หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    หลวงพ่อสิงห์กับปาฏิหาริย์ อมตะสังขาร-สังขารอมตะ

    หลวงพ่อสิงห์(วัดไผ่เหลือง)กับปาฏิหาริย์ อมตะสังขาร-สังขารอมตะ

    ท่องไปในแดนธรรม เรื่อง ไตรเทพ ไกรงู / ภาพ พิษณุ ศรีสวัสดิ์

               หลวงพ่อสิงห์ หรือ พระครูภาวนาวรานุศาสก์ อดีตเจ้าคณะตำบลบางม่วง และอดีตเจ้าอาวาส วัดสัจจธรรมาราม (วัดไผ่เหลือง) ซอยโรงถ่ายกันตนา ต.บางม่วง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี ถือว่าเป็นตำนานแห่ง “พระหมอดูคิวทอง” โดยที่มาของสมญานั้น เนื่องจากท่านเป็นพระหมอดู ชนิดที่เรียกว่า ต้องเข้าคิวลงชื่อจองกันข้ามปีเลยทีเดียว ๑๘ เดือน ถึงจะได้ดู

                 นอกจากนี้หลวงพ่อสิงห์ยังได้ชื่อว่าเป็นพระอาจารย์ ที่ชำนาญการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน จนมีชื่อเสียงโด่งดังข้ามประเทศ และมีกลุ่มลูกศิษย์ลูกหาที่มีชื่อเสียงในแวดวงชั้นสูงหลายคนฝากตัวเป็นลูกศิษย์ เช่น นายสันติ ภิรมย์ภักดี ผู้บริหารเบียร์สิงห์ รวมไปถึงนักกีฬาระดับโลกอย่าง วีเจย์ ซิงห์ โปรกอล์ฟชาวฟิจิ ที่เคยบินมาประเทศไทยเพื่อขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ และศึกษาวิปัสสนากับหลวงพ่อสิงห์ จนคว้าตำแหน่งโปรกอล์ฟมือหนึ่งของโลกมาแล้ว

                ตำนานแห่ง “พระหมอดูคิวทอง” ถูกปิดลงและคิวจองเพื่อดูหมออันยาวเหยียดต้องถูกยกเลิกโดยปริยาย ด้วยเหตุที่ท่านได้มรณภาพลง ด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เมื่อคืนวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๒ ที่ผ่าน สิริอายุ ๕๙ ปี ๓๕๘ วัน สร้างความเสียใจให้คณะศิษย์อย่างยิ่ง โดยลูกศิษย์ได้นำสังขารของหลวงพ่อมาบำเพ็ญกุศลที่วัดไผ่เหลือง เป็นเวลาเกือบ ๒ ปี จนกระทั่งได้มาเปิดโลงศพไม้สักของหลวงพ่อ พบว่าร่างของท่านไม่เน่าไม่เปื่อย ซึ่งน่าจะมาจากการที่ท่านได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จนเป็นที่อัศจรรย์ใจต่อผู้พบเห็น

                “เมื่อ ๓ ปีก่อนที่หลวงพ่อสิงห์จะมรณภาพ หลวงพ่อยังได้สั่งกำชับกลุ่มลูกศิษย์และคณะกรรมการวัดไว้ก่อนที่ท่านจะมรณภาพด้วยว่า หากเมื่อท่านละสังขารไปแล้ว ขอให้นำร่างท่านบรรจุใส่โลงแก้วเอาไว้ โดยไม่ต้องฉีดยาฟอร์มาลิน สังขารฉันจะไม่เหมือนครูบาอาจารย์ทั่วไป ฉันจะอธิษฐานให้ร่างกายฉันสด สังขารฉันจะอยู่ ๑๐๐ ปี เลี้ยงวัด” นี่เป็นส่วนหนึ่งของคำสั่งเสียของหลวงพ่อสิงห์จากคำบอกเล่าของพระครูสมุห์สิทธิโชค อภินันโท เจ้าอาวาสวัดไผ่เหลือง

                พร้อมกันนี้ พระครูสมุห์สิทธิโชค ยังบอกด้วยว่า เมื่อวันเสาร์ที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๔ วัดได้เปิดโลงของท่านให้ผู้ปฏิบัติธรรมได้เห็นสังขารครูบาอาจารย์ และเพื่อเป็นการพิสูจน์สิ่งหลวงสิงห์ได้ปฏิบัติและพูดไว้ก่อนมรณภาพ จากนั้นเมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๔ ได้นำสังขารของท่านออกมาทำความสะอาดเปลี่ยนจีวร พร้องทั้งย้ายสังขารทานใส่ในโลงแก้ว ก่อนที่จะเปิดให้ให้ศิษยานุศิษย์ได้กราบไหว้เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๔ ที่ผ่านมา

                ด้านนายแพทย์ประวิช ชวชลาศัย แพทย์ชำนาญการพิเศษ กระทรงยุติธรรม ซึ่งเป็นลูกศิษย์ที่ได้เดินทางมาทำความสะอาดสังขารหลวงพ่อสิงห์ก่อนที่จะบรรจุลงสู่โลงแก้ว พูดไว้อย่างน่าคิดว่า “ในส่วนของสังขารที่ถือว่าสมบูรณ์เหมือนคนตายใหม่ๆ คือส่วนของแผ่นหลัง และช่วงเอว ในด้านการแพทย์และวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องอยากที่อธิบายและยกเหตุผลเรื่องสังขารไม่เน่าเปื่อย สิ่งเดียวที่อธิบายได้ดีที่สุดตามภาษาชาวบ้านและเป็นที่ยอมรับของชาวพุทธ คือ ปาฏิหาริย์และเหตุอัศจรรย์”

     

    พลังจิตที่ได้อภิญญา

                "๑.หลวงพ่อเขียวอินทมุนี วัดหรงบน จ.นครศรีธรรมราช ๒.หลวงพ่อเจริญติสสวัณโณ วัดเขาวงกต จ.ลพบุรี ๓.หลวงพ่อพรหมถาวโร วัดช่องแค จ.นครสวรรค์ ๔.หลวงพ่อพัฒน์นารโท วัดพัฒนาราม จ.สุราษฎร์ธานี ๕.หลวงพ่อสงฆ์ จันทโร วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย จ.ชุมพร และ ๖.พระครูประภัสสรวิริยคุณ (หลวงพ่อด่วน ถามวโร) อดีตเจ้าอาวาส วัดวารีบรรพต (วัดบางนอน) ต.บางนอน อ.เมือง จ.ระนอง" นี่เป็นบางส่วของพระภิกษุหรือ พระเกจิอาจารย์ซึ่งเมื่อมรณภาพลงแล้วรูปสังขารของท่านไม่เน่าเปื่อย รวมทั้งสังขารเผาไฟไม่ไหม้

                ทั้งนี้ นายโอฬารเที่ยงธรรม ผู้เขียนและพิมพ์หนังสือ "ธรรมะใส่สูตร" ซึ่งเป็นงานเขียนที่พยายามเชื่อมโยงพุทธศาสตร์กับวิทยาศาสตร์เข้าหากัน บอกว่าหากจะอธิบายเรื่องนี้ในทางวิทยาศาสตร์มีคำอธิบายหรือไม่ก็คงต้องบอกว่า ถ้าจะอธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์ ๑๐๐% คงทำไม่ได้ แต่ในทางจิตวิญญาณ คือ พลังจิตที่ได้อภิญญานั้น สามารถอธิบายในเรื่องนี้ได้ หลายคนคงเคยเห็นการลุยไฟมาบ้างแล้ว การลุยไฟที่เป็นไปได้ โดยผู้เดินลุยไฟจะรู้สึกว่ามีความร้อนบ้างเล็กน้อยเหมือนเดินเท้าเปล่ากลางแดดนั้น ก็เนื่องจากองค์เทพ หรือเจ้าที่ประทับร่างทรงในพิธีลุยไฟ และเทพองค์อื่นๆ ที่มาร่วมในพิธีนั้น ใช้พลังจิตอภิญญาสร้างให้เสมือนมีสายน้ำบ้าง หรือเสมือนมีฉนวนบ้าง กั้นระหว่างถ่านกองไฟที่ลุกแดงกับเท้าผู้เดินลุยไฟ แต่เป็นสายน้ำและฉนวนที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ซึ่งมีคุณสมบัติเหมือนฉนวนทางวิทยาศาสตร์ จึงทำให้การเดินลุยไฟเป็นไปได้

                “ฉนวนที่เกิดจากพลังอภิญญานี้ ก็ถูกสร้างให้มีความหนาบาง เหมือนฉนวนทางวิทยาศาสตร์เหมือนกัน สมมติว่า ฉนวนทางอภิญญานี้ มีความหนาประมาณ ๑ นิ้ว (แต่มองไม่เห็น) ซึ่งก็จะหนาพอที่จะห่อหุ้มร่างของท่าน และจีวรที่ท่านห่มส่วนใหญ่ไว้ได้ แต่อาจมีจีวรบางส่วนห้อยย้อยหรือห่างจากร่างของท่านเกิน ๑ นิ้ว จีวรส่วนที่เลยออกมานี้ก็ไม่อยู่ในข่ายที่จะได้รับการป้องกันจีวรบางส่วนจึงไหม้ไฟไปได้ ก็คงสรุปได้ว่าจิตของมนุษย์หรือเทพก็ตาม ที่มีอภิญญานั้น สามารถสร้างสิ่งที่คนทั่วไปมองว่าเป็นปาฏิหาริย์ หรือความมหัศจรรย์ได้มากมาย" นายโอฬารกล่าว


    • Update : 2/9/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch