|
|
น้ำไหนๆก็สู้น้ำใจไม่ได้
น้ำไหนๆก็สู้น้ำใจไม่ได้
หน้าต่างศาสนา
ในสถานการณ์มหาอุทกภัยที่ชาวไทยประสบ ช่วยสร้างบทเรียนสำคัญหลายเรื่อง
เราอาจมองเรื่องน้ำใจได้สองอย่าง คือ หนึ่ง น้ำที่มีหัวใจ เพราะโดยปกติน้ำจะไม่มีจิตใจ ไม่สามารถบังคับตัวเองให้ไหลไปตามที่ต้องการได้ ต้องไหลไปสู่ที่ต่ำเสมอ แต่พอมีมนุษย์ที่มีจิตใจอาศัยน้ำทำมาหากินจึงบังคับน้ำให้เป็นไปอย่างที่ตนต้องการ สร้างเป็นคลองให้น้ำไหลกลายเป็นชลประทาน หรือทำให้น้ำสะอาดเหมาะแก่การกินและการดื่ม
สอง ใจที่มีน้ำ จะชุ่มฉ่ำเย็นสบาย ลองสังเกตต้นไม้ที่ไม่ได้รดน้ำจะเหี่ยวแห้ง เหมือนใจที่ไร้ธรรมะมีแต่จะเหือดแห้ง จึงต้องมีธรรมะที่มีลักษณะเดียวกับน้ำคือชุ่มฉ่ำเย็นสบายช่วยเยียวยาใจยามประสบกับความทุกข์
ดังนั้น น้ำไหลไปสู่ที่ต่ำและทำลายทุกอย่าง แต่พอมนุษย์ที่มีจิตใจช่วยชักนำก็ทำให้น้ำมีประโยชน์และมีคุณค่ามากขึ้น
..น้ำเหินห่างว่างเว้นจากใจก็ไร้ค่าและใจก็ห่างจากน้ำ สารพันปัญหาจะติดตามมาไม่จบสิ้น...
มีวันหนึ่งพระวิทยากรโครงการธรรมะเยียวยาใจได้เดินทางไปเยี่ยมญาติโยมที่วัดสว่าง จ.นนทบุรี ซึ่งอาศัยศาลาวัดเป็นบ้านพักพิง
มีโยมอุบาสิกาท่านหนึ่งได้เล่าให้ฟังถึงความประทับใจที่เกิดขึ้นว่า "ไม่รู้จักใครมาก่อน แต่วันหนึ่งก็รู้ซึ้งน้ำใจของคนแปลกหน้า วันนั้นโยมเป็นลมและชัก เพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่นอนไม่ค่อยหลับ กินอะไรก็ไม่ค่อยได้ อีกทั้งมีโรคประจำตัวอยู่ด้วย แต่วันนั้นคนที่ไม่คุ้นหน้าได้ช่วยนำโยมส่งโรงพยาบาล"
โยมเล่าพร้อมกับเอ่ยชื่อและชี้มือไปทางหญิงคนหนึ่งที่อุ้มลูกอยู่ในมือแล้วเล่าต่อ "ถ้าไม่มีคุณคนนี้คิดไม่ออกว่าตัวเองจะเป็นอย่างไร ขอขอบคุณอีกครั้ง" เสียงตบมือดังมาโดยไม่มีใครให้สัญญาณ กลายเป็นความประทับใจจากน้ำใจของคนที่ตกทุกข์ด้วยกัน
พระวิทยากรถามต่อ "แล้วถ้าคุณโยมขับรถมาด้วยความเร็ว ข้างซ้ายเป็นหญิงท้องแก่ ข้างขวาเป็นพระ โยมจะตัดสินใจเหยียบใคร" ทั้งศาลาเงียบไปสักพัก ก่อนจะได้ยินเสียงแว่วๆ ดังขึ้นว่า "เหยียบพระ" เปลี่ยนบรรยากาศตรงนั้นให้สดชื่นอีกครั้งด้วยเสียงหัวเราะ "ทำไมโยมไม่เหยียบเบรกละ"
พระวิทยากรเฉลย "นี่ละเราจะมีน้ำใจหรือยังมีธรรมะในใจได้ก็เพราะอาศัยสติ เพราะหากขาดสติแล้วไม่ว่าจะพูดหรือทำอะไรก็ยิ่งทำให้แย่กว่าเดิมทั้งนั้น จำไว้ว่า สติมา ปัญญาเกิด สติเตลิด จะเกิดปัญหา เจริญพร"
|
Update : 24/12/2554
|
|