หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    เล็งไล่พระเกษมชี้แผลงเทียบ คันหู

    เล็งไล่พระเกษมชี้แผลงเทียบ'คันหู'


    พศ.ประสานประสานผู้ว่าฯ เอาผิด "พระเกษม" ย้ายออกจากพื้นที่ ชี้เคยกระทำไม่เหมาะสมมาแล้ว รมต.ประจำสำนักนายกฯ ยันผิดซ้ำต้องดำเนินการขั้นเด็ดขาดขณะที่พระวัดสุทัศนฯ ระบุทำแผลงแล้วยิ่งดังยกท่าคันหูเทียบ

              ความคืบหน้ากรณีพระเกษม อาจิณณสีโล เจ้าอาวาสสำนักสงฆ์ป่าสามแยก ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ ถ่ายคลิปวิดีโอแล้วโพสต์ลงในเว็บไซต์ยูทูบ ซึ่งภาพในคลิปปรากฏด้วยกิริยาไม่สุภาพ พูดจาหยาบคาย  จนกระทั่งถูกวิพากษ์วิจารณ์จากพุทธศาสนิกชนว่าปฏิบัติตัวไม่เหมาะสม ต่อมาพระเกษมได้ออกมาระบุว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการตอบโต้พระผู้ใหญ่ที่กล่าวหาว่าอยากดัง

     

    ประสานผู้ว่าฯขับออกนอกพท.

     

               ล่าสุดวันที่ 21 กันยายน นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนายการสำนักงานพระพุทธศาสนแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า ได้สั่งการไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเพชรบูรณ์แล้ว โดย พศ.จะดำเนินการใน 3 ส่วน คือ 1.ตรวจสอบเรื่องการกระทำที่ไม่เหมาะสมว่าเป็นการกระทำที่ผิดซ้ำของเดิมหรือไม่ 2.ตรวจสอบคลิปวิดีโอว่ามีความผิดจริงหรือไม่ 3.กรณีที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งการให้สำนักสงฆ์และหลวงพ่อเกษม ย้ายออกจากพื้นที่ก่อนหน้านี้นั้น ยังไม่มีการดำเนินการ ก็จะประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดให้ดำเนินการย้ายออกจากพื้นที่

               ผอ.พศ.กล่าวต่อไปว่า ได้รายงานเรื่องดังกล่าวให้นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแล พศ.แล้ว ซึ่งนพ.สุรวิทย์เห็นว่า ควรเร่งดำเนินการตรวจสอบ หากเห็นว่า มีการกระทำผิดซ้ำๆ ก็ควรดำเนินการขั้นเด็ดขาด เพื่อไม่ให้กระทบต่อพระพุทธศาสนา ดังนั้น พศ.จะเร่งประสานกับเจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์ว่า จะดำเนินการเช่นไร เพราะตามระเบียบ มส.ได้กำหนดไว้ว่า เมื่อมีเหตุการณ์ไม่ปกติในหมู่สงฆ์ในพื้นที่ใด ก็ให้เจ้าคณะปกครองในพื้นที่นั้นดำเนินการดูแลสอบสวนก่อน แต่เจ้าคณะจังหวัดไม่ดำเนินการ พศ.คงต้องรายงานให้เจ้าคณะใหญ่รับทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป

               “เราต้องให้เวลาเจ้าคณะปกครองในการดำเนินการก่อน แต่ที่ผ่านมาหลวงพ่อเกษม ได้มีการกระทำที่ไม่เหมาะสมมาแล้ว ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอีก ซึ่งจะกระทบต่อความรู้สึกของชาวพุทธ และกระทบต่อภาพลักษณ์พระพุทธศาสนา หากมีความผิดซ้ำ ก็ควรที่จะมีการดำเนินการ แต่จะอยู่ในขั้นไหนนั้น คงอยู่ที่เจ้าคณะปกครอง และเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต จะมีมติอย่างไร” ผอ.พศ.กล่าว

     

    ส่งเจ้าคณะตำบลเตือนให้หยุดพฤติกรรม

     

     ด้านนายวิโรจน์ ไผ่ย้อย รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเพชรบูรณ์ กล่าวว่า หลังจากที่ทราบข้อมูลว่าหลวงปู่เกษม เป็นผู้ถ่ายวิดีโอและเผยแพร่ภาพออกไปด้วยตนเอง จึงได้นำเรื่องเข้าปรึกษากับพระวิสุทธินายก เจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์  โดยเจ้าคณะจังหวัดได้สั่งการให้เจ้าคณะตำบลในเขตปกครองของสำนักสงฆ์ป่าสามแยกเข้าไปพบหลวงปู่เกษมเพื่อว่ากล่าวตักเตือนและให้หยุดพฤติการณ์ที่ไม่สำรวม

               “จากการปรึกษาพูดคุยกับพระผู้ใหญ่หลายรูปเห็นว่าภาพที่มีการเผยแพร่ออกมานั้น ถือว่าไม่ผิดทางวินัยร้ายแรงของสงฆ์ จึงทำได้เพียงว่ากล่าวตักเตือน จะให้ดำเนินการขั้นรุนแรงถึงขั้นให้สึกนั้นเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ เพราะวินัยสงฆ์ไม่มีข้อระบุชัดเจนว่าการแสดงออกลักษณะที่ปรากฏตามภาพถือเป็นความผิด ต่างจากปีพ.ศ. 2551 ที่มีการดำเนินคดีกับพระเกษมเพราะลบหลู่และเหยียดหยามพระพุทธชินราชจำลอง ด้วยการเหยียบฐานพระพุทธรูปและตบพระพักตร์พระพุทธรูป ถือเป็นการกระทำย่ำยีที่สามารถแจ้งความเอาผิดได้ แต่การที่พระเกษมนำภาพออกมาเผยแพร่นั้น ญาติโยมหลายคนมองว่าเป็นภาพลบที่ทำลายตัวเอง และไม่เข้าใจว่าท่านมีจุดประสงค์ในการแสดงออกมาเพื่ออะไร ถือว่าเป็นการลงโทษทางสังคมมากกว่า” นายวิโรจน์กล่าว

               นายวิโรจน์กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาทุกฝ่ายเข้าไปพูดคุยกับพระเกษมบ่อยครั้งแต่พระเกษมไม่ยอมรับฟังอ้างเพียงคำสอนตามพระไตรปิฎกเท่านั้น จนมาเกิดเรื่องขึ้นอีก หากยังไม่มีการดำเนินการเอาผิดที่ชัดเจนเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำอีก จึงได้เร่งทำรายงานเรื่องความประพฤติของพระเกษมส่งไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ รวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ และประสานเจ้าหน้าที่ป่าไม้จังหวัดให้ตรวจสอบพื้นที่วัดว่าอยู่ในพื้นที่เขตป่าสงวนหรือไม่ พร้อมเตรียมประสานให้ทุกฝ่ายมาพูดคุยให้พระเกษมหยุดพฤติกรรมไม่เหมาะสม

               รักษาการ ผอ.พศ.เพชรบูรณ์ กล่าวอีกว่าพระวิสุทธินายก เจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์ ได้เคยทำหนังสือแจ้งให้พระเกษม ออกนอก จ.เพชรบูรณ์ตั้งแต่ปี 2551 จากกรณีที่พระเกษมเหยียบฐานพระพุทธรูปและตบพระพักตร์พระพุทธรูป ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้นำไปมอบให้พระเกษมได้เซ็นรับทราบ แต่ที่ผ่านมาก็ยังคงอยู่ที่สำนักสงฆ์ป่าสามแยกเช่นเดิม ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งแต่อย่างใด

     

    เตรียมร้องกองปราบฯ27ก.ย.นี้


               ด้านนายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายรวมพลังต่อต้านบ่อนทำลายชาติ ศาสน์ กษัตริย์ กล่าวว่า กรณีพระเกษมที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรงและกระทบจิตใจพุทธศาสนิกชน เพราะตัวพระเกษมเองออกมายอมรับว่า มีการทำลายพระพุทธรูปด้วย ซึ่งจากการกระทำของพระเกษมถือว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 206 ระบุว่า ผู้ใดก็ตามที่มีการกระทำใดต่อวัตถุหรือสถานอันเป็นที่เคารพของศาสนาใดๆ จะมีโทษจำคุก 1-10 ปี ปรับ 2,000-14,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ ดังนั้น จึงจะนำการกระทำของพระเกษมทั้งพฤติการณ์เมื่อปี 2551 ที่มีการติดป้ายห้ามไหว้พระพุทธรูปในวัด และการกระทำในขณะนี้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษที่กองปราบปรามในวันที่ 27 กันยายนนี้

     

    ชาวบ้านไม่ศรัทธาขอแยกหมู่บ้าน

     

               ส่วนความคิดเห็นของผู้นำชุมชนนั้น นายซินเฮง โพธิศรี ผู้ใหญ่บ้านดงคล้อ ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ กล่าวว่า การกระทำของพระเกษมนั้นตนเห็นแล้วรับไม่ได้ แต่กล้าที่จะเข้าไปค้นหา เพราะห่างจากวัดป่าสามแยกมานานแล้ว หลังจากที่สิทธิครอบครองวัดแห่งนี้ของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนหมดไป เพราะพระเกษมเข้ามาครอบครอง ชาวบ้านที่ไม่ศรัทธาและไม่ชอบวิธีการปฏิบัติของพระเกษมที่มีแนวปฏิบัติแตกต่างจากพระสงฆ์ทั่วไป ก็ต่างแยกตัวออกมาและแยกหมู่บ้านออกมาใหม่

               "จากเดิมบ้านดงคล้อเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ แต่พอพระเกษมมาบริหารวัดป่าสามแยก ชาวบ้านที่ไม่พอใจก็แยกหมู่บ้านออกมาตั้งเป็นบ้านดงคล้อ จากหมู่ 6 มาเป็นหมู่ 9 และนำเอาเงินบางส่วนมาช่วยกันปลูกป่า เพื่อรักษาผืนป่าเอาไว้ เนื่องจากก่อนหน้านี้บริเวณนี้เป็นแปลงปลูกป่า แต่กลับมีการนำไม้มาสร้างวัดอย่างมหาศาลชาวบ้านเลยไม่พอใจ" ผู้ใหญ่บ้านดงคล้อกล่าว
     
               นายซินเฮงกล่าวอีกว่า ในส่วนที่จังหวัดจะให้พระผู้ใหญ่เอาผิดกับพระเกษมนั้น เห็นว่ายาก เพราะจากพฤติการณ์ของพระเกษมอ้างหลักฐานและเอกสารคำสอนของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกในหน้าหนึ่งว่า กิจของสงฆ์นั้นควรปฏิบัติอย่างไร ดังนั้นจะเอาพระผู้ใหญ่มาสอบสวนพระเกษมนั้น คงจะไม่มีพระผู้ใหญ่รูปใดออกมา ทั้งที่รู้ว่าผิด เพราะจะถูกพระเกษมถามกลับว่าพระผู้ใหญ่นั้น ณ วันนี้กิจแท้จริงทำอะไรกันอยู่

               "ทางออกที่ดี เจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่มีส่วนเกี่ยวข้องต้องลงมาเอาจริงกับเรื่องนี้ เมื่อเอาทางวินัยไม่ได้ ก็ให้เข้ามาตรวจสอบที่ดินที่ตั้งสำนักสงฆ์ว่าได้มาอย่างไร ได้ก่อสร้างในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่ หากยังพากันเพิกเฉยปัญหาสังคมและกิจของสงฆ์จะกระทบกระเทือนและสร้างปัญหาให้วงการสงฆ์และทำให้ศาสนามัวหมองไปด้วย" นายซินเฮงกล่าว

     

    ป่าไม้พร้อมเข้าตรวจสอบ

     

               ด้านนายประจักษ์ มิยา หัวหน้าชุดปราบปรามผู้กระทำความผิดป่าไม้ ของสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 11 พิษณุโลก กล่าวว่า ในการเข้าไปตรวจสอบพื้นที่ที่ตั้งของสำนักสงฆ์ป่าสามแยกนั้น เจ้าหน้าที่ป่าไม้ยังไม่ได้รับคำสั่งและยังไม่มีเอกสารใดๆ ส่งถึง อย่างไรก็ตามหากเป็นคำสั่งให้เข้าดำเนินการตรวจสอบกรณีพิเศษเร่งด่วนก็ยินดีพร้อมเข้าตรวจสอบทันที

               ส่วนสถานการณ์ภายในสำนักสงฆ์นั้น นายสำลี นันธญาติ ผู้ดูแลสำนักสงฆ์ป่าสามแยก และลูกศิษย์เอกของพระเกษม กล่าวว่า ยังปกติดี มีลูกศิษย์และญาติโยมภายในหมู่บ้านมาร่วมกันทำบุญจัดถวายอาหารแด่ภิกษุตามปกติและไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ส่วนพระเกษมนั้นยังจำวัดปกติ และยังสอนธรรมะแก่ญาติโยม ลูกศิษย์ตามที่เคยปฏิบัติ


    กคพ.ยกท่าคันหูเทียบ


               พระมหาพงศ์นรินทร์ ฐิตวํโส ประธานกลุ่มกัลยาณมิตรเพื่อการเสริมสร้างเครือข่ายวิถีพุทธ (กคพ.) วัดสุทัศนเทพวราราม กรุงเทพฯ กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า ถ้ามองเรื่องเหมาะสม ก็ชัดเจนว่าไม่เหมาะสม เพราไม่ใช่แค่คนเดียวที่คิดอย่างนั้น แต่คนจำนวนมากรู้สึกถึงความไม่เหมาะสม ถ้าเอาเรื่องพระธรรมวินัยมาจับ แค่อาบัติเล็กน้อย เป็นเรื่องของกิริยามารยาท ไม่ถึงขนาดขาดจากความเป็นพระ หรือว่าต้องไปอยู่กรรม (หมายถึงการอยู่พักแรมโดยแยกแดนออกไปประพฤติวัตรเพื่อออกจากอาบัติ) ซึ่งเป็นอาบัติหนัก

               "ประเด็นอยู่ตรงที่ว่า เราต่างฝ่ายต่างเป็นเหยื่อซึ่งกันและกัน เวลาใครทำอะไรแผลงๆ สังคมสนใจ ก็ยิ่งกระตุ้นให้อีกฝ่ายหนึ่งทำอะไรที่แปลกๆ มากขึ้น เทียบกับกรณีของฆราวาส เด็กผู้หญิงเต้นท่าคันหู ยกแข้งยกขาดูไม่เหมาะสม แต่อันนี้เป็นพระ พอสื่อกระแสหลักนำมาเป็นข่าวก็ยิ่งกระตุ้นให้คนสนใจ คนสมัยนี้ ก็คิดว่าจะดังเป็นเรื่องดี หรือไม่ดี ก็ขอให้ดังไว้ก่อน ท่านเองอาจจะมีพฤติกรรมว่า เห็นสังคมมีลักษณะเช่นนี้ ก็ใช้พฤติกรรมนี้ให้สังคมสนใจ ขณะเดียวกันก็ถือเป็นโอกาสในการนำเสนอแนวคิดของท่าน ซึ่งแนวคิดของท่านอาจมีถูก มีผิด ก็ต้องว่ากันต่อไป" พระมหาพงศ์นรินทร์กล่าว

     


    • Update : 22/9/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch