โครงการ "เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่น" จัดโดย บมจ.ซีพี ออลล์ ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาแล้ว 15 ปี เพื่อเผยแผ่พระธรรมคำสอนพระพุทธศาสนา ให้กับประชาชนที่อยู่ละแวกใกล้เคียงและพนักงานที่สนใจเข้าร่วมฟัง เน้นการนั่งสมาธิ สวดมนต์ ฟังธรรมะ ล่าสุดได้นิมนต์ พระรักเกียรติ รักขิตะธัมโม (รักเกียรติ สุขธนะ) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จากวัดใหม่สุขธนะ ศรีนคราราม จ.อุดรธานี มาให้ข้อคิดในการดำเนินชีวิต
หัวข้อที่ได้ยกมากล่าวในครั้งนี้คือ "ความไม่ประมาทของชีวิต" ซึ่ง "พระรักเกียรติ" ได้ยกตัวอย่าง การดำเนินชีวิตของตัวเอง เป็นอุทาหรณ์ให้ผู้เข้าร่วมฟังธรรมะในวันนั้น โดยสอดแทรกด้วยอารมณ์ขัน และความรู้ทางด้านการเมืองไปในตัว "พระรักเกียรติเป็นบุคคลที่ใช้ชีวิต ใน 3 แบบ 3 โลก คือ เป็นนักการเมือง, เป็นนักโทษ และเป็นนักบวช"
ช่วงชีวิตในการเป็นนักการเมือง พระรักเกียรติ เป็นนักการเมืองหน้าใหม่ไฟแรง จนได้รับขนานนามว่า "ช้างขาวชาวอุดร" ด้วยความเป็นนักการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งอย่างต่อเนื่องมาหลายสมัยและอายุยังไม่มากนัก ในช่วงนั้นพระรักเกียรติใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยความอยากได้ อยากมี อยากเหมือนคนอื่น หลงใหลในสิ่งที่ผิดพลาด ไม่ว่าจะอำนาจ การเงิน รวมไปถึงการติดการพนัน ด้วยความที่เห็นว่า ทุกสิ่งดูสะดวกสบายไปเสียหมด จนเกิดความหลงผิดคิดว่าเป็นความสุขที่แท้จริง จากที่ไม่เคยมีกลับกลายเป็นมีมากเหลือล้น จากสิ่งที่ยากกลับกลายเป็นสิ่งที่ง่ายดาย มีเพื่อนฝูงบริวารห้อมล้อม มีทั้งอำนาจเงินและอำนาจทางการเมือง จึงยิ่งทำให้เกิดความลำพอง และอยากมีมากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถูกกิเลสชักนำให้เข้าสู่การกระทำผิดกฎหมาย ทุจริต ท้ายที่สุดจึงต้องถูกดำเนินคดี และถูกจำคุกในฐานะนักโทษทางการเมือง
ถูกตัดสินโทษให้จำคุก พระรักเกียรติได้หลบหนีคดีเป็นเวลา 1 ปี โดยเล่าว่า ชีวิตในช่วงนี้ คือช่วงที่เป็นทุกข์ที่สุด จากที่เคยมีบริวารมิตรสหายรอบกาย กลายเป็นคนที่ไม่มีเพื่อน ทุกข์จากความลำบากในการปรับตัว จากที่เคยมีเงินทองล้นหลามกลับต้องมาใช้เงินในจำนวนจำกัดที่น้อยนิดต่อวัน ทุกข์ที่อยู่อย่างทรมานและความหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา ทุกข์เพราะกลัวว่า เมื่อไรจะถูกจับตัวไปดำเนินคดี มองไปทางใดมีแต่ความทุกข์รายล้อมรอบกาย และท้ายที่สุด ก็ถูกจับตัวมาดำเนินคดี
"วันที่ถูกจับกุมตัวนั้น อาตมากลับมีความสุขและโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะรู้สึกว่าไม่ต้องหนีอีกต่อไป เหมือนได้พ้นทุกข์ไปในระดับหนึ่ง ช่วงชีวิตที่อยู่ในคุก แรกๆ เกิดทุกข์ที่จะต้องใช้ชีวิตโดยที่ไม่ให้ตนเองตาย เหตุเพราะมีโรคประจำตัว หวั่นจะต้องมาตายเอาเสียในคุก จึงต้องทำทุกอย่างที่ไม่ให้ตนเองป่วย โดยการออกกำลังกายเป็นประจำ การนอนหลับให้เพียงพอ ควบคุมการรับประทานอาหาร"
เมื่อถูกจองจำในห้องขังคือ "ทำอย่างไรไม่ให้ตนเองบ้า เพราะความกดดันในคุกนั้นเป็นทุกข์ที่แสนสาหัส"
ด้วยเหตุนี้ทำให้หันหน้าเข้าพึ่งพาพระพุทธศาสนาในการเยียวยาสภาพทางจิตใจ "อาตมาศึกษาธรรมในคุก ที่นี่มีสอนทั้งปริยัติและปฏิบัติ ฝึกนั่งวิปัสสนาทุกวัน จนได้มองย้อนถึงเรื่องราวในอดีตของตนเอง ซึ่งเหตุแห่งทุกข์ในครั้งนี้คือ การใช้ชีวิตอย่างประมาทนั่นเอง
ครั้นเมื่อได้รับการลดหย่อนจนครบกำหนดพ้นโทษ พระรักเกียรติ จึงตัดสินใจบวชเพื่อหันหน้าเข้าสู่พระธรรมอย่างแท้จริงและออกบรรยายธรรมะ โดยยกตัวอย่างการดำเนินชีวิตของตนเองเป็นอุทาหรณ์ให้กับพุทธศาสนิกชนทั่วไป
ท้ายสุด พระรักเกียรติได้สรุปคำสอนไว้ว่า "คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เป็นของดี ของวิเศษ เป็นธรรมที่สามารถเปลี่ยนความทุกข์ให้เป็นความสุขได้ เป็นธรรมที่รักษาทุกข์ในจิตใจของท่านได้ และจงจำไว้เสมอว่า อย่าหลงใหล อย่าทำตามใจกิเลส หากเราใช้ชีวิตด้วยความประมาท ท่านจะไปสู่ทางแห่งความทุกข์และจมดิ่งในนรกก็เป็นได้
เป็นข้อคิดที่มีคุณค่าสำหรับทุกคน