ภาพที่ 6.63 ลักษณะภายนอกกุ้งที่ป่วยเป็นโรคตัวแดง (ทอร่า)
รุนแรงต่ำกว่าเฉียบพลัน (บน)
การแก้ปัญหาเมื่อพบว่ามีกุ้งขาวป่วยตามลักษณะอาการที่กล่าวมาข้างต้นเก็บเอากุ้งป่วยตามขอบบ่อขึ้นมาทำลายรวมทั้งลงไปตรวจดูตามรอบๆแนวเลนกลางบ่อจะมีกุ้งตายบางส่วนที่มากองรวมกันจากความแรงของเครื่องให้อากาศ นำเอากุ้งตายพื้นบ่อทั้งหมดเท่าที่จะทำได้ขึ้นมาทำลาย ห้ามถ่ายน้ำหรือเติมสารเคมีใดๆ ลงไปเพราะถ้ามีการเปลี่ยนแปลงมากกุ้งอาจจะลอกคราบจะมีกุ้งตายมากขึ้นกุ้งที่อ่อนแออยู่แล้วถ้าลอกคราบจะตายเพิ่มขึ้นงดอาหาร 1 วันหรือลดอาหารอย่างน้อย 50 เปอร์เซ็นต์เติมเกลือแร่ลงไปในบ่อเพื่อเพิ่มอิออนที่สำคัญๆจะทำให้กุ้งแข็งแรงขึ้นในกรณีที่น้ำความเค็มต่ำ 1-5 พีพีทีหรือเติมน้ำเค็มเพิ่มความเค็มในบ่อ ระมัดระวังอย่าใช้อุปกรณ์ใดๆร่วมกับบ่ออื่นเช่นแหสุ่มน้ำหนักกุ้งกะละมังเป็นต้นเพราะอาจจะแพร่เชื้อไวรัสไปบ่ออื่นๆได้ง่ายเปิดเครื่องให้อากาศเต็มที่เพื่อรักษาระดับออกซิเจนและคุณภาพน้ำให้อยู่ในระดับที่ดีกุ้งจะแข็งแรงขึ้น
หลังจากการจัดการตามที่กล่าวมานี้พบว่าอัตราการตายจะลดลงเรื่อยๆและสามารถเลี้ยงต่อไปได้จนจับขายแต่ต้องระวังอย่าเร่งการเจริญเติบโตโดยการให้อาหารมากเกินไปกุ้งอาจจะเริ่มตายอีกคล้ายกับอาการครั้งแรกก็ได้
2) ความรุนแรงแบบเฉียบพลัน (acute) กุ้งที่ป่วยเป็นโรคทอร่าประเภทนี้มักจะพบในบ่อที่มีกุ้งหนาแน่นอายุประมาณ 50-80 วันกุ้งที่ป่วยบางตัวจะมีสีแดงหรือสีชมพูเข้มตับและตับอ่อนมักจะมีสีเหลืองกว่าปกติเหงือกอาจจะบวมระยะแรกจะไม่พบว่ามีกุ้งตายตามขอบบ่อแต่จะมีกุ้งตายที่พื้นบ่อเป็นจำนวนมากหลังจากนั้นประมาณ 2 วันกุ้งที่ตายบางส่วนจะลอยขึ้นมาเต็มบ่อและมีกุ้งตายตามขอบบ่อเพิ่มขึ้นกุ้งบางส่วนที่มีตัวสีแดงหรือสีชมพูจะมีแผลสีดำหรือน้ำตาลเข้มตามลำตัวเนื่องจากโรคทอร่าแบบนี้จะมีกุ้งตายอย่างรวดเร็วและมีเป็นจำนวนมากในระยะ 3 วันแรกดังนั้นเกษตรกรบางคนอาจจะตัดสินใจปิดบ่อโดยใช้สารเคมีเช่นคลอรีนผงหรือไตรคลอร์ฟอนใส่ลงไปในบ่อเพื่อฆ่าเชื้อไวรัสและกุ้งที่อยู่ในบ่อทั้งหมดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายไปบ่อที่อยู่ใกล้ๆกันในกรณีที่กุ้งไม่หนาแน่นมากการแก้ปัญหาอาจจะทำได้ดังนี้
งดอาหาร 1 วันหลังจากนั้นค่อยๆให้อาหารเก็บกุ้งตายในบ่อขึ้นมาทำลายห้ามถ่ายน้ำปรับสภาพในบ่อให้ดีขึ้นตามที่ได้อธิบายมาแล้วในการแก้ปัญหาโรคทอร่าแบบรุนแรงต่ำกว่าเฉียบพลันถ้าสภาพต่างๆในบ่อดีขึ้นกุ้งที่มีแผลตามลำตัวสีดำอาจจะไม่ตายและอาจต้องใช้เวลาประมาณ 20-30 วันแผลสีดำเหล่านี้จะค่อยๆจางหายไปหลังจากกุ้งที่แข็งแรงขึ้นและลอกคราบ 2-3 ครั้ง
จากที่กล่าวมาแล้วโรคทอร่าทั้ง 2 แบบมีความแตกต่างกันมากในเรื่องของความรุนแรงทั้งนี้อาจจะมาจากเชื้อไวรัสเป็นคนละสายพันธุ์ (strain) ความรุนแรงจึงแตกต่างกันถ้านำกุ้งป่วยจากโรคทอร่าทั้ง 2 แบบไปตรวจโดยใช้เทคนิค PCR ผลที่ได้จะเป็นบวกชัดเจนมากเพื่อป้องกันความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นจากโรคทอร่าเกษตรกรที่เลี้ยงกุ้งขาวต้องหมั่นสังเกตดูว่ามีกุ้งป่วยหรือเริ่มตายมีลักษณะและอาการตามที่อธิบายมาหรือไม่จะได้แก้ปัญหาได้ทันเพราะการเลี้ยงกุ้งขาวอย่างหนาแน่นโดยเฉพาะทางภาคใต้มีการถ่ายเปลี่ยนน้ำมากตามผลผลิตและขนาดของกุ้งที่ต้องการเลี้ยงในกรณีที่มีการระบายน้ำออกมาจากบ่อที่เป็นโรคโอกาสที่ผู้เลี้ยงกุ้งในแหล่งนั้นจะได้รับผลกระทบไปด้วยมีสูงมากการเตรียมการป้องกันที่ดีคือมีบ่อพักน้ำอย่างพอเพียงและใช้น้ำจากบ่อพักน้ำที่มีการพักมาเป็นเวลานานแล้วไม่น้อยกว่า 14 วัน โอกาสที่กุ้งจะได้รับเชื้อไวรัสจะน้อยลงการเลี้ยงกุ้งขาวก็จะได้ผลตามที่ต้องการ
ภาพที่ 6.64 กุ้งขาวที่ป่วยเป็นโรคทอร่าระยะ ภาพที่ 6.65 กุ้งขาวที่เป็นโรคทอร่าตับและตับอ่อน
เฉียบพลันจะมีสีแดง (ล่าง) มีสีเหลืองชัดเจน
ภาพที่ 6.66 กุ้งขาวที่เป็นโรคทอร่ามีแผลสีดำตามลำตัว
Taura Syndrome Virus (TSV)
โรค TSV มีรายงานครั้งแรกในการเลี้ยงกุ้งขาวแวนนาไมบริเวณปากแม่น้ำ Taura ประเทศเอกวาดอร์ในปีค.ศ.1992 (Jimenez, 1992) สำหรับในทวีปเอเซียมีการระบาดในปีพ.ศ.2545 (Flegel et al. ,2003)
TSV เป็นไวรัสRNA ชนิดสายเดี่ยว (ssRNA) ไม่มีผนังหุ้ม (nonenveloped) รูปร่างหลายเหลี่ยม (icosahedron) มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 32 นาโนเมตรจัดอยู่ในกลุ่ม Pisconavirus (Brock et al. ,1997)
โรคที่มีสาเหตุจาก TSV แบ่งออกเป็น 3 ระยะคือระยะเฉียบพลันระยะคาบเกี่ยว(transition) และระยะเรื้อรัง แม้ว่าจะมีเพียงระยะเฉียบพลันและระยะคาบเกี่ยวที่มีการแสดงอาการของโรค (Lightner, 1996) อาการของกุ้งขาวแวนนาไมที่ใกล้ตายในระยะเฉียบพลันกุ้งจะมีลำตัวสีแดงแพนหางและขาว่ายน้ำแดง (บางครั้งเรียกโรคหางแดง) กุ้งอาจจะมีเปลือกนิ่มไม่มีอาหารในทางเดินอาหารและมักจะตายระหว่างการลอกคราบ
ระยะคาบเกี่ยวของการเกิดโรคจะกินเวลา 2-3 วันจะพบเมลานินที่มีรูปร่างไม่แน่นอนกระจายอยู่ที่เปลือกกุ้งกุ้งอาจจะมีเปลือกนิ่มหรือไม่นิ่มและตัวแดงและอาจจะกินอาหารปกติ (Hasson et al, 1995 ; Lightner 1996) บริเวณที่พบเมลานินจะเป็นการรวมกลุ่มของเม็ดเลือดสู่บริเวณเนื้อเยื่อใน cuticle epithelium หลังการลอกคราบกุ้งป่วยที่อยู่ในระยะคาบเกี่ยวก็จะเข้าสู่ระยะเรือรังในระยะนี้ไวรัสอาจจะยังคงอยู่ใน lymphoid organ ตลอดไป
TSV จะติดเชื้อในเซลล์ของเนื้อเยื่อที่มีกำเนิดมาจากชั้น ectoderm และmesoderm เนื้อเยื่อ cuticle epithelium จะเป็นส่วนที่มีการติดเชื้อรุนแรงที่สุดในระยะเฉียบพลันในขณะที่ lymphoid organ จะมีการติดเชื้อในระยะเรื้อรังเท่านั้น
พยาธิสภาพของเนื้อเยื่อบริเวณ cuticle epithelium เซลล์ของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันในชั้น sub-cuticle และเส้นใยของกล้ามเนื้อลายบริเวณใกล้เคียงอาจจะมีการติดเชื้อด้วยไซโตพลาสซึมของเซลล์ที่ติดเชื้อจะติดสี eosinophil และเกิด pyknosis หรือ karyorrhexsis ของนิวเคลียสจะพบเศษของเซลล์ที่ตายเป็นจำนวนมากมีลักษณะเป็นก้อนกลมเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-12 ไมครอนย้อมติดสีeosinophil หรือ basophil อ่อนๆลักษณะเหล่านี้จะพบในระยะเฉียบพลันของการติดเชื้อเป็นลักษณะที่เรียกว่า“peppered”หรือ“buckshot-riddled”ซึ่งเป็นลักษณะที่เกิดขึ้นจำเพาะของโรคนี้ไม่พบการตอบสนองในลักษณะอักเสบที่มี hemocytic infiltration ลักษณะนี้สามารถใช้ในการแยก TSV ในระยะเฉียบพลันออกจากระยะคาบเกี่ยวได้ (Lightner, 1996)
ในระยะคาบเกี่ยวจะพบความผิดปกติของชั้น cuticle น้อยลงแต่จะเกิด hemocytic infiltration และการรวมกลุ่มของเม็ดเลือดบริเวณนั้นแทนการรวมกลุ่มของเม็ดเลือดจะทำให้เกิดเมลานินและจุดดำ (black spot) ซึ่งเป็นอาการเฉพาะของระยะคาบเกี่ยว
กุ้งที่ติดเชื้อ TSV ในระยะเรื้อรังจะไม่แสดงอาการของโรคลักษณะทางเนื้อเยื่ออย่างเดียวที่บ่งบอกถึงการติดเชื้อคือการเกิด lymphoid organ spheroids (LOS) ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มของเซลล์ในลักษณะเป็นก้อนกลมบริเวณ intertubular space ลักษณะของ LOS ไม่สามารถใช้ในการวินิจฉัยการติดเชื้อ TSV ได้จะต้องมีการยืนยันด้วยเทคนิคin situ DNA hybridization (Mari et al., 1998) หรือ RT-PCR (Nunan and Lightner, 1997)
ภาพที่ 6.67 พยาธิสภาพของเนื้อเยื่อ subcuticular epithelium
ที่ติดเชื้อ TSV ระยะเฉียบพลัน (x400)