ภาพที่ 6.50 เปรียบเทียบสีน้ำในบ่อดิน (ซ้าย) และสีน้ำของบ่อโพลีเอททีลีน (PE.) (ขวา)
2. เมื่อเปรียบเทียบการเลี้ยงใน 112 วันหลังจากจับกุ้งพบว่ามีความแตกต่างกันชัดเจนในบ่อดินได้ผลผลิตประมาณ 1,400-1,500 กิโลกรัม/ไร่ ในขณะที่บ่อ PE. ได้ผลผลิตประมาณ 1,700-1,800 กิโลกรัม/ไร่ที่แตกต่างกันเนื่องจากการเจริญเติบโตของบ่อ PE. ได้ขนาด 40 ตัว/กิโลกรัมหรือ 25 กรัม/ตัวในขณะที่บ่อดินได้ขนาด 54 ตัว/กิโลกรัมในด้านผลผลิตที่แตกต่างกันประมาณ 300 กิโลกรัม/ไร่ ในช่วงเดือนกันยายนพ.ศ. 2546กุ้งขนาด 50 ตัว/กิโลกรัมราคา 160-170 บาท ในขณะเดียวกันที่กุ้งขนาด 40 ตัว/กิโลกรัมราคา 210 บาท ถ้ามองในจุดนี้จะเห็นว่ามีความแตกต่างกันในด้านจำนวนเงินค่อนข้างมากซึ่งถือว่าเป็นประเด็นสำคัญ เพราะฉะนั้นในแต่ละรอบที่เลี้ยงไปมีความแตกต่างเท่านี้สำหรับบ่อ PE. ถือว่าคุ้ม แต่ในบ่อดินที่มีเปอร์เซ็นต์ดินเหนียวค่อนข้างสูงมีตะกอนน้อยสามารถถ่ายน้ำได้มากเช่นในภาคใต้อาจไม่มีความจำเป็นแต่ถ้าต้องการเปรียบเทียบอาจจะลองปูเพียง 1 บ่อแล้วเลี้ยงเปรียบเทียบจะวิเคราะห์ได้ว่าคุ้มหรือไม่
ความแตกต่างของกุ้งที่เลี้ยงในบ่อปูด้วย PE. กับบ่อดินคือกุ้งขาวในบ่อดินจะมีตะกอนมากน้ำขุ่นขาวกุ้งจะมีสีซีดขาวและบางตัวเครียดมีสีชมพูแต่กุ้งขาวในบ่อที่ปูด้วย PE. สีจะเข้มกว่า เมื่อนำไปต้มให้สุกสีของกุ้งจากบ่อปูด้วย PE. จะแดงเข้มสวยกว่า ความแตกต่างของสีแดงเปลือกกุ้ง น่าจะมีความสัมพันธ์กับปริมาณแพลงก์ตอนในบ่อ ถ้าสีน้ำสวย สีกุ้งจะสวยสดกว่าบ่อที่น้ำขุ่น มีตะกอนมากและมีแพลงก์ตอนน้อย
ภาพที่ 6.51 กุ้งขาวที่ต้มสุก (ซ้าย) บ่อดินและบ่อ PE.
สภาพพื้นบ่อที่เหมาะสมต่อการปู PE. คือพื้นที่เป็นดินทรายมีการรั่วซึมสูงเพราะบ่อที่มีการรั่วซึมของน้ำสูงจะเลี้ยงกุ้งยาก โดยเฉพาะระบบปิดจะมีการเติมน้ำทดแทนส่วนที่ซึมและระเหยออกไป ยิ่งต้องสิ้นเปลืองในการเติมน้ำ การเลี้ยงจะไม่ค่อยได้ผลดี ดังนั้นบ่อที่ปู PE. ก็จะเป็นการป้องกันการรั่วซึมได้ดี สำหรับบ่อที่มีดินตะกอนมากในการเลี้ยงด้วยระบบปิดที่มีการเติมน้ำอย่างเดียวในช่วง 2 เดือนแรกโดยไม่มีการถ่ายน้ำ หลังจากเลี้ยงไปนานๆเมื่อเปิดเครื่องให้อากาศเพื่อรักษาระดับออกซิเจนให้เพียงพอ พบว่าเกิดตะกอนมากทำให้กุ้งเครียดและกินอาหารน้อยโตช้าเพราะฉะนั้นในการแก้ปัญหาเมื่อปูด้วย PE. จะเห็นได้ชัดว่าสีน้ำจะดีมาก เนื่องจากตะกอนน้อยแม้ว่าฝนจะตกมากเท่าไรก็ตาม และสุดท้ายคือบ่อประเภทที่เป็นดินกรด (acid sulfate soil) ในพื้นที่บริเวณป่าชายเลน ดินที่เป็นกรดการจัดการเตรียมบ่อจะยุ่งยากและสิ้นเปลืองเพราะต้องใช้วัสดุปูนในปริมาณมากเพื่อปรับพีเอชให้เหมาะสมและในระหว่างการเลี้ยงความเป็นกรดก็จะออกมาเรื่อยๆจึงทำให้เป็นการสิ้นเปลืองวัสดุปูนมาก ในบางครั้งการเติมวัสดุปูนไม่เพียงพอจะทำให้กุ้งเจริญเติบโตช้าทำให้มีผลผลิตต่ำมากสำหรับบ่อที่เป็นกรดจัดมีความเหมาะสมที่จะปูด้วย PE. จากที่กล่าวมาบ่อเลี้ยงทั้ง 3 แบบเห็นได้ว่ามีความเหมาะสมที่จะปูด้วย PE.
บ่อพักน้ำในฟาร์มกุ้ง ในบางครั้งต้องการเก็บกักน้ำที่มีความเค็มต่ำหรือน้ำจืดไว้เติมเมื่อจำเป็นต้องเลี้ยงผ่านหน้าแล้งหรือในช่วงที่อากาศร้อน ส่วนมากเกษตรกรจะเก็บน้ำฝนช่วงปลายปีได้มาก แต่เมื่อต้องเลี้ยงจริงๆในหน้าร้อนพบว่าน้ำที่เก็บไว้ในบ่อพักน้ำรั่วซึมไปมาก เนื่องจากคันบ่อไม่มีการอัดแน่นเพียงพอ ในบ่อพักน้ำที่มีขนาดใหญ่การปูด้วย PE. อาจจะสิ้นเปลือง แต่เมื่อปูด้วย PE. พบว่าสามารถเก็บกักน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพการรั่วซึมน้อยอาจจะคุ้มค่า เพราะถ้าผลการเลี้ยงได้ผลดีเพราะมีน้ำจืดเติมระหว่างการเลี้ยง
สำหรับในพื้นที่เลี้ยงกุ้ง ถ้าพบว่าอัตราการรั่วซึมสูงรวมทั้งดินเป็นตะกอนมากหรือเป็นกรดจัด ผลผลิตที่ได้อาจจะไม่ดีถึงแม้จะใช้ความรู้และวิชาการเต็มที่ก็ตาม ผลผลิตยังต่ำหรืออาจไม่คุ้มทุน การปู PE. ก็อาจจะแก้ปัญหาตรงจุดนี้ได้ แต่อย่างไรก็ตามข้อแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการจะปูด้วย PE. ควรมีการตรวจสอบข้อมูลโดยไปดูฟาร์มที่มีการปู PE. ว่าผลการเลี้ยงเป็นอย่างไรและคุ้มค่าหรือไม่ก่อนตัดสินใจ
ในอนาคตอาจจะเห็นการเลี้ยงกุ้งขาวแบบหนาแน่นมีการปู PE. เช่นเดียวกับการเลี้ยงแบบพัฒนาในต่างประเทศมากขึ้น แต่ในกุ้งกุลาดำพบว่าการปูด้วย PE. อาจไม่จำเป็น เนื่องจากกุ้งกุลาดำต้องการพื้นบ่อเพื่อการฝังตัวสำหรับการลอกคราบ ดังนั้นความเหมาะสมของบ่อ PE. ควรใช้กับกุ้งขาวมากกว่า ประเทศในแถบทวีปอเมริกาใต้หลายประเทศบ่อเลี้ยงกุ้งขาวจะปูด้วย PE. ทั้งบ่อเช่นประเทศเปรูและ เอกวาดอร์เป็นต้น ส่วนในทวีปเอเชียการเลี้ยงกุ้งขาวในประเทศจีนบางส่วนก็ปูพื้นบ่อด้วย PE. แต่ใช้ดินถมทับพื้น PE. หนาประมาณ 30 เซนติเมตร
โดยสรุปแล้วการปูพื้นบ่อด้วย PE. ขึ้นอยู่กับความจำเป็นและความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ดังที่ได้อธิบายในรายละเอียดแล้ว
ภาพที่ 6.52 บ่อเลี้ยงกุ้งขาวที่ปูด้วย PE. ภาพที่ 6.53 บ่อเลี้ยงกุ้งขาวที่ปูด้วย PE.
ในประเทศเปรู ในประเทศเอกวาดอร์