เมื่อไม่ได้รับการต้อนรับ พระพุทธเจ้าเสด็จจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง จากวัดหนึ่งไปสู่อีกวัดหนึ่ง โดยไม่ได้รับการต้อนรับจากผู้ใดเลย พระบางรูปและอุบาสกบางคนรู้สึกไม่ชอบพระองค์ เพราะทรงเรียบง่ายและดูซอมซ่อจนเกินไป มีเพียงบาตรสะพายอยู่เบื้องหลัง ไม่เหมือนพระบางพวกที่ครองจีวรไหมและอื่นๆ พวกพุทธศาสนิกชนก็ไม่
ขณะเดียวกัน บาทหลวงคริสเตียนได้พบพระองค์และปฏิบัติกับพระองค์ด้วยเมตตา ด้วยคิดว่าพระองค์เป็นพระที่ดี เป็นผู้ทรงศีล มีเพียงบาทหลวงคริสเตียนเท่านั้นที่เห็นพระพุทธองค์มีค่า พระพุทธองค์เสด็จสัญจรจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ขณะเดียวกันมีอุบาสกผู้มีความรู้ท่านหนึ่งติดตามพระองค์ไปตลอด ดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับพระพุทธองค์บ้าง ในที่สุด คืนนั้นอุบาสกได้เข้ามาใกล้พระพุทธเจ้ากราบทูลว่า “พระคุณเจ้าขอรับ ท่านไม่ได้รับการต้อนรับเลยสักแห่งเดียวไม่ว่าจะเป็นวัดหรืออุบาสก เพราะท่านไม่ได้เป็นพวกเดียวกับเขา
เท่าที่ดูจากท่าทางและลักษณะของท่าน ผมสงสัยว่าท่านน่าจะเป็นพระในแบบโบราณ ผมขออนุญาตถามท่านได้ไหมว่าท่านอายุเท่าไหร่” “นับแต่วันเกิดของเราจนถึงปัจจุบัน ถ้านับกันจริงๆ น่าจะมากกว่าสองพันห้าร้อยปี” พระพุทธองค์ตรัสตอบ ชายผู้นั้นตระหนักว่าพระภิกษุตรงหน้าคือ พระพุทธเจ้า เขาทูลถามว่า “ท่านคือพระพุทธเจ้าใช่ไหม” “ใช่ เราคือพระพุทธเจ้า” “ดูสิ พระองค์คือพระพุทธเจ้า
ถึงแม้พวกเขาจะเคารพพระองค์สร้างรูปเหมือนของพระองค์ แต่ในชีวิตของพระองค์ เมื่อพระองค์ไปหาพวกเขา พวกเขากลับไม่ต้อนรับพระองค์ นี่คือสภาพการณ์ของพระพุทธศาสนาในประเทศศรีลังกาในปัจจุบัน ขอได้โปรดรับนิมนต์ของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จักจัดหาที่พักและทุกสิ่งที่พระองค์จำเป็นต้องใช้สอย”
ทั้งหมดนี้คือเรื่องเล่า ถ้าพระพุทธองค์เสด็จมาจริงๆ ในวันนี้ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น โชคดีที่ท่านจะไม่เสด็จมา เพราะมันคือเรื่องเล่า (คัดจากหนังสือมนต์ขลังลังกา โดยพนิตา อังจันทรเพ็ญ) สถานการณ์ในเมืองไทยของเราเวลานี้ ก็คงไม่ต่างไปจากศรีลังกาในขณะนั้น ที่มีการป้ายสีกันและกันให้เป็นฝักฝ่าย หรือบางทีก็ก้าวไกลจนมองเห็นเป็นภูตผีปีศาจ กระทั่งเราไม่สามารถที่จะมองเห็น “ความเป็นคน” ของคนที่อยู่ตรงหน้าได้
เมืองไทยแม้จะเป็นเมืองพระ เมืองพุทธ แต่ก็ไม่มีใครสนใจจะใฝ่ฟังธรรมะ หรือต่อให้พระพุทธองค์เสด็จมาเป็นคนกลางก็คงจะถูกปฏิเสธ คนเรานั้น พอเลือกที่จะหลับหูหลับตาจนไม่เหลือพื้นที่ให้กับสามัญสำนึกพื้นฐานที่พึงมีต่อเพื่อนมนุษย์เสียแล้ว ก็จะตกเป็นทาสของการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ป้ายสี เกลียดชัง และอยากให้ฝ่ายตรงข้ามหายนะให้ถึงที่สุด
และอาการสุดท้ายของโรคแบ่งฝ่ายก็คือ การมองเห็นคนไม่ใช่คน หากแต่เห็นคนเป็น “สัตว์ (มิคสัญญี)” พอการเมืองทำให้คนป่วยถึงขั้นนี้เมื่อไหร่ ก็ให้ระวังไว้เลยว่า สงครามกลางเมืองกำลังจะตามมา