบปกติขาว คาดกระบี่

    - นายทหารสัญญาบัตรแต่งเครื่องแบบปกติขาว งดกระบี่

    - นายทหารประทวนแต่งเครื่องแบบปกติกากีแกมเขียว คอพับแขนยาว

    สังฆทาน 7 ชนิด

    การทอดกฐินเป็นสังฆทาน คือ การถวายทานเพื่อสงฆ์ ซึ่งบริสุทธิ์ดุจลอยมาจากนภากาศ แล้วตกลงท่ามกลางสงฆ์ มิได้เจาะจงพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง พระพุทธองค์ตรัสแสดงสังฆทานไว้ 7 ชนิด คือ

    1. ถวายทานเพื่อภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
    2. ถวายทานเพื่อสงฆ์ทั้งสองฝ่าย
    3. ถวายทานเพื่อพระภิกษุสงฆ์
    4. ถวายทานเพื่อพระภิกษุณีสงฆ์
    5. ถวายทานเพื่อสงฆ์ทั้งสองฝ่ายช่วยกันจัดการให้
    6. ถวายทานเพื่อสงฆ์ ที่ภิกษุสงฆ์ช่วยจัดการให้
    7. ถวายทานเพื่อสงฆ์ ที่ภิกษุณีช่วยจัดการให้

    การทอดกฐินเป็นการถวายทานเพื่อพระภิกษุสงฆ์ ตรงกับข้อ 3 พระพุทธองค์ตรัสสรรเสริญว่า สังฆทานมีอานิสงส์มาก ความจริงการถวายทานที่บุคคลมีศรัทธามั่นคงแล้วถวายในท่ามกลางสงฆ์ สามารถทำได้เฉพาะบุคคลที่น้อมใจเลื่อมใสในสงฆ์เท่านั้น

    แต่การน้อมใจให้เลื่อมใสในสงฆ์เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะว่าผู้ที่จัดเตรียมไทยธรรมแล้วคิดว่า เราจะถวายทานเพื่อสงฆ์ จึงเข้าไปวัดแล้วกราบนิมนต์ว่า “ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอกราบนิมนต์พระรูปใดรูปหนึ่งเพื่อมารับสังฆทาน”

    เมื่อมีสามเณรรูปหนึ่งซึ่งเป็นตัวแทนจากสงฆ์มารับสังฆทาน ไม่แสดงอาการน้อยใจ หรือตัดพ้อต่อว่าอย่างไม่พอใจ แต่ตั้งใจถวายทานเพื่อสงฆ์ ด้วยความศรัทธาเลื่อมใส

    เมื่อมีพระเถระรูปหนึ่งซึ่งเป็นตัวแทนจากสงฆ์มารับสังฆทาน ไม่แสดงอาการชื่นชมยินดีมากนัก เพราะตั้งใจแน่วแน่ว่าเราถวายทานเพื่อสงฆ์ การปฏิบัติเช่นนี้ เป็นการน้อมใจถวายทานเพื่อสงฆ์

    สมัยหนึ่ง พระพุทธองค์เสด็จประทับอยู่ที่นิโครธาราม พระนางมหาปชาบดีโคตรมี ซึ่งเป็นพระน้านาง ทรงดำริว่าตั้งแต่พระพุทธองค์เสด็จมาพระนครนี้ พระประยูรญาติต่างพากันถวายสิ่งของต่างๆ จำนวนมาก แต่เรายังไม่ได้ถวายอะไรเลย ควรจะถวายผ้าจีวรเนื้อดีจะประเสริฐกว่า จึงดำเนินการเย็บจีวรตามขั้นตอนจนสำเร็จด้วยพระองค์เอง แล้วน้อมนำไปถวายพระพุทธองค์


    • Update : 16/4/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch