ข้อแตกต่างระหว่างกุ้งขาวและกุ้งกุลาดำ
เกษตรกรที่สนใจการเลี้ยงกุ้งชนิดนี้ต้องรู้และเข้าใจชีววิทยา รวมถึงพฤติกรรมของกุ้ง เพื่อปรับวิธีการเลี้ยงให้เหมาะสมจะช่วยให้การเลี้ยงประสบความสำเร็จมากขึ้น
1. ขนาดของกุ้ง กุ้งขาวเป็นกุ้งขนาดเล็กกว่ากุ้งกุลาดำ แต่มีการเจริญเติบโตเร็วมากจนถึงประมาณ 90 วัน ดังนั้นการเลี้ยงกุ้งชนิดนี้ส่วนใหญ่จะเลี้ยงนาน 90-100 วัน ถ้าได้ลูกพันธุ์ที่ดีควรจะได้กุ้งที่มีน้ำหนักประมาณ 15-20 กรัม กุ้งชนิดนี้แต่ละตัวมีขนาดไล่เลี่ยกันซึ่งต่างจากกุ้งกุลาดำที่มักพบว่ากุ้งในบ่อเดียวกันมีขนาดแตกต่างกันมาก ตั้งแต่ตัวเล็กมากน้ำหนัก 3-5 กรัมจนถึงตัวที่มีขนาดใหญ่มากถึง 40 กรัม หลังจากการเลี้ยง 120 วัน
ภาพที่ 6.32 กุ้งขาวที่จับจะมีขนาดไล่เลี่ยกัน
2. อาหาร กุ้งขาวไม่จำเป็นต้องเลี้ยงด้วยอาหารที่มีโปรตีนสูงมากเหมือนกุ้งกุลาดำ ปัจจุบันมีอาหารสำเร็จรูปที่ผลิตออกมาสำหรับกุ้งขาวโดยเฉพาะ ดังนั้นไม่ควรใช้อาหารกุ้งก้ามกรามเพราะมีโปรตีนต่ำ จะทำให้กุ้งโตช้า โดยเฉพาะถ้าต้องการเลี้ยงอย่างหนาแน่น ควรใช้อาหารที่มีโปรตีนสูงกว่าการเลี้ยงด้วยความหนาแน่นต่ำ
3. พฤติกรรมการกินอาหาร กุ้งขาวกินอาหารได้ทั้งพืชและสัตว์ เมื่อจับกุ้งจากบ่อมาตรวจสอบลำไส้พบว่าในลำไส้จะมีอาหารเต็มตลอดเวลา แม้ว่าจะให้อาหารมานานแล้วหลายชั่วโมง จึงสันนิษฐานได้ว่าเมื่อกินอาหารที่ให้หมดแล้ว กุ้งยังสามารถกินอาหารชนิดอื่นที่อยู่ในบ่อได้อีก เช่น สาหร่าย แพลงก์ตอน สัตว์หน้าดิน จะพบว่าในลำไส้จะมีสีที่แตกต่างๆ จากสีของอาหารเม็ดสำเร็จรูปที่ให้กุ้งกินโดยเฉพาะเมื่อจับกุ้งมาดูลำไส้ หลังจากการให้อาหารหลายชั่วโมง สีของลำไส้มักจะมีสีดำหรือสีเข้มของสาหร่าย แทนที่จะเป็นสีของอาหารเม็ดสำเร็จรูป
ภาพที่ 6.33 กุ้งขาวจะมีลำไส้เต็มตลอดเวลา
ในช่วงที่อากาศร้อนจัด อุณหภูมิของน้ำตอนบ่ายสูงถึง 33-34 องศาเซลเซียส กุ้งชนิดนี้จะกินอาหารน้อยมาก ควรงดการให้อาหารในช่วงที่อุณหภูมิของน้ำสูงมาก อาจจะเลื่อนเวลาการให้อาหารเป็นตอนเย็นหรือตอนกลางคืนเมื่ออุณหภูมิน้ำต่ำลงอยู่ในระดับที่เหมาะสม กุ้งจะกินอาหารดีขึ้น แต่ในช่วงอากาศหนาว อุณหภูมิที่ต่ำมากตอนเช้ามีผลทำให้การกินอาหารลดลงเช่นกัน อาจจะเลื่อนเวลาออกไปอีกจนอุณหภูมิของน้ำสูงขึ้น เช่น เลื่อนเวลาจาก 7.00 น. เป็น 8.00 น. สำหรับการให้อาหารมื้อแรก ระดับอุณหภูมิที่เหมาะสมของการเลี้ยงกุ้งขาวคือ 27-30 องศาเซลเซียส
ภาพที่ 6.34 ลำไส้ของกุ้งขาวที่ยังไม่แกะเปลือกออก ภาพที่ 6.35 ลำไส้ของกุ้งขาวที่ไม่ใช่อาหาร (ซ้าย)
ที่ไม่ใช่อาหาร (ซ้าย) และสีของอาหารเม็ด (ขวา) และสีของอาหาร (ขวา) ในกุ้งขาวที่แกะเปลือกแล้ว
4. การปรับอาหารโดยใช้ยอ กุ้งชนิดนี้เข้าในยอช้ากว่ากุ้งกุลาดำ อาจต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะพบว่าลูกกุ้งเข้าไปในยอ โดยเฉพาะยอที่มีขอบสูงมาก ควรใช้ยอที่ขอบไม่สูงมาก และเมื่อยกยอกุ้งชนิดนี้จะดีดตัวออกมาอย่างรวดเร็วมาก จะเหลือกุ้งในยอไม่กี่ตัว และถ้าอากาศร้อนในตอนกลางวัน โอกาสจะพบว่ากุ้งเป็นตะคริว (cramp) ตัวงอเป็นจำนวนมาก และต่อมาตัวจะมีสีขาวขุ่น ถ้าไม่รีบปล่อยคืนลงในบ่อ กุ้งเหล่านี้จะตายในเวลาต่อมา
ภาพที่ 6.36 กุ้งขาวที่เป็นตะคริว
การป้องกันที่ดีคือหลีกเลี่ยงการสุ่มกุ้งในช่วงที่อากาศร้อน และควรใช้แหที่ทำด้วยเส้นเอ็น แทนแหสุ่มทั่วไปที่แกะกุ้งออกจากแหยาก การใช้นำแข็งลดอุณหภูมิของน้ำให้อยู่ระหว่าง 24-26 องศาเซลเซียส จะช่วยลดอาการกุ้งตัวขาวขุ่นและเป็นตะคริวได้มาก
ภาพที่ 6.37 แหสำหรับสุ่มกุ้งขาวที่ทำด้วยเส้นเอ็น
ภาพที่ 6.38 กุ้งขาวลำตัวขาวขุ่น
การปรับอาหารโดยใช้ยอทำได้ยากกว่ากุ้งกุลาดำ นอกจากในบ่อทีมีการปล่อยลูกกุ้งอย่างหนาแน่นตั้งแต่ 60 ตัว/ตารางเมตรขึ้นไป และมีอัตรารอดสูง อาจจะปรับอาหารโดยใช้ยอในสัปดาห์ที่ 5 สำหรับบ่อที่เลี้ยงในปริมาณที่ไม่หนาแน่นและไม่สามารถปรับอาหารโดยใช้ยอได้ เกษตกรผู้เลี้ยงกุ้งต้องแล้วสังเกตปริมาณอาหารในลำไส้ของกุ้งว่ามีสีเดียวกับอาหารที่ให้หรือไม่ ถ้าก่อนให้อาหารมื้อต่อไปประมาณ 1 ชั่วโมงพบว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของกุ้งมีอาหารในลำไส้เป็นสีของสาหร่ายหรือสิ่งอื่นๆที่ไม่ใช่อาหารเม็ด แสดงว่าอาหารที่ให้ในมื้อก่อนหน้านี้ไม่เหลือแล้ว
การให้อาหารอาจให้วันละ 3, 4 หรือ 5 มื้อแล้วแต่ความถนัด จากการเก็บข้อมูลการเลี้ยงกุ้งขาวของเกษตรกรพบว่า การให้อาหาร 3, 4 หรือ 5 มื้อไม่มีความแตกต่างกันมากในด้านการเจริญเติบโต แต่ส่วนมากฟาร์มที่ปล่อยลูกกุ้งอย่างหนาแน่นมากเกิน 60 ตัว/ตารางเมตรขึ้นไป มักจะให้อาหารวันละ 4 หรือ 5 มื้อ ซึ่งจะคล้ายกับการเลี้ยงกุ้งกุลาดำ แต่กุ้งขาวสามารถกินอาหารธรรมชาติที่มีอยู่ในบ่อได้ดีกว่ากุ้งกุลาดำ การให้อาหารจำนวนมื้อน้อยอาจจะช่วยให้กุ้งมีโอกาสกินอาหารอื่นๆ ในบ่อและช่วยควบคุมสภาพต่างๆ ในบ่อให้ดีขึ้นได้
5. การจัดการเรื่องคุณภาพน้ำและแพลงก์ตอน กุ้งชนิดนี้ไม่ชอบน้ำที่เข้มจัด สังเกตว่าถ้าเลี้ยงแบบระบบปิด ไม่ถ่ายน้ำเป็นเวลานานๆ เมื่อน้ำมีสีเข้มมาก เหงือกกุ้งจะมีสีดำ ควรถ่ายน้ำเป็นระยะๆ ควบคุมอย่าให้ปริมาณแพลงก์ตอนเข้มข้นมากเกินไป อาจจะมีผลทำให้เกิดการขาดออกซิเจนในตอนกลางคืนได้ กุ้งชนิดนี้ไม่ค่อยพบตามขอบบ่อเหมือนกับกุ้งกุลาดำ ดังนั้นเมื่อมีปัญหา กุ้งอาจจะตาย จมอยู่บนพื้นบ่อเป็นจำนวนมาก ในขณะที่ตามขอบบ่ออาจจะไม่พบกุ้งป่วยหรือมีเพียงจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น แต่ถ้ามีกุ้งอย่างหนาแน่นและให้อาหารพอดีไม่มากเกินไป สีน้ำจะไม่เข้มแต่มักจะขุ่นมากกว่า เพราะเมื่ออาหารหมด กุ้งขาวจะคุ้ยหาอาหารตามพื้นบ่อทำให้น้ำขุ่นมาก บ่อที่น้ำเขียวจัดหรือสีเข้มจัดส่วนมากมีสาเหตุมาจากอาหารเหลือ การลดอาหารให้น้อยลงจะทำให้สีน้ำที่เข้มขึ้นกลับคืนมาเป็นปกติได้
ภาพที่ 6.39 บ่อเลี้ยงกุ้งขาวที่มีสีน้ำเข้มมาก ภาพที่ 6.40 บ่อเลี้ยงกุ้งขาวที่สีน้ำขุ่น
จากการให้อาหารมากเกินไป เนื่องจากมีกุ้งหนาแน่น
6. การจับกุ้ง ถ้าต้องจับกุ้งโดยการเปิดประตูแล้วให้กุ้งออกไปอยู่ในถุงอวน เช่นเดียวกับการจับกุ้งกุลาดำต้องระวังอย่าให้กุ้งออกมากองกันแน่นเกินไป ได้รับความเสียหายได้ การจับแบบเปิดประตูระบายน้ำ น้ำต้องมีความแรงมากพอกุ้งจึงจะออกไปกับน้ำ ถ้าจับตอนกลางคืนควรปิดไฟมืดทั้งบ่อ ยกเว้นบริเวณบ่อที่เปิดประตูจับกุ้ง ควรใช้ไฟส่องให้สว่าง กุ้งจะมาบริเวณที่มีแสงไฟ เมื่อเปิดประตูให้น้ำไหลออกไปจะจับกุ้งได้อย่างรวดเร็ว การจับในตอนกลางวันอาจจะใช้การไล่กุ้งจากด้านตรงข้ามกับประตูเปิดจับกุ้งโดยใช้คลอรีนผงหรือใช้อวนลากไล่กุ้งให้ออกมาตรงประตูเปิดจับ
ในกรณีที่เลี้ยงด้วยน้ำความเค็มต่ำหรือบ่อเลี้ยงที่ไม่มีประตูระบายน้ำ การจับควรใช้อวนทับตลิ่งตามที่แสดงในภาพ 6.41-6.42
ภาพที่ 6.41 วิธีจับแบบเปิดประตูใช้อวนทับตลิ่งไล่กุ้งจากด้านตรงข้ามประตูจับเข้าหาประตู
ภาพที่ 6.42 วิธีการจับกุ้งโดยใช้อวนทับตลิ่งในพื้นที่ความเค็มต่ำหรือบ่อที่ไม่มีประตู