สมาคมพิษณุโลกสืบสานตำนานเดือน 9 จัดงานกินเจ-ขอพระเจ้าแม่กวนอิมหยกขาว
เทศกาลกินเจถือเป็นประเพณีที่สืบทอดรุ่นต่อรุ่นกันมาช้านาน โดยนับรวมจนถึงปัจจุบันแล้ว เทศกาลกินเจปฏิบัติกินเวลากว่า 400 ปีแล้วและเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันที่ 27 กันยายน-6 ตุลาคม 2554 ทางสมาคมพิษณุโลกการกุศลสงเคราะห์ โรงเจไซทีฮุกตึ๊ง เต็กก่า จีเสี่ยเกาะ ศาลเจ้าพ่อเห้งเจีย ได้จัดงานใหญ่ เนื่องจาก จ.พิษณุโลก ถือเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่ชาวไทยเชื้อสายจีนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้น เมื่อถึงเทศกาลกินเจ สถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา จึงแน่นขนัดไปด้วยผู้คนจำนวนมากที่ต่างหลั่งไหลเดินทางมาร่วมทำบุญให้แก่บรรพบุรุษ
โดยบรรดาศาลเจ้า หรือโรงเจต่าง ๆ ในช่วงเทศกาลกินเจจะมีการประกอบพิธีทางศาสนาตลอดทั้ง 9 วัน ซึ่งสาเหตุที่ให้ความสำคัญกับเลข 9 มากเป็นพิเศษ เพราะว่าชาวจีนเชื่อว่าเป็นเลขมงคล ประกอบกับเทศกาลกินเจตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ ถึง 9 ค่ำ ตามปฏิทินของจีน และตรงกับช่วงเดือน 9 ของทุกปี ดังนั้น เพื่อสักการะดาวนพเคราะห์ในอดีตกาลทั้ง 7 องค์ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 องค์ รวมเป็น 9 องค์ ซึ่งได้แก่ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัสบดี พระศุกร์ พระเสาร์ พระราหู และพระเกตุ ในช่วงเทศกาลกินเจ ชาวไทยเชื้อสายจีน จึงสละเวลามานุ่งขาวห่มขาว บำเพ็ญศีล 5 และละเว้นการทานเนื้อสัตว์ทุกชนิด
ทั้งนี้ในวันแรกของเทศกาลกินเจ จะเป็นการรับเทพเจ้า หรือที่ชาวจีนเรียกกันว่า “เก้าอวง” หรือ “กิ้วอวง” คือ องค์เทพประธานในการจัดงานถือศีลกินเจในแต่ละปี ซึ่งแต่ละศาลเจ้าจะกำหนดระยะเวลาในการทำพิธีบวงสรวงอัญเชิญ หรือรับเสด็จเทพเจ้าดาวนพเคราะห์ทั้ง 9 ดวง ให้มายังศาลเจ้า
จากนั้นเมื่อรับเทพเจ้าแล้วต้องมีการตั้งโต๊ะบูชากลางแจ้ง หรือริมแม่น้ำ โดยให้ผู้อาวุโสหรือประธานศาลเจ้าโยนไม้เสี่ยงทาย เมื่อปรากฏคำว่า “ สำเร็จ” จะมีเสียงปี่กลองบรรเลงดังสนั่นและจุดประทัด เพื่อรับเสด็จองค์กิ้วอ้วงฮุกโจ้ว หรือดาวนพเคราะห์ทั้ง 9 ดวง ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณให้ทราบว่าขณะนี้ได้เริ่มต้นเทศกาลกินเจแล้ว
หลังจากอัญเชิญเทพเจ้าเสร็จ จะถึงเวลาอัญเชิญตะเกียงเทพเจ้า หรือเสาตะเกียงฟ้าดินที่ทำจากต้นไผ่ ขึ้นสู่ยอดเสา ซึ่งในช่วงเย็นของทุกวัน ผู้มาถือศีลกินเจจะต้องมาร่วมกันประกอบพิธีสวดมนต์เย็น พร้อมกับเดินเวียนธูปเป็นประจำทุกคืน
อย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเทศกาลกินเจ นอกจากจะเป็นการถือศีล 5 และละเว้นการทานเนื้อสัตว์ทุกชนิดแล้ว อีกสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะถือเป็นสีสันแห่งเทศกาลกินเจ คือ ในช่วงวันสุดท้ายจะมีการแสดงแห่สิงโตมังกรทอง พร้อมอัญเชิญ “องค์กิ้วอ้วงฮุกโจ้ว” หรือ ดาวนพเคราะห์ทั้ง 9 ให้ประชาชนและผู้เดินทางมาร่วมงานได้กราบสักการะขอพร เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว
นอกจากนี้ ยังมีการประกอบเรือที่ทำมาจากไม้ไผ่ และประดับประดาด้วยกระดาษเงินกระดาษทอง ดอกไม้หลากสีที่ประดิษฐ์ด้วยกระดาษอย่างสวยงาม นำไปแห่ร่วมขบวน จากนั้นเมื่อเสร็จพิธีให้นำเรือดังกล่าวไปลอยยังท่าน้ำ เพื่อส่งดาวนพเคราะห์ทั้ง 9 ดวง กลับสู่สรวงสวรรค์ เป็นอันจบเทศกาลกินเจโดยสมบูรณ์
ถ้าหากท่านใดที่สนใจอยากที่จะเดินทางมาร่วมเทศกาลกินเจ ที่สมาคมพิษณุโลกการกุศลสงเคราะห์ โรงเจไซทีฮุกตึ๊ง เต็กก่า จีเสี่ยเกาะ ศาลเจ้าพ่อเห้งเจีย จ.พิษณุโลก สามารถเดินทางมาได้อย่างสะดวก โดยตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 17 กิโลเมตร สังเกตได้ง่าย ๆ เมื่อขับรถก่อนถึง อ.วังทอง จะพบกับทางแยกซ้ายมือ ให้เลี้ยวไปจนเจอทางขึ้นเขาสมอแคลง และให้วิ่งตรงไป 1 กิโลเมตร มีป้ายขนาดใหญ่เขียนว่า “ดอยสุเทพ 2” ให้ขับต่อไปจะเจอจุดชมวิว และขับไปไม่ไกลนักจะถึงโรงเจไซทีฮุกตึ๊ง สถานที่จัดงาน โดยไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่พักและอาหารการกิน ที่โรงเจไซทีฮุกตึ๊ง มีไว้คอยบริการตลอดทั้ง 9 วัน
ในส่วนของที่พัก โรงเจได้จัดเตรียมไว้ให้ เพียงแต่ท่านใดสนใจให้ติดต่อ หรือแจ้งความประสงค์มาว่าต้องการปฏิบัติธรรมและพักค้างแรม เพื่อความสะดวก สำหรับเรื่องอาหาร ทางโรงเจมีอาหารเจรสเลิศที่คัดลอกต้นแบบมาจากอาหารจีนแต้จิ๋วสูตรโบราณ ไว้ให้รับประทานฟรี ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. ของทุกวันตลอดเทศกาลกินเจ
และเมื่อเสร็จสิ้นจากการร่วมงานเทศกาลกินเจแล้ว ขอเชิญชวนให้ไปท่องเที่ยวหลากหลายสถานที่ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะ “เขาสมอแคลง” ใครที่มาเยือน จ.พิษณุโลก แล้วไม่ได้ไป ถือว่ามาไม่ถึง เพราะเป็นสถานที่สักการะ “พระมหาโพธิสัตว์กวนอิมหยกขาว” ที่ประดิษฐานอยู่ที่วัดราชคีรีหิรัญญาราม ซึ่งถือเป็นพระปางประทับยืนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ โดยแกะสลักมาจากหินทะเลหยกขาว สูง 3 เมตร 5 เซนติเมตร เป็นอีกหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวพิษณุโลกนิยมกราบไหว้
มาเยือนเทศกาลกินเจ ที่ จ.พิษณุโลก นอกจากอิ่มบุญจากการถือศีล งดรับประทานเนื้อสัตว์ ยังได้ความอิ่มใจ และเสริมสิริมงคลให้แก่ตนเอง ด้วยการแวะเวียนไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เรียกได้ว่าเป็นการมาที่คุ้มค่า ถ้าไม่เชื่อต้องลองมาพิสูจน์ด้วยตัวเองสักครั้งจะรู้ว่าไม่ผิดหวัง...
เดชา พุฒิกานนท์