|
|
พระพุทธชินราช
|
ประเทศไทยเรามีพระพุทธรูปองค์สำคัญๆ มากมาย แต่ที่นับว่าสร้างชื่อเสียงไปทั่วโลกนั่นก็คือ "พระพุทธชินราช" พระประธานในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก เพราะเป็นที่ยอมรับและยกย่องว่า เป็นพระพุทธรูปที่มีความงดงามที่สุดในโลก ชินราช นั้นแปลว่า พระราชาผู้ชนะ หมายถึงชนะมาร เพราะองค์พระประทับนั่งปางมารวิชัย มีเอกลักษณ์เป็นซุ้มเรือนแก้วทำจากไม้สักปิดทองเป็นรูปมกรคายพวงอุบะและตัวทักทอ
พระพุทธชินราช เป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธศิลปะสุโขทัยหมวดใหญ่พิษณุโลก หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ ขนาดหน้าตักกว้าง 5 ศอก 1 คืบ 5 นิ้ว และสูง 7 ศอก องค์พระมีสัดส่วนลงตัวกับพระอุโบสถ สร้างความสะดวกในการกราบไหว้สักการะและชื่นชมความสง่างามอย่างใกล้ชิด และได้สัมผัสกับความรู้สึกของความเยือกเย็นสุขสงบ ความปลาบปลื้มปีติอย่างน่าอัศจรรย์ ยิ่งนัก
ตามตำนานระบุว่า ผู้สร้าง "พระพุทธชินราช" คือ พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก เจ้านครเชียงแสน ซึ่งแผ่อำนาจมาจนถึงนครศรีสัชนาลัย แล้วเสด็จลงมาตั้งเมืองพิษณุโลก เพื่อให้เจ้าไกรสรราช พระราชโอรสอันเป็นพระราชนัดดาของเจ้านครศรีสัชนาลัยอยู่ครอง
พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกทรงสร้างวัดมหาธาตุและพระวิหารใหญ่ วิหารทิศขึ้น แล้วทรงหล่อพระพุทธรูปขึ้น 3 องค์ คือ พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศาสดา เมื่อวันพฤหัสบดี เพ็ญเดือน 4 ปีจอ พุทธศักราช 1499 เสร็จพร้อมกัน 2 องค์ คือ พระศรีศาสดาและพระพุทธชินสีห์ ส่วนพระพุทธ ชินราชนั้นหล่อไม่สำเร็จเพราะทองไม่เดินตามปกติ ในปีต่อมาจึงให้ช่างปั้นหุ่นพระพุทธชินราชใหม่ และหล่อได้สำเร็จในปีพ.ศ. 1500 เมื่อหล่อพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์เสร็จสิ้น ปรากฏว่าทองที่ใช้ในการหล่อครั้งนี้ยังเหลืออยู่ จึงได้ให้ช่างเอาเศษทองที่เหลือหล่อเป็นพระพุทธรูปองค์เล็กอีกหนึ่งองค์ เรียกชื่อว่า "พระเหลือ" แล้วอัญเชิญทั้งหมดประดิษฐานที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ
ใน "พระราชพงศาวดารเหนือ" ที่ พระวิเชียรปรีชา (น้อย) รวบรวมขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ก็ได้กล่าวถึงการหล่อพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์เช่นกัน ความว่า
"...ครั้นได้ฤกษ์ดีจึงเอาพิมพ์เข้าเตา วันเธอหล่อนั้นวันพฤหัสบดี เพ็ญเดือนสี่ ปีจอ ชุมนุมพระสงฆ์ทั้งหลาย มีพระอุบาลี และพระศิริมานนท์เป็นประธาน และพระสงฆ์เจ้าทั้งหลาย หล่อให้พร้อมกันทั้งสามรูป แลรูปพระศรีศาสดา พระชินสีห์ทั้งสองพระองค์นั้นทองแล่นเสมอกันบริบูรณ์ ยังแต่พระพุทธชินราชเจ้านั้นมิได้เป็นองค์เป็นรูป จนพระอินทร์ต้องเนรมิตกายเป็น "ตาปะขาว" มาช่วยหล่อจึงสำเร็จ..."
พระมหากษัตริย์ไทยและเชื้อพระวงศ์แทบทุกสมัยจนถึงปัจจุบัน ต้องเสด็จฯ ไปกราบไหว้นมัสการพระพุทธชินราช ที่จ.พิษณุโลก และต่างทรงชื่นชมในความสง่างามเกิดความเคารพศรัทธาเลื่อมใส บ้างก็นำมาเขียนเป็นพระราชนิพนธ์และพระนิพนธ์ต่างๆ มากมาย อาทิ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อครั้งเสด็จฯ เมืองพิษณุโลก ได้มีพระราชหัตถเลขา บันทึกถึงองค์พระพุทธชินราชไว้ว่า
"...พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ พระศรีศาสดา 3 พระองค์นี้ เป็นพระพุทธปฏิมากรดีล้ำเลิศ ประกอบด้วยพุทธลักษณะอันประเสริฐ มีศิริอันเทพยดาหากอภิบาลรักษาย่อมเป็นที่สักการบูชานับถือมาแต่โบราณ แม้พระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาที่ได้มีพระเดชานุภาพมโหฬาร ปรากฏมาในแผ่นดินก็ทรงนับถือทำสักการบูชามาหลายพระองค์...จะหาพระพุทธรูปองค์ใดงามเสมอพระพุทธชินราชนั้นไม่มีแล้ว..."
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ก็ทรงพระราชนิพนธ์ชื่นชมพระพุทธชินราชไว้ในหนังสือ "เที่ยวเมืองพระร่วง" ว่า
"ตั้งแต่ข้าพเจ้าได้เห็นพระพุทธมานักแล้ว ไม่เคยรู้สึกว่าดูปลื้มใจจำเริญตาเท่าพระพุทธชินราชเลย ที่ตั้งอยู่นั้นก็เหมาะนักหนา ว่าวิหารเหมาะ พอเหมาะกับพระ มีที่ดูได้ถนัด และองค์พระก็ตั้งต่ำพอดูได้ตลอดองค์ ไม่ต้องเข้าไปดูจนจ่อเกินไป และไม่ต้องแหงนคอตั้งบ่าแลดูแต่พระนาสิกพระ ยิ่งพิศไปยิ่งรู้สึกยินดีว่า ไม่เชิญลงมาเสียจากที่นั่น ถ้าพระพุทธชินราชยังคงอยู่ที่พิษณุโลกตราบใด เมืองพิษณุโลกจะเป็นเมืองที่ควรไปเที่ยวอยู่ตราบนั้น ถึงในเมืองพิษณุโลกจะไม่มีชิ้นอะไรเหลืออีกเลย ขอให้มีแต่พระพุทธชินราชเหลืออยู่แล้ว ยังคงจะอวดได้อยู่แล้ว ยังคงจะอวดได้อยู่เสมอว่ามีของควรคู่ควรชมอย่างยิ่งอย่างหนึ่งในเมืองเหนือหรือจะว่าในเมืองไทยทั้งหมดก็ได้..."
ไม่ว่าผู้ใดที่ได้ไปกราบนมัสการ ต้องเกิดความศรัทธาเลื่อมใสในความงดงาม ความสง่างาม และความสำคัญขององค์พระพุทธชินราช จนเป็นที่กล่าวขวัญกันมาทุกยุคทุกสมัย และได้รับความนิยมอัญเชิญไปจำลองในรูปแบบของพระเครื่องและเหรียญต่างๆ มากแบบมากชนิดที่สุดทีเดียวเชียวครับผม
|
Update : 18/2/2555
|
|