ที่6.5
ตารางที่6.5การให้อาหารของกุ้งขาวที่เลี้ยงด้วยน้ำความเค็มต่ำ (ต่อจำนวนลูกกุ้ง 100,000 ตัว)
วันที่
|
น้ำหนักกุ้ง(กรัม)
|
% อาหาร
|
08.00 (กิโลกรัม)
|
16.00 (กิโลกรัม)
|
22.00 (กิโลกรัม)
|
อาหารสะสม
|
1-10
|
-
|
-
|
1
|
1
|
-
|
20
|
11-20
|
0.5
|
15
|
2
|
2
|
2
|
60
|
21-30
|
2.6
|
6
|
4
|
3
|
3
|
120
|
31-40
|
4.5
|
4
|
4.8
|
4.8
|
4.8
|
144
|
41-50
|
6.2
|
3.8
|
6.3
|
6.3
|
6.3
|
189
|
51-60
|
7.9
|
3.5
|
7.3
|
7.3
|
7.3
|
219
|
61-70
|
9.6
|
3.2
|
8.1
|
8.1
|
8.1
|
243
|
71-80
|
11.3
|
2.9
|
8.7
|
8.7
|
8.7
|
261
|
81-90
|
13.2
|
2.6
|
9.1
|
9.1
|
9.1
|
273
|
91-100
|
14.7
|
2.5
|
9.6
|
9.6
|
9.6
|
288
|
101-110
|
16.3
|
2.4
|
10.4
|
10.4
|
10.4
|
312
|
111-120
|
18.0
|
2.3
|
11.0
|
11.0
|
11.0
|
330
|
|
|
|
|
|
|
2459
|
หมายเหตุ
-การให้อาหารตั้งแต่วันที่1 ถึง วันที่40 ให้ใช้อาหารโปรตีนสูงประมาณ45-50 เปอร์เซ็นต์
-ตั้งแต่วันที่41 จนกระทั่งจับขายให้ใช้อาหารโปรตีนต่ำลงมาประมาณ30-35เปอร์เซ็นต์
-การใช้ยอสามารถใช้ยอได้ตั้งแต่วันที่ 11 แต่การปรับอาหารจะไม่ใช้ยอเป็นหลักขอให้ใช้ตารางอาหารเป็นเกณฑ์เพิ่มขึ้น-ลดลง ตามปัจจัยแวดล้อมขอให้ใช้เพื่อดูการกินอาหารของกุ้งโดยสังเกตจากขี้กุ้งในยอ
-เมื่อครบ30วันควรสุ่มด้วยแหตาถี่2ครั้งเพื่อเช็คน้ำหนักของกุ้งเปรียบเทียบกับน้ำหนักของกุ้งในตารางการให้อาหารจากนั้นให้สุ่มดูน้ำหนักกุ้งทุก10 วันและปรับอาหารตามตาราง
-หากกุ้งมีขนาดแตกต่างกันมากแสดงว่าอาหารไม่พอ
ปริมาณอาหารในยอ
การเลี้ยงกุ้งขาวในแต่ละพื้นที่จะแตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะปริมาณการใส่อาหารในยอ เพื่อปรับอาหารตามการเจริญเติบโตของกุ้งตลอดระยะเวลาในการเลี้ยง
เกษตรกรบางรายใส่อาหารในยอในปริมาณใกล้เคียงกับกุ้งกุลาดำ คือ หลังจากกุ้งอายุ 35 วัน ใส่อาหารในยอ 5 กรัม/อาหาร 1 กิโลกรัม เมื่อกุ้งมีขนาดโตขึ้นใส่อาหารในยอเพิ่มเป็น 6 กรัม/อาหาร 1 กิโลกรัม และเพิ่มเป็น 7 กรัม/อาหาร 1 กิโลกรัมในช่วงสุดท้าย โดยใช้ระยะเวลาในการเช็คยอระหว่าง 2.5-2.0 ชั่วโมง
สำหรับเกษตรกรที่เลี้ยงโดยปล่อยลูกกุ้งอย่างหนาแน่น ส่วนมากจะเริ่มปรับอาหารโดยใช้ยอเมื่อกุ้งมีอายุประมาณ 30 วันซึ่งจะมีน้ำหนัก 2-3 กรัม ปริมาณอาหารที่ใส่ในยอประมาณ 2 กรัม/อาหาร 1 กิโลกรัม และเช็คยอใช้เวลาประมาณ 2.5-3 ชั่วโมง เมื่อกุ้งมีอายุเพิ่มขึ้นจนถึงประมาณ 60-70 วัน ปริมาณอาหารในยอจะเพิ่มเป็น 3 กรัม/อาหาร 1 กิโลกรัม ใช้เวลาเช็คยอ 2.0-2.5 ชั่วโมง จนกว่าจะจับขาย แต่จะมีการสังเกตสีของอาหารในลำไส้มาประกอบพิจารณาในการเพิ่มลดอาหารด้วย การใช้วิธีการปรับอาหารจากยอแต่เพียงอย่างเดียวไม่เหมาะสม เพราะมีโอกาสผิดพลาดได้ นอกจากนั้นอาจจะพิจารณาจากการวิเคราะห์คุณภาพน้ำ ถ้าปริมาณแอมโมเนียเพิ่มขึ้น และสีน้ำเข้มมาก แสดงว่าอาหารที่ให้มากเกินไป หรือถ้าน้ำขุ่นมาก และกุ้งจำนวนมากขึ้นมาตามขอบบ่อ แสดงว่าอาหารไม่เพียงพอ
ภาพที่ 6.47 กุ้งขาวตามขอบบ่อเนื่องจากอาหารไม่เพียงพอ
2. การเลี้ยงกุ้งขาวด้วยน้ำความเค็มปกติ
การเลี้ยงกุ้งขาวในพื้นที่ภาคใต้ที่ใช้น้ำความเค็มปกติ คือความเค็มประมาณ 10 พีพีทีขึ้นไป ส่วนใหญ่จะมีการปล่อยลูกกุ้งอย่างหนาแน่นมากกว่า 120,000 ตัว/ไร่ ผลผลิตประมาณ 2 ตัน/ไร่ อัตรารอดประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นกระแสผลผลิตของกุ้งขาวที่ออกมามากในช่วงกลางปี พ.ศ. 2546 โดยเฉพาะการเลี้ยงทางภาคใต้โดยใช้น้ำความเค็มปกติ ทำให้ในหลายจังหวัดทางภาคใต้ ซึ่งไม่เคยเลี้ยงกุ้งขาวมาก่อน หันมาเลี้ยงกุ้งขาวมากขึ้น โดยเฉพาะในชายฝั่งทะเลอันดามันมีผลผลิตสูงมากประมาณ 3-4 ตัน/ไร่ โดยมีการปล่อยลูกกุ้งอย่างหนาแน่นมากกว่า 150,000 ตัว/ไร่ บางรายมีการทยอยจับกุ้งออกไป เพื่อให้กุ้งที่เหลือในบ่อมีโอกาสโตขึ้น การเลี้ยงกุ้งขาวด้วยน้ำความเค็มปกติจะได้ผลดีกว่าน้ำความเค็มต่ำ เนื่องจากมีการถ่ายน้ำในปริมาณที่มากในช่วงท้ายๆ ของการเลี้ยง
ในอนาคตแหล่งผลิตกุ้งขาวที่สำคัญในประเทศไทยน่าจะเป็นพื้นที่เลี้ยงกุ้งของภาคใต้ที่มีความพร้อมสูงในด้านอุปกรณ์ เครื่องให้อากาศ และบ่อพักน้ำ และการคัดเลือกลูกกุ้งคุณภาพจากสายพันธุ์ที่ดี จะทำให้การเลี้ยงได้ผลผลิตสูง ต้นทุนต่ำลง สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้
ภาพที่ 6.48 บ่อเลี้ยงกุ้งขาวที่มีเครื่องให้อากาศเพียงพอ
การเลี้ยงกุ้งขาวในบ่อปูด้วยโพลีเอททีลีน (Polyethylene, PE)
ในการเลี้ยงกุ้งขาวในบ้านเราจะพบว่าหลายพื้นที่มีการใช้โพลีเอททีลีน (Polyethylene, PE) มาปูพื้นบ่อ ปางฟาร์มปูเฉพาะขอบบ่อเพื่อป้องกันการพังทะลายของดินลงไปในบ่อ ซึ่งในที่นี่หมายถึงการปูเฉพาะขอบบ่อส่วนพื้นบ่อไม่ได้ปู แต่บางพื้นที่หรือบางฟาร์มจะปูหมดทั้งบ่อ มีเกษตรกรบางส่วนต้องการที่จะทราบว่าการปู PE. จะคุ้มค่าหรือไม่เมื่อเทียบกับบ่อดิน และมีความแตกต่างมากน้อยแค่ไหน ผู้เขียนให้ข้อคิดเห็นดังนี้คือ ข้อแรก PE. ที่ใช้ปูนั้นทำมาจากโพลีเอททีลีน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ แบบบางและแบบหนา โดยมีความหนาประมาณ 0.15 และ 0.30 มิลลิเมตรตามลำดับ แบบบางถ้ามีการบำรุงรักษาเป็นอย่างดี หมายถึง ในแต่ละรอบที่เลี้ยงผ่านไปหากมีความเสียหายเกิดขึ้นก็นำมาซ่อมแซม พบว่าการปู 1 ครั้งสามารถใช้ได้ประมาณ 3 ปี ซึ่งใน 1 ปีหากมีการเลี้ยง 2 รอบภายใน 3 ปีก็สามารถเลี้ยงได้ถึง 6 รอบ หรือหากเลี้ยงในรอบที่สั้นกว่านี้หมายถึงภายใน 2 ปีสามารถเลี้ยงได้ 5 รอบ ซึ่งสามารถใช้ PE. ได้เต็มที่ประมาณ 3 ปี ต้นทุนในการปู PE. รวมทั้งค่าแรงประมาณ 30,000 บาท/ไร่ ซึ่งถือว่ามีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมากพอสมควร การพิจารณาว่าคุ้มหรือไม่นั้นต้องดูที่การเลี้ยงของบ่อปูด้วย PE. ว่าดีกว่าบ่อดินในฟาร์มเดียวกันหรือไม่ ถ้าผลผลิตใกล้เคียงกันไม่มีความจำเป็นต้องปู PE. เพราะเป็นการสิ้นเปลืองและไม่ดีกว่าเดิม แต่ถ้าพบว่าดีกว่าต้องมาพิจารณาว่าดีกว่าแค่ไหน ถ้าดีกว่าเล็กน้อยและเมื่อรวมต้นทุนรวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ พบว่าไม่คุ้มก็ไม่จำเป็นที่ต้องปู เพราะฉะนั้นผู้เขียนอยากจะให้ข้อมูลจากการวิจัยเมื่อเปรียบเทียบการเลี้ยงกุ้งขาวในบ่อปูด้วย PE. และบ่อดินภายในฟาร์มเดียวกันจากการทดลองในอำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรีที่มีบ่อลึกประมาณ 1.20-1.40 เมตร โดยทั้งบ่อดินและบ่อ PE. การใช้เครื่องให้อากาศเหมือนกัน และอัตราที่ปล่อยลูกกุ้งเท่ากันคือ 120,000 ตัว/ไร่ เลี้ยงด้วยน้ำความเค็มต่ำ 3-5 พีพีที มีข้อแตกต่างกันดังนี้
ภาพที่ 6.49 ภาพบ่อที่ปูด้วยโพลีเอททีลีน (PE.)
1. บ่อที่ปูด้วย PE. ในด้านอุณหภูมิน้ำที่ผิวน้ำและพื้นบ่อจะสูงกว่าบ่อดินประมาณ 0.5-1 องศาเซลเซียสทุกวันจากการวัดอุณหภูมิตลอดทั้งปี
2. สีน้ำในบ่อ PE. จะเขียวเร็วกว่าบ่อดิน เพราะว่าบ่อ PE. ไม่มีตะกอน เมื่อไม่มีตะกอนแขวนลอยมาบังแสง อาหารที่เหลือก็จะเป็นปุ๋ยให้กับแพลงก์ตอน ทำให้แพลงก์ตอนเพิ่มจำนวนได้รวดเร็ว ในขณะที่บ่อดินมีตะกอนมากโอกาสที่จะเกิดน้ำเขียวจึงช้ากว่า เมื่อเลี้ยงไปนานๆไม่ว่าจะเป็นช่วงฤดูฝนหรือไม่ก็ตาม พบว่าบ่อดินมีตะกอนค่อนข้างมาก การเลี้ยงในช่วง 30-40 วันแรกจะไม่มีการเปลี่ยนถ่ายน้ำแต่ไม่มีความแตกต่างในด้านการเจริญเติบโตระหว่างบ่อดินและบ่อ PE. แต่ช่วงระหว่าง 50-100 วันพบว่าบ่อดินมีตะกอนค่อนข้างมาก น้ำจะขุ่นจนเหมือนโคลนกุ้งจะเครียดซึ่งจะมีปัญหาในเรื่องการกินอาหารและการเจริญเติบโต ในขณะที่บ่อ PE. ไม่มีปัญหาดังกล่าว เมื่อนำดินพื้นบ่อไปวิเคราะห์จึงพบว่าเป็นดินเหนียวประมาณ 40-50 เปอร์เซ็นต์มีดินทรายส่วนหนึ่งอีกส่วนเป็นดินตะกอน (Silt) ในฤดูฝนก็เช่นกันถ้ามีฝนตกมากดินจากขอบบ่อจะลงไปในบ่อทำให้มีตะกอนมาก เมื่อน้ำในบ่อดินเริ่มมีตะกอนมากในขณะที่บ่อ PE. ไม่มีเลยหรืออาจมีเล็กน้อยจากอาหารที่เหลือ รวมถึงซากแพลงก์ตอน สีน้ำส่วนใหญ่ในบ่อ PE. จะมีสีเขียวเหลือง เพราะฉะนั้นการเจริญเติบโตจะแตกต่างกันชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อเลี้ยงไปเรื่อยๆการเลี้ยงในพื้นที่ความเค็มต่ำในภาคกลางจะไม่มีการถ่ายน้ำมาก เพราะถ้าถ่ายน้ำมากความเค็มก็จะหายไป ส่วนใหญ่เป็นการเติมมากกว่าแต่ก็มีการถ่ายน้ำเป็นครั้งคราว ตรงข้อนี้จะทำให้บ่อ PE. มีการเจริญเติบโตดีกว่าบ่อดิน