“ถ้าหากว่าความเข้าใจในธรรมะที่ข้าพเจ้าศึกษาปฏิบัติมานั้นถูกต้อง พูดออกไปแล้วเป็นประโยชน์ก็ขอให้ข้าพเจ้าหายป่วยได้โดยลำดับ แต่ถ้าหากว่าธรรมที่เข้าใจนั้นผิด ไม่เป็นประโยชน์ ก็ขอให้ตายไปเลย” ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นคำอธิษฐานต่อพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ของ "น.ส.วิมล บุญยง" เมื่อครั้งเข้ารักษามะเร็งปอด ทั้งนี้เธอได้ใช้สิทธิประกันสังคมรักษาในโรงพยาบาล รับยาเคมีบำบัด ๑๘ ครั้ง เสร็จแล้วจึงใช้การกินผักกินหญ้า ดื่มน้ำใบย่านาง การทำดีท็อกซ์ กินวิตามินเสริม ฯลฯ ดูแลฟื้นฟูสุขภาพตามแบบฉบับแพทย์แผนทางเลือก ซึ่งกำลังเป็นที่นิยม
หลังจากหายป่วยจากโรคมะเร็งเธอได้ละชีวิตทางโลกเข้าสู่ทางธรรมโดยได้เดินทางไปบวชสายเถรวาท ที่วัดศรีตุสิตารามายา ประเทศศรีลังกา บวชเป็นภิกษุณี โดยพระภิกษุณีอุปัชฌาย์ ท่านสัทธา สุมนาซึ่งเป็นองค์เดียวกับที่บวชให้หลวงแม่ ดร.ฉัตรสุมาลย์ กับภิกษุณีและสามเณรีชาวไทยท่านอื่นๆ ได้รับฉายาว่า "ภิกษุณีสุโพธา" หรือ “หลวงพี่ป๊อบ” โดยในพรรษานี้ท่าน จำพรรษาอยู่ที่วัตรทรงธรรมกัลยาณีภิกษุณีอาราม
หลวงพี่ป๊อบ บอกว่า เมื่อ ๒ ปี ก่อน หลวงพี่เคยป่วยหนัก การป่วยทำให้มีความคิดดีๆ หลายเรื่อง เช่นว่า ไม่รักษาก็ตาย ถึงแม้รักษาหายหรือไม่หายก็ต้องตายอยู่ดี เราไม่ได้รักษาเพื่อจะไม่ตาย แต่เรารักษาโรคเพื่อที่จะยืดชีวิตไปอีกสักหน่อย เพื่อเอาเวลาที่ยืดออกไปได้นั้นใช้ทำประโยชนตน ทำประโยชน์โลก ทำให้แจ้งเรื่องที่ยังไม่แจ้ง ทำเรื่องที่ยังไม่บรรลุให้บรรลุ
ก่อนที่จะเป็นมะเร็งปอด เคยป่วยด้วยมะเร็งเต้านมถึง ๒ ครั้ง เมื่อ ๖ ปีก่อน โดยในการผ่าตัดรักษามะเร็งเต้านม ทำให้เส้นประสาทบางส่วนถูกตัดออกไป ทำให้เกิดความเจ็บแสบมากเหนือแผล ขณะนั้นเกือบจะใส่เสื้อไม่ได้ ขนาดที่ว่าผ้าเบาๆ วางบนผิวหนังยิ่งเจ็บแสบมาก ในครั้งนั้นรู้สึกสิ้นหวังกับแพทย์แผนปัจจุบัน แม้แพทย์แผนทางเลือกคงไม่ไหว จึงแสวงหาหนทางการรักษาแบบใหม่ๆ โดยการกลับเข่าไปหาวิถีโบราณที่สุด
วิธีที่ใช้ คือ เดินธุดงค์ออกกำลังกาย ๑๕ กิโลเมตร จากห้วยขาแข้งมาที่วัดป่าเลไลยก์ จ.นครสวรรค์ ทั้งนี้ได้อธิษฐานจิตต่อหน้าพระพุทธรูปปางลีลาองค์ใหญ่ว่า “หลวงพ่อช่วยให้หายโดยปาฏิหาริย์หน่อยนะ จะไม่ขอหรอกว่าให้หายภายใน ๓ วัน ๗ วัน แต่ขอให้หายโดยปาฏิหาริย์เถิด โดยระหว่างทางจะสวดคาถาชินบัญชร ๑๐๘ จบ
“ปาฏิหาริย์มีอยู่จริงๆ หลังจากสิ้นสุดการเดินธุดงค์ คืนนั้นกลับไปนอนและพบว่า อาการเจ็บป่วยลดลงประมาณ ๕๐% วันต่อมาอาการเจ็บป่วยลดลงเหลือประมาณ ๑๐% วันต่อมาไม่มีอาการเจ็บเหลืออยู่เลย” นี่เป็นคำยืนยันของหลวงพี่ป๊อบ
พร้อมกันนี้ หลวงพี่ป๊อบยังบอกด้วยว่า การป่วยหนักๆ ทำให้ได้มุมในความคิดใหม่ๆ เกิดขึ้นเสมอ หลวงพี่เห็นความจริงข้อหนึ่งอย่างประจักษ์ใจก็คือ ถึงรักษาก็ยังต้องตายอยู่ดี ดังนั้น เมื่อรักษาก็ตาย ไม่รักษาก็ตาย แต่หลวงพี่เลือกที่จะรักษา เพื่อยืดชีวิตออกไปอีกสักหน่อย แล้วเอาช่วงเวลาที่ยืดออกไปนั้น มาทำประโยชน์ตน ประโยชน์โลกในเรื่องการทำที่สิ้นสุดแห่งกองทุกข์เรื่องเดียวเท่านั้น ไม่มีเรื่องอื่นโลกียสุขใดๆ ในโลก ก็ไม่คุ้มเลยที่จะต้องแลกด้วยการเจ็บไข้ได้ป่วย
“การศึกษาและปฏิบัติธรรมที่เราๆ ท่านๆ ทำกัน ก็ล้วนแต่มีเป้าหมายในการทำที่สิ้นสุดแห่งกองทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น การอ้าแขนรับความตายอย่างคนที่ถึงพร้อมกับการตาย ด้วยหัวใจที่มีปกติของความกล้าหาญ อาการทางกายที่สาหัสครั้งนี้ หลายคนชมว่าหลวงพี่ใจแข็ง หลวงพี่กลับรู้สึกว่าเปล่าเลย ใจไม่ได้แข็ง และใจก็ไม่ได้อ่อนด้วย แค่ใจที่เป็นกลางๆ ซึ่งเกิดจากความเข้าใจเท่านั้นเอง เมื่อเราเข้าใจแล้ว เราก็ไม่ต้องทำใจ แต่กว่าจะเข้าใจได้ อาจต้องผ่านการทำใจมานับครั้งไม่ถ้วน” หลวงพี่ป๊อบกล่าวทิ้งท้าย
สำหรับผู้อ่านที่สนใจวิถีชีวิต วิธีคิด รวมทั้งธรรมะพิชิตโรคมะเร็งในแบบหลวงพี่ป๊อบนั้น ท่านได้รวบรวมเป็นหนังสือ "ธรรมะ ๑๘+" ซึ่งท่านได้เขียนขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๓ ระหว่างรักษาตัวจากโรคมะเร็งครั้งที่ ๓ แม้ว่าจะไม่อยู่ในภาวะเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งก็ตาม จากนั้นท่านได้ใช้ทุนส่วนตัวพิมพ์หนังสือเพื่อแจกเป็นธรรมทาน ดังคำที่ว่า "เรารักษาโรคเพื่อที่จะยืดชีวิตไปอีกสักหน่อย เพื่อเอาเวลาที่ยืดออกไปได้นั้นใช้ทำประโยชน์ตน ทำประโยชน์โลก ทำให้แจ้งเรื่องที่ยังไม่แจ้ง ทำเรื่องที่ยังไม่บรรลุให้บรรลุ" ทั้งนี้สามารถขอรับหนังสือฟรีได้ที่ วัตรทรงธรรมกัลยาณี ภิกษุณีอาราม ต.พระประโทน อ.เมือง จ.นครปฐม โทร.๐๘-๙๗๙๗-๔๓๕๘ และ ๐๘-๒๑๓๖-๒๘๕๔
แพทย์แผนทางรอด
หลวงพี่ป๊อบ บอกว่า มีผู้ป่วยโรคมะเร็งโทรศัพท์มาคุยกับหลวงพี่บ่อยมากขึ้น ทั้งนี้จะให้คำแนะนำเปรียบเทียบข้อมูล ข้อเด่นข้อด้อยของวิธีแพทย์ทางเลือกซึ่งมักเป็นแนวธรรมชาติบำบัด และแพทย์แผนปัจจุบัน คือ การให้คีโมฉายแสง ซึ่งหลวงพี่ผ่านมาแล้วทั้ง ๒ แบบ ทั้งนี้จะไม่เชียร์วิธีใดทั้งสิ้นแต่จะแนะนำให้ผู้ป่วยเลือกวิธีที่ตนเองศรัทธา อย่าเลือกวิธีที่ญาติศรัทธา เพราะมีผลต่อการรักษามาก ทรมานใจผู้ป่วยเปล่าๆ หากศรัทธาทั้ง ๒ แบบ ก็สามารถผสมผสานให้ลงตัวได้ไม่ผิดอะไร
ทั้งนี้หากคิดในมุมบวก การเจ็บไข้ได้ป่วยทำให้มีแนวคิดใหม่เพิ่มขึ้น สามารถตอกย้ำธรรมที่รู้แล้วให้แจ้งให้ชัดแก่ใจมากขึ้นอีก โชคดีที่ป่วย โชคดียิ่งว่านั้น คือ ก่อนป่วยเราได้ศึกษา และปฏิบัติธรรมมามากพอเป็นที่เบาใจกับอันตรายในวัฏฏสงสาร พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องการดับทุกข์แบบแพทย์แผนทางรอด ใครถึงธรรมก็รอดพ้นบวงมาร แพทย์แผนทางรอดของพระพุทธเจ้าเหนือกว่าแพทย์แผนไหนๆ ในโลก
หลวงพี่ป๊อบ พูดทิ้งท้ายไว้อย่างน่าคิดว่า “พระพุทธเจ้าท่านสอน เปรียบไปก็เหมือนแพทย์แผนทางรอดของมนุษยชาติ ที่ช่วยให้รอดได้จริงในชาตินี้ ไม่ต้องรอชาติหน้า การจะรอดจากการแก่เจ็บตายได้นั้น มีทางเดียว คือต้องไม่เกิด ไม่ว่าจะเจ็บไข้ด้วยโรคอะไร โรคทางกายหรือโรคทางใจ ใครจะเลือกใช้การบำบัดด้วยวิธีใดก็ตาม อย่าได้ลืมแพทย์แผนทางรอดของพระพุทธเจ้าเป็นทางบำบัดควบคู่ไปด้วยเสมอ จะเลือกวิธีไหนในการรักษาก็ได้ เพราะวิธีไหนเราก็ตายทั้งนั้น ช้าเร็วก็ไม่รู้หรอก อยู่ที่ว่าเราจะตายอย่างไรต่างหาก ช่วงที่ชีวิตยังทำอะไรๆ ได้อยู่ นั่นคือช่วงสำคัญที่สุดในชีวิต ช่วงเวลาแห่งการตาย ไม่ต้องพยายามไปทำสงบ หรือเข้าไปจัดการอะไรกับวิญญาณเลย เพราะมันจะจัดการตัวมันเอง ตามเหตุที่ทำไว้ในยามมีชวิต”