หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    มารศาสนา

    มารศาสนา
    โดย ท.เลียงพิบูลย์

    จากหนังสือกฎแห่งกรรม
    ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๑



    วันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนรุ่นพี่จากฝั่งธนบุรี บอกว่าอยากจะให้ไปพบกับเรื่องที่ประหลาดมหัศจรรย์ ด้วยมีนายทหารผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง มีความประสงค์จะให้ข้าพเจ้าไปพบกับ “ท่านเจ้าคุณเจ้าอาวาสวัดหนึ่งทางฝั่งธนบุรี”

    เมื่อข้าพเจ้าทราบความประสงค์เพื่อนรุ่นพี่แล้ว ตกลงนัดวันเวลาที่จะไป ครั้นถึงวันนัดจำได้ว่าเป็นวันเสาร์ ข้าพเจ้าจึงได้เดินทาง โดยมีนายทหารผู้นั้นพร้อมด้วยภรรยาของท่านเป็นผู้นำทาง และรถของข้าพเจ้าพร้อมทั้งคุณพี่กับภรรยาเป็นผู้ตาม วันนั้นเราได้ไปถึงวัด และขึ้นไปบนกุฏิท่านเจ้าคุณ แล้วก็ได้พบท่านผู้มีเกียรติหลายท่านมาคอยพบท่านเจ้าคุณอยู่ก่อนแล้ว

    ปรากฏว่าท่านเจ้าคุณไม่อยู่ในที่นั้น ได้ทราบว่าท่านได้ลงไปฉันเพลที่ศาลา เนื่องในวันเกิดหรืองานมงคลอะไรข้าพเจ้าก็จำไม่ได้ เราได้รับการแนะนำให้รู้จักกับท่านที่รอคอยท่านเจ้าคุณเจ้าอาวาส เมื่อได้สนทนาก็ได้ทราบว่า ท่านผู้มีเกียรติเหล่านั้น ได้ติดตามอ่านหนังสือ “กฎแห่งกรรม” หรือ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” มาแล้วทุกท่าน ข้าพเจ้าตอบขอบคุณที่ท่านได้สนใจในหนังสือของข้าพเจ้า และได้ให้การสนับสนุน

    บนกุฏิท่านเจ้าคุณมีพระพุทธรูปเป็นจำนวนมาก ท่านผู้ที่นำข้าพเจ้าไปนั้น ได้ชี้ให้ดูพระพุทธรูปสององค์ขนาดคนยืนสองข้าง สูงต่ำเท่ากัน ท่านได้อธิบายว่า

    “พระพุทธรูปสององค์นี่แหละ ผมมีความประสงค์จะให้มารู้มาเห็น และทราบประวัติจากท่านเจ้าคุณหลวงพ่อ ผมจะเล่าเองก็คงจะได้เนื้อความไม่ละเอียดนัก อยากจะให้มาพบและได้ทราบจากปากคำของหลวงพ่อ นำไปนึกไปคิดก็คงจะได้เรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อไป”

    ข้าพเจ้าตอบขอบคุณที่ได้กรุณาสละเวลา ที่ท่านได้เห็นประโยชน์ส่วนรวม เมื่อข้าพเจ้าได้ก้มลงกราบนมัสการพระพุทธรูปทั้งสองแล้ว ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนด้วยความเคารพ และทราบถึงความศักดิ์สิทธิ์แฝงอยู่ในพระองค์ท่าน

    ไม่ช้าท่านเจ้าคุณเจ้าอาวาสได้ขึ้นมาบนกุฏิ เมื่อได้รับคำแนะนำแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้นมัสการท่านด้วยเคารพ ถามถึงพระพุทธรูป ท่านเจ้าคุณได้กรุณาชี้แจงให้ทราบ และได้อธิบายถึงประวัติการเป็นมาของพระพุทธรูปทั้งสอง เมื่อย้อนหลังจากวันที่ข้าพเจ้าได้ไปพบสนทนากับท่านเจ้าคุณประมาณ ๔ - ๕ ปี ได้มีผู้นำพระพุทธรูปท่อนล่างมาถวายท่าน

    พระพุทธรูปองค์นี้ได้ถูกเลื่อยเป็นสองท่อน ส่วนท่อนบนเขานำไปขายให้ฝรั่ง ท่านเจ้าคุณได้รับพระพุทธรูปท่อนล่างไว้ด้วยความสังเวชใจ ที่มนุษย์ในยุคนี้ช่างมีจิตใจโหดร้าย แม้พระพุทธรูปเป็นที่เคารพสักการะบูชาของชาวไทยทั้งชาติ ก็ยังทำลายเพื่อเห็นประโยชน์ส่วนตัว ไม่ได้นึกถึงเวรกรรมบุญบาปที่จะตามสนอง มิไยที่จะมีผู้โกรธแค้น เมื่อใครรู้ใครด่า ใครรู้ใครแช่ง มนุษย์ใจร้ายเหล่านั้นจะอยู่ด้วยความสุขได้อย่างไรท่ามกลางคนสาปแช่ง

    เมื่อท่านเจ้าคุณได้พระพุทธรูปท่อนล่างมาแล้ว ท่านก็ได้จัดการบูรณะ โดยจัดการหล่อพระเศียรติดต่อเชื่อมส่วนบนให้สมบูรณ์เป็นองค์พระตามเดิม แล้วตั้งไว้เคารพบูชาบนกุฏิท่าน แต่แล้วต่อมาไม่นาน ท่านผู้นำพระพุทธรูปส่วนล่างมาถวายนั้นก็ได้นำพระพุทธรูปส่วนบนมาถวายท่านอีก แต่ท่อนล่างท่านก็ได้บูรณะหล่อส่วนบนให้เป็นองค์สมบูรณ์แล้ว แต่คราวนี้เมื่อได้ส่วนบนมา ท่านก็ต้องบูรณะส่วนล่างเชื่อมติดต่อกับส่วนบนให้สมบูรณ์เช่นเดียวกัน


    ฉะนั้น จึงเกิดเป็นพระพุทธรูปยืนสององค์ ยืนเด่นอยู่บนกุฏิท่านเจ้าคุณในหมู่พระพุทธรูปจำนวนมาก ที่ตั้งไว้บูชา ผู้ที่ได้ขึ้นไปบนกุฏิท่านเจ้าคุณก็จะพบเห็นทุกท่าน ประวัติของพระพุทธรูปยืนทั้งสองนี้มีว่า

    ทางพระนครมีผู้นำพระพุทธรูปมาเลื่อยท่อนล่างออกแล้ว ก็นำเอาท่อนบนไปขายให้ฝรั่ง ซึ่งเข้ามาทำงานในประเทศไทยผู้หนึ่งเพื่อสะดวกที่จะนำออกนอกประเทศ ถ้าจะนำไปทั้งองค์ก็ไม่สะดวก ฉะนั้นเมื่อเลื่อยท่อนบนไปขายแล้ว ส่วนท่อนล่างก็ไม่สนใจทิ้งไว้ข้างบ้าน คนข้างบ้านเห็นแล้วก็สังเวชใจยิ่งนัก จึงขอนำมาถวายท่านเจ้าคุณที่ท่านผู้นี้เคารพ แต่เหตุการณ์ก็มิได้สุดสิ้นลงเพียงนี้

    ต่อมาเวลาผ่านไป วันหนึ่งผู้ที่เลื่อยพระพุทธรูปไปธุระในซอยแห่งหนึ่งในเขตพระนคร เมื่อรถที่นั่งไปนั้นออกจากซอยก็ชนกับรถอีกคันหนึ่งอย่างแรง รถพังยับเยินลงที่ปากซอย ทำให้ผู้ฆาตกรรมพระพุทธรูปผู้นั้นนั่งมาด้วย ต้องรับบาดเจ็บสาหัสหนังหัวถลกมาข้างหน้า ความเจ็บปวดทำให้ร้องครวญครางออกมาอย่างเวทนา ทำให้ผู้ที่รู้เห็นเหตุการณ์ครั้งนั้นอดสังเวชและสงสารมิได้ เพราะเห็นกิริยาแสดงถึงอาการปวดร้าว ไม่สามารถจะทนอยู่ได้ ดิ้นรนทุกข์ทรมาน ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้พยายามช่วยเหลือผู้บาดเจ็บสาหัสผู้นั้น เพื่อรีบจัดส่งโรงพยาบาลด่วน คนป่วยบิดตัวหน้าเบี้ยวบูดด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว ร้องไห้ครวญครางเหมือนทารก พิษบาดแผลสาหัส ทำให้คลั่งเพ้อร้องออกมาว่า

    “ผมเจ็บปวดทนไม่ไหวแล้ว ขอกรุณาเอาเลื่อยมาเลื่อยหน้าอกที” คนป่วยร้องย้ำคำว่า “ขอเลื่อยหน้าอกที ผมทนไม่ไหวแล้ว เลื่อยหน้าอกทีๆ ๆ ผมทนไม่ได้มันทรมานเหลือเกิน”

    ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ในเวลานั้น ต่างก็รู้ว่าบุคคลเคราะห์ร้ายผู้นี้ ต้องทนทุกข์ทรมานเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสจากขั้วหัวใจจนน้ำตาไหลอาบหน้า ทั้งกิริยาท่าทางและการดิ้นรนตลอดจนหน้าตาบิดเบี้ยว ก่อนร้องคำแรกก็แผ่วเบา แล้วก็ค่อยดังขึ้นจนที่สุดก็ตะโกนออกมา ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครทราบว่า คำพูดที่ตะโกนออกมานั้นหมายความว่าอะไร บางคนคงจะเข้าใจว่าเป็นเพราะความเจ็บปวดเพ้อคลั่ง อยากให้เลื่อยกายออกสองท่อน เพื่อจะได้ตายเร็วขึ้น เพื่อให้พ้นความทุกข์ทรมาน และบางคนอาจคิดว่าคงจะเป็นเพราะพิษบาดแผลทำให้หมดสติ แล้วพูดอะไรออกมาโดยไม่รู้สึกตัว

    ฉะนั้น คำพูดจึงไม่มีความหมายสำหรับผู้ที่ยังไม่รู้เบื้องหลังชีวิตของบุคคลผู้นี้ เมื่อได้เห็นได้ยินก็เพียงให้ความสมเพชสงสาร ที่บุคคลผู้นี้ได้ประสบเคราะห์กรรมแล้ว ความรู้สึกก็ผ่านไปไม่รู้สึกแปลกประหลาดอันใด และบางท่านที่ใจอ่อนผ่านมาก็ไม่กล้าดู ไม่กล้าฟังคำโอดครวญของคนป่วย เพราะกลัวจะเป็นลม เมื่อเห็นเลือดต้องหันหน้าไปทางอื่นรีบผ่านไป

    หากมีผู้ที่ติดตามไปรู้เบื้องหลังบุคคลผู้นี้แล้ว คงจะตื่นเต้นทุกคำพูดเขย่าขวัญเสียดแทงเข้าไปในความรู้สึก เพราะในชีวิตของผู้สร้างกรรมของบุคคลผู้นี้ ที่สุดก็หนีกรรมที่ตนประกอบขึ้นไม่พ้น ทำให้น่าคิดในชีวิตของบุคคลทำชั่วทั่วๆ ไป หากได้มีโอกาสได้ติดตามชีวิตถึงบั้นปลายของบุคคลผู้นี้ ก็คงจะได้พบสิ่งแปลกๆ และอัศจรรย์อีกมาก

    เหตุการณ์เกิดขึ้นครั้งนั้น ได้ทราบถึงฝรั่งผู้ได้ซื้อพระพุทธรูปท่อนบนไว้ เมื่อได้มีผู้เล่าให้ฟังเหตุเกิดขึ้นแก่ผู้เลื่อยพระพุทธรูป ฝรั่งผู้นี้ก็เกิดตกใจกลัวหวาดภัยที่อาจเกิดขึ้นแก่ตัวต่อไป จึงรีบไปพบท่านผู้ที่นำพระพุทธรูปส่วนล่างไปถวายท่านเจ้าคุณเจ้าอาวาส แล้วหวังจะมอบพระพุทธรูปส่วนบนที่ตนได้เสียเงินซื้อมาด้วยราคาสูง หวังจะส่งไปประเทศของตน ก็ต้องเลิกล้มความคิดรีบนำมามอบให้ท่านผู้นั้น เพื่อจะได้นำไปถวายท่านเจ้าคุณประกอบกับท่อนล่างให้เป็นองค์พระสมบูรณ์ตามเดิม แล้วจึงทราบว่าท่อนล่างได้บูรณะแล้ว ก็อยากจะนำไปให้พ้นบ้านเพราะความกลัว และบอกว่าเข็ดแล้วจะไม่ขอแตะต้องพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป ทั้งได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในบ้านให้ฟังว่า

    นับตั้งแต่แกได้นำพระพุทธรูปครึ่งองค์ที่เลื่อยครึ่งท่อนมาไว้ในบ้าน เหตุการณ์แปลกๆ ก็เกิดขึ้น ในความรู้สึก แต่ก่อนที่จะนำพระพุทธรูปเข้ามาในบ้าน ครอบครัวของแกเคยได้รับความสุข บุตรและภรรยามีแต่ความสนุกเบิกบานร่าเริง เมื่อนำพระพุทธรูปครึ่งท่อนบนเข้ามาอยู่ในบ้านแล้ว ก็เปลี่ยนแปลงภาพตรงกันข้าม ภายในบ้านเกิดปั่นป่วน ประเดี๋ยวคนนั้นป่วยคนนี้ป่วยไม่ว่างเว้นจากโรคภัย ความรู้สึกมีแต่ความเคร่งเครียด จิตใจไม่มีสบายอยู่ตลอดเวลา มองดูอะไรไม่ถูกใจไม่ถูกตา สิ่งที่ไม่น่ามีเรื่องก็มี มีแต่ความทุกข์หนักอยู่ในอก ไม่มีความสงบสุข

    พอมารู้ข่าวคนที่เลื่อยพระพุทธรูปขายให้แก ก่อนตายร้องตะโกนให้เลื่อยหน้าอกก็เกิดความตกใจหวาดหวั่น นึกถึงความปั่นป่วนในครอบครัว แล้วนึกถึงพระพุทธรูปองค์นี้คงจะให้โทษแน่ เมื่อยิ่งคิดก็ยิ่งเห็นชัดเจนขึ้น และบัดนี้แกก็ยิ่งหนักใจ เมื่อได้รับความตำหนิติเตียนในการงานว่าบกพร่องไม่เหมือนแต่ก่อน ทางการต่างประทศของแกได้มีคำสั่งให้แกกลับไป

    แกเชื่อแน่ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้คงเป็นด้วยอภินิหารของพระพุทธรูปที่แกซื้อมา ไม่มีข้อสงสัย แกไม่ยอมนำพระพุทธรูปนี้ไปด้วย ฉะนั้นท่านผู้นั้นจึงรับพระพุทธรูปที่ฝรั่งฝากมาถวายท่านเจ้าคุณ แล้วท่านก็บูรณะให้สมบูรณ์อีกองค์หนึ่ง ดังที่ข้าพเจ้าได้เห็นในกุฏิท่าน

    เรื่องอภินิหารของพระพุทธรูปนี้ ข้าพเจ้าได้พยายามพิจารณาหาเหตุผลคิดแล้วคิดอีกว่า องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น ท่านมีแต่ความเมตตากรุณา มุ่งหวังจะนำสัตว์โลกทั้งหลายให้พ้นห้วงมหันตทุกข์ หลุดพ้นเวียนว่ายตายเกิด ไปสู่ความสุขสงบ พระองค์ไม่เป็นโทษภัยผู้ใด มีแต่ทรงสั่งสอนให้ประกอบแต่กรรมดี

    แต่เหตุใดจึงให้โทษแก่ผู้ที่ทำลายพระพุทธรูป ข้อนี้เห็นจะเป็นเหตุเพราะพวกเทพหรือเทวดาอารักษ์ หรือวิญญาณต่างๆ ที่ได้รักษาองค์พระพุทธรูป เป็นผู้คอยคุ้มครองเกิดความเคียดแค้นที่มีมารศาสนามาทำลายพระพุทธรูป ซึ่งเป็นที่เคารพบูชากราบไหว้ของมหาชนที่นับถือทั่วไปก็เป็นได้ นี่ก็เป็นไปตามกฎแห่งกรรม ใครจะทำดีชั่วย่อมเกิดผล แม้พระท่านจะไม่เอาโทษ ธรรมชาติของหลักกรรมก็ไม่ยกเว้น

    เมื่อได้พยายามนึกว่า พระพุทธศาสนาพิจารณาดูทุกแง่ทุกมุมก็มีแต่ให้ความร่มเย็นเป็นสุข ด้วยความเมตตากรุณาปรานีไม่ว่าคนดีคนชั่วและสัตว์ทั้งหลาย มุ่งหวังสอนให้ประชาชนชาวโลกประกอบกรรมดี สละทิ้งความชั่ว มิได้ให้ร้ายเป็นภัยให้โทษผู้ใด ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงครั้งหนึ่งได้เคยอ่าน “บันทึกเรื่องของคุณพาณี รัตนสมบัติ” เป็นหนังสือพิมพ์แจกในงานศพ เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๐๗

    ข้าพเจ้ามีความสนใจเรื่องที่คุณพาณีหมดลมหายใจไปแล้วสามครั้ง ตายอย่างอวัยวะส่วนต่างๆ หยุดทำงานตัวเย็นชืด แต่แล้วกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมา และเหตุการณ์ที่ได้ประสบมาในระหว่างจิตดับได้เข้าไปในเขตดินแดนเมืองสวรรค์ โดยมีรถที่สวยงามมีผู้คนแวดล้อมพาไป และก่อนที่คุณพาณีจะหมดลมนั้นก็รู้ล่วงหน้าทุกครั้ง แต่สิ่งที่ประทับใจข้าพเจ้าในหนังสือฉบับนั้น ก่อนตอนต้นที่คุณพาณีได้ตัดสินใจจากประสบการณ์ในนิมิต เปลี่ยนใจจากการนับถือศาสนาคริสต์มานับถือศาสนาพุทธด้วยแรงอธิษฐาน

    เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านแล้ว ก็เกิดสนใจในชีวิตอันประหลาดมหัศจรรย์ของคุณพาณีมาก รู้สึกมีความเลื่อมใสอยากจะติดตามเรื่องนี้ ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถจะติดตามเรื่องนี้ได้ เพราะข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักกับญาติของคุณพาณีพอที่จะให้ความกระจ่างแจ้งในเรื่องนี้ ก็ได้แต่เก็บความสนใจเรื่องนี้ไว้ในความรู้สึก หวังคอยเวลาและโอกาสข้างหน้า

    แต่แล้วต่อมาเมื่อเทศกาลกฐินปี ๒๕๐๙ ข้าพเจ้าได้ไปงานทอดกฐินที่วัดประดู่ทรงธรรม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้มีผู้แนะนำให้รู้จักกับ คุณสาย รัตนสมบัติ ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักท่านผู้นี้มาก่อนเลย นับว่าเป็นโชคดีโดยบังเอิญ ข้าพเจ้าเรียนถามถึงคุณพาณี ตามที่ข้าพเจ้าได้อ่านในหนังสือบันทึกที่พิมพ์แจก และอยากทราบนอกเหนือกว่านั้น คุณสายเป็นผู้ที่คุยสนุกได้กรุณาเล่าให้ฟังในเวลาตอนเลี้ยงอาหารเที่ยง ที่บนศาลาวัดประดู่ทรงธรรม หลังจากทอดกฐินแล้ว รวมทั้งผู้มีเกียรติอีกหลายท่าน เรามีเวลาสนทนากันไม่มากนักในระหว่างอาหาร และหลังอาหารเราก็ยังสนทนากันอีกนาน แต่ยังไม่สิ้นเรื่อง

    ข้าพเจ้าจะขอย่อแต่ต้นเรื่อง คือ การเปลี่ยนศาสนาของคุณพาณี เพื่อจะชี้ให้เห็นว่าพระพุทธศาสนาไม่เป็นพิษภัยให้โทษแก่ใคร การที่คนใจชั่วทำลายพระพุทธรูปที่ได้รับภัยก็เป็นไปตามกฎแห่งกรรม ใครทำดีทำชั่วย่อมหนีไม่พ้นกรรมที่ทำไว้ คุณพาณีเคยอยู่โรงเรียนกินนอนมาแต่เด็กๆ ได้ถูกอบรมให้ถือศาสนาคริสต์ไปด้วย เมื่อกลับมาอยู่บ้านก็แยกเป็นสองศาสนา คือ มีพุทธและคริสต์ในบ้านเดียวกัน แต่ศาสนาพุทธนั้นเป็นศาสนาเสรี ก็มิได้รังเกียจใครจะถือศาสนาใดก็เข้ากันได้ ให้ความรักใคร่เอ็นดู เห็นอกเห็นใจเช่นเดียวกันไม่ลบหลู่ดูหมิ่น เพราะเห็นว่าทุกศาสนาสอนให้คนทำความดี

    แต่คุณพาณีไม่สบายใจ เพราะปัญหาเรื่องศาสนาที่ต้องแยกกันนับถือในบ้านเดียวกัน ตัดสินใจไม่ถูก เพราะมองเห็นดีทั้งศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ แต่เมื่ออยู่บ้านเดียวกัน ก็ควรจะนับถือศาสนาเดียวกัน จะได้มีจิตใจร่วมสามัคคีสนิทเพื่อความสุขทางครอบครัว ถ้าคนละศาสนาจะทำอะไรก็ต้องคอยระวัง เกรงว่าจะกระทบกระเทือนจิตใจกัน ต้องคอยถนอมน้ำใจกันตลอดไป คุณพาณีคิดว่าถ้าถือพุทธก็ควรจะถือกันทั้งหมดบ้าน ไม่ควรจะถือแยกกัน แต่ก็คิดไม่ตกว่าจะชวนคนในบ้านให้นับถือคริสต์ทั้งหมด หรือตนเองจะร่วมนับถือพุทธด้วย

    แล้วคืนหนึ่งก่อนเข้านอนก็ตัดสินใจว่า คืนนี้จะขออธิษฐานให้พระพุทธเจ้า และพระเยซูเจ้า ขอให้มาแสดงอภินิหารต่อสู้กัน ถ้าฝ่ายใดชนะก็จะตัดสินใจเด็ดขาดยอมนับถือศาสนานั้น ไม่มีข้อสงสัยใดๆ อีก มุ่งหน้าปฏิบัตินับถือตลอดไป

    ฉะนั้น ก่อนนอนจึงบูชาอ้อนวอนบอกกล่าวถึงความประสงค์ ทั้งฝ่ายพระเยซูคริสต์และพระพุทธเจ้าตามที่ตนปรารถนาไว้ เมื่อตัดสินใจเด็ดขาด ในคืนนั้นก่อนสว่างเกิดฝันเห็นพระสงฆ์สูงอายุห่มจีวรเก่าๆ มายืนเทศน์อยู่ที่หัวนอนว่า

    “ดูก่อนสีกา การที่ประสงค์จะให้พระเยซูคริสต์กับพระพุทธเจ้า มาแสดงอภินิหารหรือใช้กำลังชิงชัยต่อสู้กันนั้น ทางพระพุทธศาสนาไม่มีการสอนให้ต่อสู้ ผิดศีล ศาสนาพุทธมีแต่สอนให้มีความเมตตากรุณา สอนให้จิตใจสงบจะเกิดสุข สอนไม่ให้เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น สอนให้ละความชั่วสร้างความดี ให้ทำบุญสร้างกุศลเป็นทางละความโลภ โกรธ หลง นำไปสู่ความร่มเย็น ศาสนาพุทธมีแต่ชี้ทางให้ปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธองค์ เพื่อจะกำจัดกิเลสตัณหา ฟอกจิตใจให้บริสุทธิ์ เพื่อหลุดพ้นจากความทุกข์ มี เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์”

    รุ่งเช้า คุณพาณีได้เล่าเรื่องนี้ให้คุณแม่ฟังว่า ในฝันได้พบพระสงฆ์ในพุทธศาสนา ได้บอกถึงศาสนาพุทธไม่มีการต่อสู้มีแต่ความสงบ แต่พระเยซูคริสต์ไม่ปรากฏว่ามา

    คุณแม่บอกว่า “พระท่านมาโปรดแล้ว เป็นนิมิตที่ดีควรจะตัดสินใจเคารพนับถือพระพุทธศาสนา” และวันนั้นคุณแม่ก็นำตัวคุณพาณีไปที่วัดพระแก้ว พร้อมด้วยดอกไม้ ธูป เทียนให้ถวายตัวเป็นลูกพระแก้วมรกต เริ่มฟังธรรมและเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ได้ศึกษาธรรมและทำสมาธิจนเกิดอำนาจจิตขึ้นอย่างอัศจรรย์ นี่ข้าพเจ้าได้ย่อมาจากหนังสือและคำบอกเล่าของคุณสาย รัตนสมบัติ

    ขอเพียงยกตัวอย่างในเรื่องนี้ให้เห็นว่า พระพุทธศาสนานั้น พระพุทธเจ้าท่านเปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตากรุณา มีแต่ให้คุณไม่มีให้โทษให้ร้ายต่อใคร แต่พวกทำลายพระพุทธรูปเพื่อหาประโยชน์ใส่ตนนั้นเหมือนถูกสาป ถ้าได้มีโอกาสติดตามอย่างใกล้ชิดก็จะรู้เห็นว่าพวกนี้จะทำอะไรก็ไม่เจริญรุ่งเรือง มีแต่ตกต่ำเสื่อมทรามลง บั้นปลายของชีวิตก็พบจุดจบด้วยกรรมตามสนอง

    หากยังมีผู้ใดสงสัยในเรื่องกรรม ก็ขอให้ไปนมัสการถามพระคุณเจ้าท่านเจ้าอาวาสวัดโพธินิมิตร ฝั่งธนบุรี ท่านเจ้าคุณเจ้าอาวาสผู้ทรงคุณธรรมสูงพร้อมด้วยเมตตากรุณา คงจะประทานความรู้เรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วหลายเรื่อง และจะได้มนัสการพระพุทธรูปยืนสององค์ซึ่งอยู่บนกุฏิของท่าน เป็นต้นเรื่องที่ข้าพเจ้านำมาเล่า เมื่อรู้เรื่องของกรรมดีแล้วจะได้มีโอกาสสำรวมสติตั้งใจเป็นสมาธิ และระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ด้วยอำนาจกุศล จิตใจเราผ่องใส เกิดความร่มเย็นเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง ด้วยหลักธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้มีแต่ความสงบสุขตลอดไป

    ตัดเศียรพระกระทำชั่วชี้ให้เห็น
    ต้องรับเวรรถชนกันขวัญผวา
    ร้องโหยให้เหมือนมีไฟเผาอุรา
    ต้องทรมานกว่าจะตายกายยับเยิน
    กรรมชาตินี้ดีชั่วชี้บุญบาป
    โปรดรับทราบสร้างกุศลคนสรรเสริญ
    เดินตามรอยพระพุทธองค์คงจำเริญ
    อย่าให้เงินสูงค่ากว่าคุณธรรม


    ท.เลียงพิบูลย์


    • Update : 3/4/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch