|
|
เกือบจะสาย
เกือบจะสาย
โดย ท.เลียงพิบูลย์
จากหนังสือกฎแห่งกรรม
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๓
เมื่อปี พ.ศ ๒๕๑๔ ก่อนสิ้นปี มีหญิงสาวผู้หนึ่งอายุผ่านยี่สิบไปไม่นานได้มาหาข้าพเจ้า บอกว่ามีความเลื่อมใสศรัทธาในพระธรรมคำสอนของพุทธศาสนา อยากจะสละทางโลกเข้าบวชเป็นชี เพื่อศึกษาธรรมและจะไม่ยอมหันกลับเข้ามาทางโลกอีก แต่มีอสังหาริมทรัพย์ซึ่งยังไม่เป็นกรรมสิทธิ์เพราะผ่อนยังไม่ครบกำหนดสัญญา อยากจะให้ผู้อื่นรับช่วงต่อไป เพื่อจะถอนเงินจำนวนนี้มาใช้จ่ายในเวลาที่ศึกษาธรรมและสร้างเรือนพักเพื่อบำเพ็ญพรหมจรรย์ตลอดไป ขอร้องให้ข้าพเจ้าช่วยเหลือในเรื่องนี้
ข้าพเจ้าพิจารณาดู เห็นว่าสุภาพสตรีผู้นี้มีอาชีพหน้าที่การงานพอที่จะรุ่งเรืองต่อไป แต่เมื่อมีอายุยังน้อยเกิดเลื่อมใสในทางพระพุทธศาสนา ข้าพเจ้าก็โมทนาด้วย ทั้งเห็นว่าการช่วยเหลือแบบนี้ไม่หนักหนาอะไร คิดว่าพอจะช่วยได้ แต่ก็ไม่ไดัรับปากว่าแน่นอน แต่จะพยายามช่วยเพราะทุกสิ่งอย่านึกว่าจะเป็นไปตามความนึกคิด ไม่มีอะไรแน่นอน เธอได้บอกเลขหมายโทรศัพท์เพื่อการติดต่อและที่ทำงาน ชื่อเสียงและที่อยู่
ก่อนสุภาพสตรีผู้นั้นจะลาจากไปก็หันมาบอกขัาพเจ้า หากไม่มีผู้ใดรับช่วงอิฉันก็จะสละเงินจำนวนนี้โดยปล่อยให้เขารับรู้เพราะดิฉันได้ยื่นใบลาขอลาออกจากงานในสิ้นเดือนนี้แล้ว และต้นเดือนหน้าก็ตกลงใจสละทางโลกเข้าหาธรรมไปอยู่วัดแล้ว เงินทองก็ยังมีอยู่บัาง เงินที่ผ่อนยังไม่ครบนึกว่าปล่อยไปตามเรื่อง ข้าพเจ้าได้ฟังก็สงสารและเห็นความศรัทธาที่แรงกล้าสำหรับสุภาพสตรีที่อายุยังน้อย ทั้งจะยอมเสียสละเงินจำนวนหมื่นๆ เช่นนี้ต้องมีจิตใจเด็ดเดี่ยวกล้าแข็งแน่วแน่
หลังจากสุภาพสตรีผู้นั้นลากลับไปแล้ว ข้าพเจ้าก็คิดดูว่ามีเพื่อนฝูงที่สามารถจะช่วยเหลือเรื่องนี้ได้ ก็รีบหมุนเลขโทรศัพท์ไปหาเพื่อนผู้หนึ่งอธิบายถึงความศรัทธาของสุภาพสตรีสาวผู้มีความเลื่อมใสในทางธรรม ตั้งสัตย์ว่าจะรักษาพรหมจรรย์ตลอด และสละตำแหน่งหน้าที่การงาน และอธิบายถึงการช่วยเหลือและพร้อมทั้งที่อยู่ สำนักงาน และโทรศัพท์ เพื่อนฟังข้าพเจ้าอธิบายจนเข้าใจแล้วก็พูดว่า
“ตกลงปล่อยเป็นหน้าที่ของผมๆ จะจัดการช่วยเหลือ เพราะการช่วยผู้ศรัทธาเพื่อรักษาศีลปฏิบัติด้วยจิตใจหนักแน่นแน่วแน่เช่นนี้ ผมยินดี”
ต่อจากนั้นมายังไม่ทันสิ้นเดือน เพื่อนก็จัดการเรียบร้อย ข้าพเจ้าก็ปีติยินดีด้วยเพราะเหตุการณ์เป็นที่เรียบร้อยง่ายๆ เช่นนี้ เธอก็ได้เงินก้อนเพื่อใช้จ่ายต่อไป บัดนี้ก็ได้เข้าวัดรักษาศีลแล้ว ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าประมาณสิบกว่าปี สำนักชีแห่งหนึ่งรู้สึกว่าเป็นสำนักปฏิบัติมีระเบียบวินัยดี มิให้ชีในสำนักออกเพ่นพ่านนำฎีกาวัดไหนต่อวัดไหน ต่างจังหวัดก็มีมาเที่ยวเดินเรี่ยไรชาวบ้าน อย่างที่เราท่านเคยเห็นมาแล้ว
ในสำนักชีมีแม่ชีสูงอายุผู้หนึ่งมีความเคร่ง ทราบแต่ว่าอดีตเป็นผู้มีอันจะกิน แต่ก็ไม่มีใครรู้รายละเอียดของแม่ชีผู้ที่ได้เข้ามาศึกษาธรรมจนเวลาล่วงเลยมาหลายปี เหตุการณ์ประหลาดก็เผยขึ้น โดยมีหญิงผู้หนึ่งเป็นผู้เล่าประวัติชีวิตของตนเอง ได้โยงถึงแม่ชีผู้เป็นตัวอย่างควรแก่การจะได้รู้ ดังคำบอกเล่าของสุภาพสตรี ได้เล่าชีวิตแต่หลังว่า
อิฉันมีชีวิตพอมีอันจะกิน อยู่สุขสบายอย่างอยู่ดีกินดี ความจริงอิฉันไม่ใช่เป็นคนจิตใจเหี้ยมโหดดุร้ายอะไรนัก แต่เป็นคนเจ้าอารมณ์ แม้จะผิดหรือถูก ก็ไม่อยากให้ใครมาว่ากล่าวตักเตือนสั่งสอน แม้แต่มารดาบังเกิดเกล้ามาจ้ำจี้สั่งสอนก็ไม่ชอบ ตัวเองเวลานั้นเอาแต่ใจ ไม่ได้คิดหาเหตุผลความหวังดีหวังร้าย อิฉันมักชอบคนยกยอยกย่องว่าดี ไม่ชอบให้ใครมาติเตียนเพราะถือว่าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว รู้ดูรู้ชั่ว รู้ผิดรู้ถูก
แม้แต่มารดาบังเกิดเกล้าจะมาว่ากล่าวสั่งสอนเหมือนกับอิฉันเป็นเด็กอมมือก็ไม่ชอบ เพราะถือตัวว่าโตพอที่จะช่วยตัวเองได้แล้ว แม่ได้พยายามสั่งสอนด้วยกล่าวคำอ่อนหวาน มิได้ดุด่าหรือว่าอย่างใด แต่ดิฉันก็ไม่ชอบอยู่ดี เพราะขึ้นต้นว่าสั่งสอนแม้จะพูดดีอย่างใด ดิฉันก็ไม่ชอบ ครั้งหนึ่งอิฉันทำผิดและอิฉันรู้ตัวดีแต่อิฉันก็ไม่ยอมรับว่าตัวผิด และความผิดครั้งนั้นเป็นความผิดครั้งยิ่งใหญ่ก็คือ
มีผู้ชายคนหนึ่งซึ่งดิฉันคิดว่าเราจะร่วมชีวิตกันในอนาตด้วยความรักทำให้ตาบอด ดังคำโบราณได้กล่าวไว้คงไม่ผิด ดิฉันได้ปรนเปรอคนรักซึ่งยังไม่รู้จักหัวนอนปลายตีนกันดีพอ คุณแม่ตอนนั้นอดรนทนไม่ไหว ได้ตักเตือนถึงชีวิตลูกผู้หญิงไม่ควรที่จะทำอย่างนั้น ผู้ชายส่วนมากมีนิสัยไม่ค่อยดี ที่ดีก็มีแต่ไม่มาก ฉะนั้นควรจะเรียนรู้นิสัยใจคอความประพฤติเสียก่อนที่จะหลวมตัวลงไป เวลานั้นดิฉันไม่เคยนำเอาคำตักเตือนของท่านมาคิดพิจารณาเลย หากเอามาคิดพิจารณาดูแล้วคงไม่ทุกข์ลำบากทางใจเช่นนี้
อิฉันกลับเห็นว่า ท่านนั้นขวางหูขวางตา คนแก่ขี้บ่นจู้จี้ อยากจะให้ท่านไปเสียให้พ้น วันนั้นอิฉันอารมณ์เสีย โต้ตอบท่านไปว่า “หนูเบื่อเหลือเกิน คุณแม่สอนหนูมาตั้งแต่เล็กจนโตป่านนี้ ไม่รู้จะสอนไปถึงไหนกัน เขาว่าคนแก่ขี้บ่นจู้จี้ ไม่รู้สิ้นไมู่รู้จบ เมื่อไหร่จะหยุดสั่งสอนกันเสียที จะได้มีความสบายใจขึ้นบ้าง”
เสียงคุณแม่พูดอย่างไม่ถือสา พูดค่อยๆ ว่า
“ลูกจงฟังแม่ให้ดีนะ แม่ก็มีลูกคนเดียวทั้งยังเป็นผู้หญิงและกำพร้าพ่อ ทั้งยังมีทรัพย์สินพอจะเลี้ยงตัวได้ตลอดไป ฉะนั้น แม่จึงเป็นห่วง เห็นสิ่งใดที่ลูกทำไปไม่ดีแม่จึงห้าม ถ้าลูกคิดดูให้ดีก็จะเห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่แม่ห้ามลูกนั้นด้วยความรักและหวังดีไม่เคยหวังร้าย แม่รักลูกเทียบเท่าชีวิต ไม่เคยหวังร้ายต่อลูก คนอื่นจะรักลูกมากเท่าไหร่ ก็ไม่เท่าความรักของแม่ที่มีต่อลูก”
เมื่อได้ยินแต่ดิฉันไม่ได้ฟัง เกิดอารมณ์เสียขึ้นมาทันที หมดความเกรงกลัว พูดเสียงดังว่า “พอทีแม่ หนูไม่อยากฟังแล้ว ถ้าหนูหนีได้ หนูจะหนีไปให้พ้นเสียงของแม่ หนูเบื่อฟังเต็มทีแล้วไมู่รู้จะบ่นไม่รู้จะสอนกันไปถึงไหน แม่ควรจะรู้ว่าหนูโตแล้ว พอจะพึ่งตัวเองได้แล้ว พอทีเถิด หนูไม่อยากฟัง”
คุณแม่ได้ยินอิฉันพูดเสียงดังเช่นนั้นก็หน้าสลดลง คงจะคิดน้อยใจว่าอิฉันนี้หัวดื้อ จึงพูดเสียงสั่นๆ ค่อยๆ คล้ายสะอื้นอยู่ในอกว่า
“ลูกคงไม่รู้ว่าความรักและความหวังดีในหัวอกแม่มีมากเพียงใด วันหนึ่งลูกก็คงจะรู้สึกตัว เวลานั้นมันก็จะสายเกินแก้เสียแล้ว แม่คิดว่าได้พยายามทำหน้าที่ของแม่ดีที่สุดแล้ว แต่ลูกต่างหากที่ไม่ได้ทำหน้าที่ลูกดีพอที่จะรับความหวังดีของแม่ จิตใจของลูกนึกรังเกียจที่แม่คอยเป็นก้างขวางคออยู่ตลอดเวลา ลูกได้พยายามทำอะไรกระทบกระแทกว่าใส่หน้า แดกดัน แม่รู้ลูกไล่แม่ทางอ้อม แม่ก็คิดเหมือนกัน แม่อดทนอยู่เพราะเป็นห่วงลูก หากแม่ไม่ห่วงลูกของแม่แล้ว แม่ก็จะเข้าวัดศึกษาธรรม ทำจิตใจให้สงบเพื่อเป็นกุศลบารมีต่อไป”
อิฉันได้ยินเช่นนั้นก็ได้โอกาสจึงพูดขึ้นว่า “ถ้าแม่เข้าวัดได้ หนูจะขออนุโมทนาสาธุด้วย บ้านนี้คงจะได้อยู่สงบเพราะไม่ได้ยินเสียงบ่นเสียงจู้จี้” อิฉันพูดอะไรไปตามอารมณ์ ไม่ได้คิดไม่ได้นึกว่าจะกระทบกระเทือนแม่ผู้บังเกิดเกล้าอย่างใด เวลานั้นอิฉันรับว่าเป็นคนใจร้ายอยากจะให้แม่ออกจากบ้านไปเสียให้พ้นเท่านั้น แต่ต่อมาไม่นาน คุณแม่ก็ทนอารมณ์อิฉันไม่ไหว จัดการไปอยู่วัดแล้วไม่นานก็บวชชีจำศีลภาวนา
ความรักทำให้ตาบอด ความเป็นอิสระของดิฉันที่ไม่มีคุณแม่มากีดขวาง ทำอะไรได้ตามชอบใจ ดิฉันปรนเปรอชายที่ดิฉันคิดว่าดี ชีวิตอิฉันยังอ่อนต่อโลกมาก ที่สุดอิฉันก็ต้องอุ้มท้องและคลอดลูกออกมาภายหลังเป็นผู้หญิง สามีที่ไม่ได้ตบแต่งก็คลายความรักเอาแต่เที่ยวเตร่ใช้เงินทองของอิฉันอย่างสบาย ที่สุดเธอก็แอบชอบผู้หญิงอื่น อิฉันไมู่รู้ แล้วก็ขอเงินอ้างว่าจะไปลงทุนโน่นลงทุนนี่ ดิฉันก็เชื่อจัดการให้ไป ที่สุดก็ไปแต่งงานกับหญิงอื่น เห็นจะเป็นเพราะเบื่ออารมณ์ของอิฉันที่เข้ากันไม่ได้ แต่ก็ปอกลอกอิฉันไปไม่น้อย ทำให้อิฉันต้องเศร้ามากในชีวิตที่ผิดหวังในคู่ครอง
เมื่อลูกของอิฉันเติบโต อิฉันได้ทะนุถนอมและรักแกปานดวงใจ สงสารและรักแกมากเท่าใดก็ยิ่งชังพ่อใจร้ายของแกมากเท่านั้นที่ทอดทิ้งมิได้หันหน้ามาหาลูกบ้างเลย
ต่อมาลูกดิฉันได้เกิดป่วยไข้ขึ้นมา อาการไข้ซึ่งความร้อนสูง อิฉันตกใจหาหมอมาดูแลรักษา คอยระวังอย่างใกล้ชิดไม่ยอมห่าง แม้แต่คนใช้ก็ไม่ไว้ใจ เห็นลูกซึ่งนอนไม่ใด้สติ ไม่ร้องอิฉันต้องร้องไห้เพราาะความสงสารแก อิฉันรักแกจนเพ้อกลัวแกจะจากไป อิฉันเพ้อร้องไห้พูดกับแกทั้งที่แกไม่มีสติและยังไม่เดียงสาว่า
“ลูกอย่าหนีแม่ไป หากแม่ไม่มีลูกแล้วแม่จะอยู่ไม่ได้ ชีวิตของแม่เห็นจะต้องตามลูกไป”
เมื่อหมอมาตรวจ ดิฉันต้องถามหมอทั้งน้ำตาว่า “คุณหมอขา ลูกดิฉันจะเป็นอันตรายไหมคะ คุณหมอต้องช่วยสุดกำลังนะคะ”
หมอบอกว่า “ผมจะพยามจนสุดความสามารถ แต่เห็นจะต้องนำส่งโรงพยาบาลใกล้หมอหน่อยคงจะไม่เป็นอันตราย ทำใจดีๆ ไว้เถิดครับคุณนาย”
อิฉันพูดกับหมอทั้งน้ำตาว่า “โถ คุณหมอขา อิฉันขาดแกไม่ได้หรอกค่ะ แกเป็นดวงใจของอิฉัน ลูกแม่อายุเพียงสามขวบกว่าเท่านั้น กำลังน่ารักน่าชัง ช่างพูดเสียงแจ๋วๆ” อิฉันปล่อยโฮออกมาต่อหน้าหมอหมดความอายด้วยความรักลูก เพราะยิ่งนึกจะอดกลั้นอย่างใดก็ไม่ไหว นึกถึงลูกป่วยแล้วอิฉันสงสารแกใจจะขาด อิฉันทนไม่ไหวจริงๆ ถ้าหากแกมีอันเป็นไป ต้องจากไปแล้ว ดิฉันจะทนมีชีวิตต่อไปไม่ได้
ที่สุดลูกอิฉันก็เข้าอยู่โรงพยาบาล เมื่อลูกป่วย ดิฉันไม่เป็นอันกินอันนอน ทำอะไรไม่ถูก สติสตังไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวด้วยความรักลูก อิฉันต้องไปเฝ้าอยู่กับแกตลอดเวลา เมื่อแกได้สติพอจะพูดได้ ก็ได้ยินคำแรกที่แกพูดว่า “แม่จ๋า” ใจอิฉันพองขึ้นมาทันที รีบวิ่งไปกุมมือแกไว้แล้วพูดว่า “ลูกจ๋า แม่ อยู่นี่” เสียงเด็กไม่เดียงสาลืมตามองดูรอบห้องพลางถามว่า “แม่จ๋า หนูอยู่ไหนจ๊ะแม่” อิฉันบอกแกว่า “หนูไม่สบายจ้ะ อย่าพูดมากนะจ๊ะ นอนๆ นะลูกนะ” ครู่เดียวแกก็หลับไป อิฉันดีใจที่แกได้ฟื้นจากไข้แล้ว อิฉันเพิ่งจะรู้ว่าความรักของแม่มีต่อลูกนั้นลึกซึ้งเพียงใด เพราะได้กับตัวอิฉันซึ่งมีต่อลูก
เมื่อลูกหายป่วยอิฉันต้องนึกถึงความรักของแม่ที่มีต่ออิฉัน น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว ปากก็รำพันว่า “แม่จ๋า ลูกผิดไปแล้ว ลูกตีค่าความรักของแม่ ที่มีต่อลูกต่ำไป” แล้วก็หวนกลับนึกถึงเมื่ออิฉันเล็กๆ จำความได้เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย แม่จะต้องมาคอยพะเน้าพะนออยู่เคียงข้างตลอดเวลา คอยเอาอกเอาใจจะกินอะไรต้องการอะไร แม่หามาให้ทุกอย่าง เมื่อไข้หนักแม่ต้องอดหลับอดนอนคอยดูแล คอยป้อนอาหารปลอบโยนด้วยคำหวานซึ่งอิฉันยังจำได้ว่า “หนูกินยานะจ๊ะ ทูลหัวของแม่ ถ้าลูกหายป่วยแม่จะพาหนูไปเที่ยว หนูต้องการของเล่นอะไรแม่จะหาให้ ชื่นใจของแม่ กินยานะจ๊ะ”
เมื่อเวลาป้อนข้าวแม่ก็ต้องอ้อนวอนขอร้องให้กินพูดอย่างอ่อนหวาน “หนูกินข้าวนะจ๊ะ ลูกจะได้หายป่วยเร็วๆ จะได้แข็งแรง” พลางก็เอาช้อนตักข้าวอ่อนๆ หรือน้ำข้าวใส่เกลือเค็มๆ ป้อนใส่ปาก แต่เวลานั้นอิฉันยังเล็ก ยังไม่เดียงสาในกิริยาความหมายของแม่ ซึ่งมีความห่วงใยมีความรักลูกเพียงใด แม้อิฉันจะเติบโตขึ้นจนมีบุตรแล้วก็ยังไม่รู้ซึ้งถึงความรักของแม่ที่มีต่อลูก แต่บัดนี้ อิฉันนึกถึงและซาบซึ้งใจในชีวิตรักของแม่ที่มีต่อลูกแล้ว
อิฉันคิดได้รู้สึกซึ้งถึงความรักของแม่ที่มีต่อลูก เมื่อตอนที่ลูกอิฉันป่วยในคราวนี้ ดิฉันได้ทุ่มเทความรักความอาลัยให้กับแกยิ่งกว่าชีวิตของตนเอง คุณแม่ของดิฉันคงรักอิฉันเช่นเดียวกับอิฉันรักลูก ยิ่งนึกถึงอกของแม่ อิฉันไม่สามารถจะอดกลั้นน้ำตาไว้ได้ ต้องร้องไห้สะอืกสะอื้นหลายครั้งหลายหนนึ กถึงแล้วก็ร้องไห้ รู้สึกเสียใจที่ตัวเองได้ทำกับแม่บังเกิดเกล้าดังที่แล้วๆ มาอย่างไม่น่าให้อภัย ขาดความเคารพ ขาดความกตัญญูกตเวที
เมื่อนึกก็เห็นความผิดของตน หลายครั้งที่อิฉันต้องสะอื้นและรำพันขึ้นมาว่า “แม่จ๋า แม่ที่รักลูกยิ่งชีวิต แต่ลูกกลับสนองคุณแม่ด้วยการเสือกไสไล่ส่ง แม่ต้องจากบ้านไปอยู่วัด แม่ต้องระทมทุกข์เพราะลูกไม่รู้บุญคุณของแม่ แม่คอยตักเตือนสั่งสอนลูก เมื่อลูกเห็นผิดเป็นชอบ ลูกเป็นคนอวดดี ต่อไปนี้ลูกจะขอเคารพบูชาพระคุณของแม่อยู่เหนือหัว ถ้าลูกไม่มีประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองแล้ว คิดว่าลูกยังตาบอด ไม่เห็นความรักอันลึกซึ้งฝังอยู่ในจิตใจของแม่มีต่อลูกมากเพียงใด บัดนี้ลูกรู้สึกตัวแล้ว” อิฉันสะอึกสะอื้นร้องไห้หาแม่เหมือนทารก หากเรื่องเช่นนี้ไม่โดนกับตัวใครยากจะเข้าใจลึกซึ้งได้
เมื่อลูกอิฉันหายดีกลับบ้านแล้ว ก็มีความร้อนใจมิได้อยู่ช้า ได้จัดการหาของที่แม่เคยชอบเคยกิน เคยใช้อย่างดี รีบเดินทางไปที่วัดสำนักชีอยากเห็นหน้าแม่ใจจะขาดแล้ว ดิฉันได้ตรงไปหาคุณแม่ ซึ่งได้บวชเป็นชีอยู่ในวัดนั้น เมื่อได้พบคุณแม่อยู่ในร่างแม่ชีผู้ทรงศีล นั่งอยู่ในสำนักที่พัก อิฉันได้ตรงเข้าไปก้มลงกราบเท้าคุณแม่ พลางพูดเสียงสั่นๆ ว่า
“คุณแม่ขา ลูกรู้ตัวว่าลูกชั่ว ทำผิดมาก บัดนี้หนูได้รู้สึกตัวแล้ว”
คุณแม่ในร่างแม่ชีผู้ทรงศีล เมื่อเห็นอิฉันเข้ากราบเท้าท่าน ก็ตกใจและคงสงสัยเพราะอิฉันไม่เคยปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน แล้วพูดออกมาว่า “ลูกรักของแม่ ลูกมีเรื่องเดือดร้อนอะไรมากนักหรือต้องร้องไห้ มาหาแม่เช่นนี้เหมือนคนทุกข์หนัก”
เสียงของคุณแม่ยังนิ่มนวล อ่อนหวาน แสดงถึงยังมีความรักและเมตตาปรานีอิฉันเหมือนเช่นเดิม มิได้โกรธหรือรังเกียจที่อิฉันทอดทิ้งไม่ดูแลท่านมานาน ยิ่งทำให้ฉันนึกถึงพระคุณของท่านยิ่งขึ้น เมื่ออิฉันค่อยคลายความเศร้าโศกเสียใจที่เคยได้ปฏิบัติไม่ดีต่อคุณแม่มาแล้ว อิฉันจึงขอสมาลาโทษท่านที่ได้ทำกับท่านตลอดมาด้วยอารมณ์ ตลอดจนท่านต้องมาอยู่วัด และบัดนี้อิฉันได้รู้ถึงความรักของแม่ที่มีต่อลูกแล้ว และอิฉันจะไม่ยอมเห็นผิดต่อไปอีก
คุณแม่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี แล้วพูดว่า “แม่ย่อมให้อภัยให้ลูกเสมอ”
ดิฉันจะขอรับคุณแม่ถลับไปอยู่บ้านและจะปฏิบัติท่านให้มีความสุขความสบายเท่าที่อิฉันสามารถจะทำได้ แต่คุณแม่ท่านยกมือขึ้นลูบศีรษะอิฉันอย่างเอ็นดู และพูดขึ้นอย่างเมตตาปรานีต่อลูกว่า
“ลูกรักของแม่ ตามที่ลูกรู้สึกว่าทำผิดกลับใจใหม่ ก็นับว่าเป็นกุศลของลูกแล้ว แม่มีความยินดีด้วย ตามที่ลูกจะขอรับแม่ไปอยู่บ้านเพื่อปฏิบัติแม่ให้มีความสุข ด้วยความกตัญญูกตเวทีของลูกนั้น แม่ก็ดีใจ ขอบอกว่าแม่ดีใจจริงๆ ที่รู้ว่าลูกกลับเนื้อกลับตัวได้ เรื่องในอดีตที่ผ่านไปแล้ว ลูกอย่าเอามาคิดเลยทำอะไรแก้ไขไม่ได้ เวลานั้นใจลูกยังเด็กอยู่ บัดนี้ลูกเป็นผู้ใหญ่พอตัวแล้ว จงก้มหน้าเลี้ยงลูกให้การศึกษาอบรมศีลธรรมให้แกเติบไปเบื้องหน้าจะได้เป็นพลเมืองดีของชาติ ปฏิบัติตนมีศีลธรรม ปฏิบัติดีในพระพุทธศาสนา สำหรับแม่เวลานี้ปฏิบัติตนอยู่ในศีลสมาธิปัญญา มีความสุขอยู่ด้วยความสงบเหมาะกับชีวิตบั้นปลายของแม่แล้ว ขอลูกอย่าได้ห่วงแม่เลย ความสงบทางจิตใจซึ่งอยู่ในขอบเขตของศีลธรรมเป็นความสุข ความสงบ สบายใจ ของแม่ในปัจจุบันนี้แล้ว”
แม้อิฉันพยายามอ้อนวอนเท่าใด คุณแม่ก็คงไม่ยอมกลับมาอยู่บ้านอีก ฉะนั้น อิฉันจึงต้องตามใจและต่อมาถือโอกาสพาลูกไปเยี่ยมคุณยายของแกเดือนละหลายครั้ง หาของที่คุณแม่ชอบไปฝากท่าน แม้คุณแม่จะขอร้องอย่าซื้อหามาเลยสิ้นเปลืองเงินทองเปล่าๆ ดิฉันก็ไม่ยอม เพราะนึกว่าชีวิตเรามีแม่บังเกิดกล้าได้คนเดียวเท่านั้น ส่วนลูกสาวอิฉันแกรักและเคารพคุณยายของแกมาก นี่แหละค่ะชีวิตของอิฉัน เมื่อรู้สึกตัวผิดและกลับใจก่อนที่จะสายเกินไป
เวลานี้อิฉันได้ปฏิบัติท่านทุกสิ่งที่สามารถจะทำได้ แม้ท่านจะปฎิบัติธรรมอยู่ทั่วไปก็ดี คิดว่าคนจำนวนมากที่ยังไม่รู้ว่าความรักของแม่ที่มีต่อลูกลึกซึ้งเพียงใด ตอนมีลูกของตนเองเมื่อใด และรักลูกปานชีวิตได้เจ็บป่วยหนักแทบจะเอาชีวิตไม่รอด เมื่อนั้นเราผู้เป็นแม่ก็รู้จักจิตใจว่า ความรักของแม่นั้นมีต่อลูกเพียงใดเราก็จะต้องคิดถึงตัวเราเมื่อเป็นลูก แม่จะรักเราเพียงใดก็จะรู้สึกซึ้งได้ในเวลานั้น การที่อิฉันได้นำเรื่องส่วนตัวในความรู้สึกมาเล่าให้ฟังนี้คิดว่าคงจะเกิดประโยชน์ และคงจะมีมากท่านผู้เป็นแม่ที่มีความรักลูกจะต้องหวนไปนึกถึงแม่ ความรักเป็นห่วงไม่ผิดอะไรกับเรารักลูกห่วงลูกเช่นกัน
หากว่าจะมีความดีในเรื่องนี้ ดิฉันขออุทิศให้สัตว์โลกที่กำลังหลงทั้งหลาย จงได้รับกุศลอันนี้เพื่อส่งเสริมความรู้สึกให้ยกระดับสูงขึ้นมองเห็นแสงสว่างของชีวิตในทางดีต่อไป
แม่รักลูก ลูกก็รู้ ว่าแม่รัก
แต่ลูกมัก ดื้อดึง จึงเกือบสาย
แม่สั่งสอน ในสิ่งดี มีมากมาย
ลูกทั้งหลาย ว่าแม่บ่น จนร่ำไร
แม่ผ่านโลก ร้อนหนาว มานานปี
ย่อมจะมี ประสบการณ์ มาขานไข
กว่าจะรู้ ว่าแม่รัก ลูกจริงใจ
แม่จากไกล เกือบจะสาย ได้แทนคุณ
ท.เลียงพิบูลย์
|
Update : 3/4/2554
|
|