ในขณะที่คนไทยส่วนใหญ่กำลังช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมด้วยใจบริสุทธิ์ ต้องการลดทุกข์ให้กับเพื่อนร่วมชาติผู้พบกับปัญหาที่ไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไหร่ด้วยสิ่งของเงินทองหรือหลาย ๆท่านฝ่าความยากลำบากเข้าไปเพื่อให้ความช่วยเหลือนั้นถึงมือของผู้ที่ต้องการจริง ๆ ก็มีกระแสข่าวมากมายหลายเรื่องที่น่าสะเทือนใจเป็นที่สุด แต่ละเรื่องล้วนแต่เป็นเรื่องที่เราสามารถเรียนรู้จากปรากฏการณ์เหล่านี้ได้ทั้งสิ้น
การที่ มีคนจัดการแพ็กข้าวของบริจาคนั้นเสียใหม่ แล้วติดนามบัตรของตัวเองลงไปเพื่อจะบอกว่า นี่คือน้ำใจของตนเองในการช่วยผู้ประสบภัย...เรื่อง การเรี่ยไรบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือแต่ท้ายที่สุดก็อมเงินเอาไว้เอง และ....การกระทำแบบนี้ดีหรือไม่ดีท่านผู้อ่านคงประเมินได้..แต่ มันมีผลร้ายแรงยิ่งกว่าแค่เรื่องของการหวังผลเอาหน้า .. เพราะสิ่งนี้ทำให้คนไทยอีกจำนวนมาก (ที่มีน้ำใจบริสุทธิ์ที่จะช่วยเหลือ) เกิดความลังเลว่า ควรจะช่วยหรือไม่ควรจะช่วย เพราะหากว่าช่วยไปแล้วความช่วยเหลือของตนเองจะกลายเป็นเครื่องมือของผู้ไม่บริสุทธิ์ใจ เท่ากับเราเป็นส่วนหนึ่งของการเสริมสร้างความเลวร้ายให้กับสังคมหรือสังคมที่เน้นการสร้างหน้าสร้างตา และทำให้ขบวนการเหล่านี้เติบโตขึ้นไปอีก
สังเกตไหมครับว่า ระยะหลังคนไทย จะทำความดีอะไรเริ่มต้นมีความลังเล ไม่ใช่เพราะไม่อยากจะช่วยแต่เป็นเพราะกระแสสังคมในลักษณะนี้มันทำให้คนต้องฉุกคิด และในหลายโอกาสตัดสินใจที่จะไม่ช่วยเหลือ เพราะไม่อยากจะถูกตราหน้า (จากตัวเอง) ว่าเสียรู้ คนที่มีจิตใจดีส่วนใหญ่นั้นจะให้นั้นคงไม่ได้หวังผลว่าจะมีใครใส่ใจให้เครดิตกับตัวเองหรือไม่
ลองคิดดูสิครับว่าหากคนทุกคนคิดแบบนี้กันเป็นเวลานานและซ้ำ ๆ กันไปเรื่อย ๆ ในขณะที่ปรากฏการณ์แบบนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็นข่าวต่อเนื่อง ทำให้คนระวังตัวไปเรื่อย ๆ คนไทยเราก็จะมีนิสัยของการลังเลที่จะแสดงน้ำใจ แล้วสังคมเราจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร
แม้ว่าแง่หนึ่งสังคมจะสร้างเกราะป้องกันตัวขึ้นมา (และอาจช่วยเหลืออย่างระมัดระวังมากขึ้น) แต่อีกแง่หนึ่งสังคมคงได้เรียนรู้ว่า นับแต่นี้คนที่ให้แบบ เอาหน้า ต่างกับการให้อย่างไม่หวังผลใด ๆ นอกจากเพื่อให้ผู้อื่นพ้นทุกข์นั้นเป็นอย่างไร
ดังนั้นบรรดาผู้เอาหน้า ท่านคงรู้ว่าท่านได้อะไรจากการกระทำแบบนั้น แต่อยากให้รู้โลกด้วยว่าสังคมปัจจุบันมีวุฒิภาวะเพียงพอที่จะรู้ว่า คนเอาหน้าเป็นอย่างไรผู้บริสุทธิ์ใจเค้าคิดกันอย่างไร
นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นคือ เรื่อง การแอบอ้างเป็นกลุ่มผู้ช่วยเหลือผู้ประสบภัยและออกเรี่ยไร เช่นเดียวกันคนพวกนี้ ทำให้สังคมเกิดความลังเลที่จะแบ่งปันน้ำใจ เพราะคนไทยก็จะลังเลที่จะให้ความช่วยเหลือ การที่สังคมไทยจะมีน้ำใจให้กันน้อยลงไปก็เป็นเพราะว่าพฤติกรรมประเภทนี้นี่แหละ
หรือข่าวที่มีคนโทรฯ ไปป่วน ศูนย์อำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยธรรมชาติ นับพัน ๆ สาย ทำให้ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ ไม่สามารถเข้าถึงการให้ความช่วยเหลือได้ ทั้ง ๆ ที่ได้มีการรณรงค์ไม่ให้ป่วนก็ยังมีนับพันสาย คนพวกนี้คงไม่ได้อ่าน “รู้โลกไม่รู้ตน” เลยไม่เคยได้พิจารณาเลยว่า สิ่งที่ตนเองทำอยู่นั้น ทำแล้วได้ประโยชน์อะไร สิ่งที่ “สะใจ” หรือ “มันส์” นั้นมันมีคุณค่าอะไรหรือไม่นอกจากเป็นการกระทำเพราะความคึกคะนองเท่านั้นเอง
คงเป็นการยากที่จะโน้มน้าวให้มนุษย์เหล่านี้เข้าใจถึงประโยชน์ส่วนรวมและจริย ธรรมของสังคม ดังนั้นคงเป็นท่าทีของสังคมที่จะต้องปฏิเสธ หรือต่อต้านการกระทำเหล่านี้ เพื่อย้ำให้มั่นใจว่า นิสัยความโอบอ้อมอารีมีน้ำใจต้องการปลดทุกข์หรือแม้แต่เฉลี่ยทุกข์กับคนอื่นนั้นยังคงอยู่คู่กับสังคมไทย.
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะฯ
ข้าพระพุทธเจ้า นายดักกลาส กิบสัน เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ประจำประเทศไทย
ทั้งนี้ ประเทศสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ (Republic of South Africa) เป็นประเทศอิสระที่อยู่ทางตอนใต้สุดของทวีปแอฟริกา มีพรมแดนติดกับประเทศนามิเบีย ประเทศบอตสวานา ประเทศซิมบับเว ประเทศโมซัมบิก และ ประเทศสวาซิแลนด์ ส่วนประเทศเลโซโท เป็นดินแดนที่ถูกล้อมรอบทุกด้านด้วยอาณาเขตของประเทศแอฟริกาใต้
สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ มีเมืองหลวงชื่อ กรุงพริทอเรีย ประชาชนประมาณ 1,010,000 คน ประชากร 75% เป็นชนผิวดำ 13% เป็นชนผิวขาว 8% เป็นเชื้อชาติผสม และ 3% เป็นอินเดีย เมืองใหญ่ที่สำคัญที่สุดคือ Johannesburg และ Cape Town นับถือศาสนา คริสต์ อิสลาม ฮินดู ยิว และความเชื่อพื้นเมืองอื่น ๆ โดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ
เงินตราใช้สกุล Rand 1 Rand เท่ากับประมาณ 6.5 บาท ธนาคารส่วนใหญ่รับเช็คสกุลเงินหลัก ๆ โดยคิดค่าบริการประมาณ 1% ร้านค้ารับบัตรเครดิต โดยเฉพาะ Visa และ Mastercard
สำหรับระเบียบการเข้าเมือง ข้อมูลจากเว็บไซต์ของกระทรวงการต่างประเทศ (www.mfa.go.th) ระบุไว้ว่า การเดินทางไปยังแอฟริกาใต้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น นอกเหนือไปจากการท่องเที่ยวเป็นเวลา 30 วัน จะต้องได้รับการตรวจลงตรา (วีซ่า) ให้ถูกต้องตามประเภทและวัตถุประสงค์ในการเข้าเมือง ส่วนการทำงานที่แอฟริกาใต้ไม่ว่ากรณีใดๆ จะต้องมีใบอนุญาตทำงาน (work permit) ซึ่งออกให้โดยสถานทูตแอฟริกาใต้ประจำกรุงเทพฯ รวมถึงกรณีคนไทยที่เดินทางไปแอฟริกาใต้และพำนักอยู่เกิน 30 วัน ควรติดต่อสถานเอกอัครราชทูต เพื่อแจ้งที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้ ตลอดจนระยะเวลาที่จะพำนักอยู่ในประเทศนี้ เพื่อจะได้มีข้อมูลสำหรับติดต่อกรณีมีเหตุฉุกเฉิน หรือมีเหตุจำเป็นอื่น ๆ