ทําท่าว่าจะไม่จบง่ายเสียแล้ว สำหรับกรณี พระเกษม อาจิณณสีโล สำนัก สงฆ์สามแยก อ.น้ำหนาว จ.เพชร บูรณ์ ที่ยังไม่เลิกปล่อยคลิปฉาวออกเผยแพร่ความยาวประมาณ 20 นาที
มีเนื้อหาภายในคลิปในลักษณะท้าทายนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ประกาศข่าวช่อง 3 ให้มาเจาะข่าวที่สำนักสงฆ์
ภายในคลิปดังกล่าว พระเกษมกล่าวท้าทายว่า "ถ้าแน่จริง ให้มาเจาะข่าวที่สำนักสงฆ์ เรื่องของเรามันไม่เด่นหรืออย่างไร สื่อมวลชนจะต้องเปิดเผยทุกเรื่อง เป็นอย่างนี้ก็ไม่เปิดเผย คนที่จะชอบเรา หรือไม่ชอบเราจะได้เบ็ดเสร็จ"
พร้อมกับมีการแสดงท่า ทางที่ไม่เหมาะสม ด้วยการ นำเท้ายกไปพาดก้านคอของพระรูปหนึ่ง พร้อมทั้งกล่าวว่า "หากเราไม่ชอบพระรูปไหนเราก็จะทำแบบนี้ เราก็เหวี่ยงเท้าแบบนี้ เปรี้ยงก้านคออย่างนี้ ผู้เห็นคิดว่าเราต้องอาบัติอะไร มาสิมาตรวจสอบ เราไม่รู้ว่าต้องอาบัติอะไร ถ้าลูกศิษย์ทำผิดแล้วไม่รู้ว่าผิดอะไร เราก็จะเอาตีนยกขึ้นไปปิดหน้าเอาไว้ เอาฝ่าเท้าไปปิดที่ดวงตา ถ้ายังทำผิดอีกกูก็จะไม่แค่เอาแค่ปิด การยกขาไม่รู้ว่าถูกหรือผิด แต่เราอยากทำ รับรองไม่มีเงินฝาก ไม่มีเมีย ไม่มีคู่ขา ไม่มีกิ๊ก หากตัวข้าพเจ้าเป็นบุคคลที่หมาไม่แดกจริง ชาวโลกจะได้เลิกเคารพ หากข้าพเจ้าโรคจิตจริง จะได้ให้หมอมารักษา"
ก่อนหน้านี้ พระเกษมได้เผยแพร่คลิปความยาว 24.10 นาที ขึ้นต้นเขียนตัวอักษรว่า "แบบนี้ อยากดังหรืออยากดับ จงพิจารณา" เป็นภาพของพระเกษม ช่วงเตรียมฉันเช้าที่โรงรับจังหันเช้า มีพระสงฆ์และแม่ชี เดินตักอาหารบนโต๊ะ ท่ามกลางลูกศิษย์และญาติโยมที่นั่งอยู่ในบริเวณดังกล่าว
ก่อนที่พระเกษมจะกล่าวถ้อยคำหยาบคาย เสียงดัง น้ำเสียงเชิงประชดประชัน และพูดย้ำตลอดว่า "แบบนี้หรือ...ที่อยากดัง" อีกทั้งยังแสดงกิริยาใช้เท้าเตะข้าวของและอาหาร รวมทั้งยกเท้าขึ้นกระทืบบนโต๊ะอาหารด้วย
กระทั่งพระเกษมออกมายอมรับว่าเป็นผู้เผยแพร่คลิปวิดีโอดังกล่าวลงในเว็บไซต์ยูทูบและเว็บไซต์ของวัดด้วยตนเอง เนื่องจากต้องการตอบ โต้พระผู้ใหญ่รูปหนึ่ง ที่กล่าวหาว่ามีพฤติกรรมแตกต่างและอยากโด่งดัง
พระเกษมยังอ้างอีกว่าพฤติกรรมทุกอย่าง เทศน์สอนตามพระธรรมวินัยและพระไตรปิฎกอย่างไม่ผิดเพี้ยน หากผู้ใดคิดว่าเป็นการกระทำที่ผิด ขอเชิญมาจับหรือดำเนินคดีได้เลย
หลังจากออกมายอมรับของพระเกษม ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ นายวิโรจน์ ไผ่ย้อย รักษาการ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเพชรบูรณ์ได้เข้าหารือกับพระวิสุทธินายก เจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์ ฝ่ายคณะธรรมยุต และเจ้าอาวาสวัดสนธิกรประชาราม อ.เมือง จ.เพชร บูรณ์
คณะสงฆ์ได้มีมติแจ้งให้พระเกษมออกจากพื้นที่ จ.เพชรบูรณ์ เหมือนเมื่อครั้งเกิดเรื่องฉาวในปี 2551 ซึ่งคณะสงฆ์ทำได้แค่แจ้งให้ออกจากพื้นที่เท่านั้นและตามธรรมเนียมปฏิบัติ พระสงฆ์ที่ถูกแจ้งจะต้องดำเนินการตามมติ คือ ออกเดินทางจากพื้นที่ทันที
สำหรับพระเกษมเคยตกเป็นข่าวฮือฮาเมื่อ 2-3 ปีก่อน จากกรณีเทศน์ลูกศิษย์ไม่ให้กราบไหว้องค์พระพุทธชินราชจำลอง รวมทั้งตบพระพักตร์และใช้เท้าเหยียบฐานพระพุทธรูป โดยติดป้ายข้อความว่า "ทองเหลืองหล่อนี้ ไม่ใช่พระ พุทธเจ้า ไม่ต้องกราบมัน"
เรื่องราวบานปลายถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาล เมื่อสำนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องพระเกษมฐานความผิดเหยียดหยามศาสนา
แต่สุดท้ายเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2553 ศาลจังหวัดหล่มสัก ได้มีคำพิพากษายกคำฟ้องทั้งหมด เนื่องจากไม่เห็นว่าพระเกษมมีเจตนาเหยียดหยามศาสนา
จากนั้นข่าวคราวของพระเกษมเงียบหายไป จนกระทั่งเกิดกรณีคลิปล่าสุด
สำหรับพระเกษม เป็นพระชื่อดังที่มีญาติ โยมและลูกศิษย์จำนวนมาก อีกทั้งมีลักษณะการเทศน์ธรรมที่แปลกแตกต่างจากพระภิกษุรูปอื่นและใช้ถ้อยคำที่ไม่เหมาะสม และมักเผยแพร่วิดีโอเทศน์ธรรมผ่านทางเว็บไซต์ยูทูบและเว็บไซต์ของวัดป่าสามแยกอยู่เป็นประจำ
ความคืบหน้าล่าสุด นายวิโรจน์ ไผ่ย้อย รักษา การผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเพชร บูรณ์ รายงานว่าประเด็นที่พระเกษมไม่ทำตามมติคณะสงฆ์ เมื่อปี พ.ศ.2551 ที่เคยออกไปแล้วนั้น ยังคงต้องรอหนังสือมอบอำนาจจากคณะสงฆ์เพื่อให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นผู้ไปดำเนินการขอกำลังตำรวจจัดการกับพระเกษม ตามมติคณะสงฆ์ต่อไป ซึ่งคำสั่งเดิมมีมติให้พระเกษมหยุดการกระทำลบหลู่ต่อพระพุทธรูป และให้ออกไปจาก จ.เพชรบูรณ์ ทั้งนี้ พระเกษมได้เซ็นชื่อรับทราบไปเรียบร้อยแล้ว
พระราชธรรมนิเทศ หรือ พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว จ.นนทบุรีกล่าวว่า พฤติกรรมของพระเกษมนั้น ผิดหลักเสขิยวัตร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวินัยบัญญัติในเรื่องของการแสดงตัวไม่เหมาะสม ซึ่งการที่พระเกษมแสดงอาการดังกล่าวนั้น จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อไม่มีใคร เห็น แต่เมื่อมีคนเห็นโดยการเผยแพร่ผ่านยูทูบ ก็ถือว่าผิดหลักเสขิยวัตร
ขณะเดียวกัน ที่วัดสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ น.พ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธ ศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ได้เดินทางเข้าพบ พระพรหมเมธี เจ้าคณะภาค 4-5-6-7 (ธ) เพื่อหารือแนวทางในการดำเนินการกับพระเกษม
จากการหารือกับเจ้าคณะภาค 4-5-6-7 ได้ข้อสรุปว่า จะดำเนินการยุติเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ทำหนังสือถึงเจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์ (ธ) ให้ดำเนินการสรุปพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของพระเกษมไปให้เจ้าคณะจังหวัดอุดรธานี (ธ) พิจารณา เนื่องจากเป็นต้นสังกัด
สำนักพุทธฯ จะรอให้เจ้าคณะจังหวัดอุดรธานี สรุปผลออกมาอีกครั้ง
คงต้องติดตามกันว่าผลที่สุดแล้วเรื่องราวจะจบลงอย่างไร
ขณะเดียวกันก็สะท้อนการแก้ปัญหาของคณะสงฆ์ที่เต็มไปด้วยขั้นตอน