|
|
เที่ยวทั่วไทย-ถ้ำแก้วโกมล
ถ้ำแก้วโกมล
ถ้ำแก้วโกมล หรือ ชื่อเดิม “ถ้ำผลึกแคลไซด์แม่ลาน้อย” ตั้งอยู่บริเวณเขาดอยถ้ำ หมู่ที่ ๑๔ บ้านห้วยมะไฟ ตำบล/อำเภอ แม่ลาน้อย จ.แม่ฮ่องสอน การเดินทางไปถ้ำนี้ไปได้ ๒ เส้นทาง คือเส้นทางที่จะตรงไปยัง อ.แม่ลาน้อยเลย หรือ อ้อมไป แต่ได้ไปเที่ยว อ.แม่แจ่ม ของ จ .เชียงใหม่เสียก่อน แล้วหากเป็นเทศกาลทุ่งบัวตองบานคือประมาณเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงเดือนธันวาคมไปเส้นที่ ๒ นี้ก็ยังจะได้ไปเที่ยวทุ่งบัวตองระหว่างทางที่ไปยัง อ.ขุนยวม และทุ่งบัวตองที่กว้างใหญ่ที่สุดในประเทศไทย คือทุ่งบัวตอง ดอยแม่อูคอ
เส้นทางที่ ๑ เดินทางจากเชียงใหม่ ไปผ่านอ.หางดง สันป่าตอง จอมทอง ฮอด ผ่าน อช.ออบหลวง ผ่าน อ.แม่สะเรียง จ. แม่ฮ่องสอน ไปอีก ๓๐ กม.ก็จะถึงอ.แม่ลาน้อย วิ่งผ่านโรงพยาบาลแล้วเลี้ยวขวาไปอีกประมาณ ๕ กม. ( ตามป้ายไป ) ก็จะถึงลานจอดรถของศูนย์ อำนวยการท่องเที่ยว วนอุทยานถ้ำแก้วโกมล ซึ่งทาง อบต.จัดตั้งเพื่อบริการนักท่องเที่ยว เมื่อเอารถไป รถทุกคันจะต้องจอดไว้ที่ลานจอดรถ แล้วไปซื้อบัตรราคาคนละ ๔๐ บาท ทางศูนย์จะจัดรถ ๒ แถว ไว้บริการหลายคัน ขึ้นคันไหนก็ได้ทั้งไปและกลับ รถ ๒ แถวจะพาวิ่งไปอีกประมาณ ๑.๕ กม.จะถึงที่พักคอยเพื่อเข้าชมถ้ำ ทางตอนนี้จะแคบและชันมาก จึงไม่ให้รถส่วนตัววิ่งขึ้นไปถึงปากถ้ำ เพราะจะมีปัญหาเรื่องที่จอดรถด้วย จึงให้จอดรถไว้และไปรถ ๒ แถว และเป็นการหารายได้ เข้า อบต.ด้วย เที่ยวกลับคุยกับคนขับรถ ๒ แถวบอกว่า ๔๐ บาท แบ่งให้รถ หัวละ ๑๓ บาท ใช้วิธีนับว่าวันนี้มีคนมาซื้อบัตรกี่คน ได้เท่าไร คูณด้วย ๑๓ เอาจำนวนรถหาร เป็นส่วนแบ่งของรถแต่ละคันที่มาบริการในวันนั้น ส่วนที่เหลือ แบ่งให้ อบต. ๑๐ บาท แบ่งให้กรมป่าไม้ ๑๐ บาท ชาวบ้านที่มาทำงานได้ส่วนแบ่งที่เหลือ เมื่อรถ ๒ แถวพาไปถึงศาลาพักคอยแล้ว ( มีห้องสุขา และ เครื่องดื่ม รูปภาพ จำหน่ายในถ้ำห้ามถ่ายรูป ) ก็ต้องนั่งคอย เข้าตามคิว แต่ละรอบจะจัดให้เข้าถ้ำได้เพียงกลุ่มละ ๒๐ คน เพราะมากกว่านี้เกรงว่าอากาศจะไม่พอหายใจ แต่ละกลุ่มจะมีเวลาชมถ้ำประมาณ ๒๐ นาที เท่านั้น ถ้ำลึกในทางดิ่ง ๓๐ เมตร ยาวตลอด ๑๒๐ เมตร เข้า ออกทางเดียวกัน ในถ้ำตามไฟฟ้าไว้ ให้ความสว่างพอเพียง ไม่ต้องเอาไฟฉายลงไป แต่ละกลุ่มจะมีไกด์ของ อบต.นำทางลงไป และไกด์จะขึ้นปิดท้าย ในถ้ำสวยสุดบรรยาย เดี๋ยวผมจะพยายามเล่าให้ฟัง
เส้นทางที่ ๒ มาจาก อ.แม่แจ่ม คือเส้นทางที่ผมวิ่งไปในคราวนี้ ขอทบทวนเส้นทางไปแม่แจ่มของผมไว้อีกที เพราะไม่ช้าแม่แจ่มจะเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวแห่กันไป เพราะ อำเภอปายที่เคยเงียบสงบ มีธรรมชาติ เป็นเสน่ห์ดึงดูดให้คนพากันไปเที่ยว พวกนำเที่ยวพวกแรกคือฝรั่ง ที่เขาชอบบรรยากาศที่เงียบสงบ ที่พักดี อากาศเยี่ยม หนาวทั้งปี มีธรรมชาติที่เป็นสถานที่น่าเที่ยวหลายแห่ง แต่ปายวันนี้มีที่พักในแบบของรีสอร์ทหลายสิบแห่ง คงมากเป็นร้อยแล้ว ปายคงมีถนนแคบๆเช่นเดียวกับแม่แจ่ม แต่ปายรถติดในวันหยุดหรือในวันเทศกาล เช่นไปตอนลอยกระทง ปีใหม่ หรือสงกรานต์ หรือมีวันหยุดยาว รถจะติด และหากใครจะไปปายเตรียมการให้ดีๆปั๊มจะมีน้ำมันไม่พอขาย ( แม่แจ่มก็มีปั๊ม ปตท.อยู่ปั๊มเดียว เผื่อเหนียว เติมน้ำมันเสียให้เต็มเมื่อผ่าน อ.ฮอด เมื่อปายกลายเป็นเมืองรถติด เมืองที่ต้องแย่งที่นั่งในร้านอาหารที่ชวนชิมเอาไว้ นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวกรุงเทพฯก็ต้องคิดแล้วว่าเราจะมาทำไม อยู่กรุงเทพฯรถติดยังไม่สะใจอีกหรือ ยิ่งมาเจอน้ำมันที่ปั๊มหมดไม่มีน้ำมันขาย ต้องพักต่อซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าจะมีที่พักให้พักต่อได้หรือไม่ ฝรั่งหนีปายแล้ว เริ่มหนีมาแม่แจ่ม มาน่าน ซึ่งก็มีที่พักดี เงียบสงบ ธรรมชาติสวย
ผมไปแม่แจ่ม จากกรุงเทพฯ ผ่านอยุธยา สิงห์บุรี นครสวรรค์ กำแพงเพชร ตาก พอถึง อำเภอเถิน จะไปต่อก็จะมืดกลางทาง เดี๋ยวนี้ขับรถกลางคืนตาผมสู้ไม่ไหว พักนอนเสียที่เถิน ๑ คืน ได้ดื่มน้ำส้มเกลี้ยงสด และมีอาหารดี ไม่แพง รุ่งขึ้นจากเถิน ข้ามเขาไป อ.ลี้ ( จ.ลำพูน ) ไปอ.ดอยเต่า ( จ.เชียงใหม่ ) อ.ฮอด ผ่าน อช.ออบหลวงและเลี้ยวขวาไป แม่แจ่มถนนสาย๑๐๘๘ พักนอน พักเที่ยวที่แม่แจ่ม ๒ คืน ทีนี้เดินทางต่อ
จากรีสอร์ทที่พัก วิ่งตรงไปยังเทศบาลแม่แจ่ม แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าเมืองพอถึงหน้าอำเภอ เลี้ยวขวาตามป้าย”ขุนยวม “ ไปอีก ๙๘ กม.จะผ่าน ธ.กสิกร และโรงแรมแม่แจ่ม ถนนจากแม่แจ่มไปขุนยวม ในช่วงแรกนี้คือถนนสายที่มาจากออบหลวง สาย ๑๐๘๘ ซึ่งจะยาวไปจนถึง ต.แม่นาจร อ.แม่แจ่ม ถนนได้พัฒนาปรับปรุงอย่างดีตั้งแต่ แม่แจ่ม ( กม.๔๕ ) ไปจนถึง กม.๖๖ จึงสิ้นสุดถนนที่ปรับปรุงใหม่ ต่อจากนั้นก็จะค่อนข้างแคบ แต่ก็ยังเป็นถนนลาดยาง เส้นทางนี้ธรรมชาติสองข้างทางสวยมาก ไม่ว่าจะเป็นภูเขา ทุ่งหญ้า ท้องนา นาขั้นบันได และที่สำคัญคือในฤดูบัวตองบาน หลายท้องที่จะเป็นทุ่งบัวตอง มีทั้ง ๒ ข้างทางและ ทุ่งที่บานสะพรั่ง แม้จะไม่ใหญ่แบบแม่อูคอ แต่ก็งดงาม เช่นที่ปางอุ๋ง ( ชื่อเดียวกันกับปางอุ๋งที่แม่ฮ่องสอน )
สังเกตว่าฝรั่งเริ่มผ่านมาเที่ยวทางนี้กันคงจะมากพอสมควร เพราะพอถึงแม่นาจร หรือจวนจะถึง แม่นาจร จะมีป้ายยกไว้ว่า เช่น” บ้านกาแฟ แม่นาจร “ หรือ “ Hot Coffee – Cold Drink Breakfast Bed & Breakfast” เรียกว่าร้านนี้มีที่พัก มีอาหารเช้า มีกาแฟขายและยังมีอีกหลายร้านในตำบลแม่นาจร ตำบลนี้เป็นตำบลใหญ่ บ้านหลังโตๆ บ้านที่สร้างด้วยไม้ใช้ซุงทั้งต้นทำเป็นเสาเรือน
จาก ต.แม่นาจร – โครงการหลวงปางอุ๋ง ๔๐ กม. มีป้ายยกไว้ข้างทางว่า “ล่องแพ ไม้ไผ่ “ ถนนจากแม่นาจรเหนือคือถนนสาย ๑๒๖๓ เชื่อมกับถนนสาย ๑๐๘๘ จากออบหลวง เป็นถนนที่ขยายกว้างแล้ว แต่ขยายแค่ กม.๖ ก็กลับแคบใหม่ ยิ่งใกล้ทางแยกไปดอยแม่อูคอ ดอกบัวตองสองข้างทางยิ่งบานสพรั่ง แต่อย่าลืมว่าจะชมบัวตองต้องไปในกลางเดือน พฤศจิกายน จนถึง ต้นเดือนธันวาคม ได้ชมบัวตองเต็มท้องทุ่งแน่นอน หากต้นเดือนพฤศจิกายนอาจจะไม่บานสะพรั่งเต็มท้องทุ่ง พอปลายธันวาคมทุ่งบัวตองบางส่วนก็จะเริ่มกลายเป็นดอกสีดำไปบ้างแล้ว ต้องกลางเดือน กับต้นเดือนแน่นอนได้ชมบัวตองงามสมใจ
เมื่อผ่านบ้านปางเกี๊ยะ จะมีแผงขายผลไม้ จากโครงการหลวง คือ องุ่นดำไร้เมล็ด อโวคาโด และคงจะมีผลไม้ตามฤดูกาล วันที่ผ่านมามี ๓ อย่างเท่านั้น อีก อย่างคือ ผลไม้ที่ไม่รู้จักและไม่เคยเห็นมาก่อนเลย คือ “ เคพกูสเบอรี่ “หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า “โทงเทงฝรั่ง “ ผมไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ซื้อกลับมาเอามาให้แม่บ้านชาวอีสานดู เขาบอกว่าบ้านเขามีแยะแต่ไม่ได้เรียกเป็นภาษาฝรั่ง ต้นโตเท่ามะเขือเทศสีดา ที่ซื้อมาเขาแพคใส่กล่องเอาไว้ กล่องละ ๕๐ บาท ลูกเหมือนมะขามเทศ ผิวเรียบเป็นมัน เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑ นิ้ว รสจะหวานอมเปรี้ยวนิดๆกลับมาบ้านมาค้นหนังสือดูจึงรู้ว่าเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมาก สามารถนำมาทำเป็นแยม ซอส ไอศกรีม ฯหรือกินเป็นสลัดผลไม้ ทำน้ำปั่นก็ได้ ริเริ่มปลูกและปรับปรุงสายพันธ์มาจาก ฝ่ายพัฒนาเกษตรที่สูงแม่โจ้ แล้วนำมาปลูกตามพื้นที่ มูลนิธิโครงการหลวง กลับมาถามพรรคพวกเพื่อนฝูงดู ไม่มีใครรู้จัก ผมเลยกลายเป็นคนนำสมัยไป แต่แพ้ยายแม่บ้านที่เขารู้จักมานานแล้ว
บ้านปางอุ๋ง นอกจากจะมีทุ่งบัวตองแล้ว ยังมีพระธาตุดอยปางอุ๋ง ปากทางเข้าวัดมีทุ่งบัวตองกำลังบานสพรั่ง โครงการหลวงอยู่ระหว่าง กม. ๔๐ – ๔๒ บ้านปางอุ๋ง เป็นหมู่บ้านสุดท้ายของอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ทั้งๆที่ใกล้ อ.ขุนยวม แม่ฮ่องสอน
กม.๑๒ มีทางแยกขวาไป “ ดอยแม่อูคอ ทุ่งบัวตองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย “มาถึง อ.ขุนยวมพอดีมื้อกลางวัน
ตรงข้ามกับ สำนักงานสาธารณสุข ขุนยวม มีร้านไม่โต โล่งๆแต่มีชาวบ้านนั่งกันแยะ เลยชิมที่ร้านนี้ มีอาหารหนักไปทางอาหารจานเดียว มีก๋วยเตี๋ยวต้มยำ ชาวบ้านมากินก๋วยเตี๋ยวกันมากกว่าข้าว ที่กระดานบอกว่ามีข้าวหน้าต่างๆ ข้าวผัดพริก ข้าวผัดคะน้า ข้าวผัดกะเพรา ฯ เลยสั่งข้าวราดหน้า และสั่ง ต้มยำรวมน้ำข้น อร่อยใช้ได้ ราคาไม่แพงด้วย
จากขุนยวมวิ่งมาอีก ๖๖ กม.ก็จะถึงโรงพยาบาลแม่ลาน้อย ก่อนถึงโรงพยาบาลสัก ๕๐ เมตร มีทางแยกซ้าย มีซุ้มประตู มีป้ายยกไว้ว่า ”วนอุทยานถ้ำแก้วโกมล “
เส้นทางที่ ๒ คือเส้นทางที่ผมเดินทางไปถ้ำแก้วโกมล รีบไปเสียก่อนที่ผมจะไม่มีแรงลงถ้ำ และไปด้วยความไม่มั่นใจ ว่าจะลงถ้ำไหวหรือไม่ ลงถ้ำครั้งสุดท้ายคือ ถ้ำเขาหลวง ที่เพชรบุรี ซึ่งก็นานเกินกว่า ๕ -๖ ปีมาแล้ว ต้องทดลองดู ยิ่งรอ ยิ่งลงไม่ไหวแน่นอน
ผมพาท่านผู้อ่านมาจนถึงหน้าทางเข้าถ้ำแก้วโกมลแล้ว ทีนี้มารู้จักประวัติของถ้ำนี้
ถ้ำผลึกแคลไซด์แม่ลาน้อย ถูกค้นพบโดยวิศวกรเหมืองแร่ประจำสำนักงานทรัพยากรธรณีจังหวัดแม่ฮ่องสอน เมื่อ วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๖ ภายในเต็มไปด้วยผลึกแคลไซด์ รอบด้าน ทั้งบริเวณผนัง พื้น และเพดานถ้ำ ผลึกมีรูปร่างแปลกประหลาดแตกต่างกันมากมายหลายแบบ จับตัวกันมองดูเหมือนปะการังก็มี เหมือนดอกกะหล่ำ เหมือนเกล็ดน้ำแข็ง ที่เพดานบางอันเหมือนโคมไฟเพดาน มีสีขาวใส สีเหลือง แดง และน้ำตาล งดงามสุดพรรณนา มีคุณค่าและความสำคัญต่อการศึกษาค้นคว้าวิจัย
พ.ศ. ๒๕๓๘ กรมทรัพยากรธรณีได้พัฒนาในด้านให้ความสะดวกและความปลอดภัย เพื่อเปิดให้เข้าเที่ยวถ้ำกันได้ กันเขตพื้นที่รอบถ้ำในรัศมี ๒๐๐ เมตร ครอบคลุมเนื้อที่ ๕๑ ไร่ เศษ กันออกจากพื้นที่ประทานบัตร และ คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้บริเวณที่กันเอาไว้นี้กลับไปมีสภาพป่าสงวนแห่งชาติ ภายใต้การกำกับดูแลของกรมป่าไม้ จัดตั้งเป็นวนอุทยานถ้ำแม่ลาน้อย ต่อมาในปีพ.ศ. ๒๕๔๓ มีการส่งมอบและรับมอบถ้ำผลึกแคลไซด์ระหว่างกรมทรัพยากรธรณี กับ กรมป่าไม้ โดยผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นผู้รับมอบ เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๓
เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๔ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทอดพระเนตรถ้ำแม่ลาน้อย ได้พระราชทานนามถ้ำแม่ลาน้อยเป็นชื่อ ถ้ำแก้วโกมล และได้พระราชทานนามชื่อห้องในถ้ำแก้วโกมล ซึ่งอยู่ภายในถ้ำเป็นชั้นๆจำนวน ๕ ชั้น ดังนี้
ชั้นที่ ๑ นามห้อง พระทัยธาร
ชั้นที่ ๒ นามห้อง วิมานเมฆ
ชั้นที่ ๓ นามห้อง เฉกหิมพานต์
ชั้นที่ ๔ นามห้อง ม่านผาแก้ว
ชั้นที่ ๕ นามห้อง เพริดแพร้วมณีบุปผา
ถ้ำแก้วโกมล เป็นถ้ำที่สุดสวย ไม่มีถ้ำใดในประเทศไทยจะสวยเท่า สามารถท่องเที่ยวได้ตลอดปี แต่ช่วงที่ดีที่สุด คือตั้งแต่ปลายฝนไปจนถึงสงกรานต์ เดือน ตุลาคม – เมษายน เพราะภายในถ้ำแห้งสนิท ไม่เปียกชื้น ไม่มีหยดน้ำตกจากเพดานถ้ำ แต่เนื่องจากถ้ำแก้วเป็นโพรงถ้ำที่ลึกลงไปใต้ดิน อากาศจะถ่ายเทไม่สะดวก เขาจึงมีข้อห้ามบอกไว้ในศาลาพักคอย เตือนผู้ที่ไม่ควรเข้าถ้ำเช่น ผู้ที่เป็นโรคประจำตัว ร่างกายไม่แข็งแรง เป็นโรคหัวใจ เป็นต้น ผมเติมให้อีกข้อผู้ที่สูงอายุ ต้องเข้าห้องสุขาให้เรียบร้อยเสียก่อน
ได้เวลาที่กลุ่มของผมจะเข้าถ้ำ มีผู้นำเข้าเป็นหญิงสาว พาเข้าทั้งกลุ่มมีประมาณ ๒๐ คนซึ่งเป็นอัตราสูงสุดที่ยอมให้แต่ละกลุ่มมีจำนวนได้เท่านี้ผ่านเข้าประตูถ้ำเข้าไปแล้ว ก็เดินลงบันได ที่สร้างด้วยคอนกรีต ขั้นบันไดตอนแรกก็กว้างพอสมควร แต่พอลงลึกไป ความกว้างชักจะน้อยลง ข้อเสีย อยากให้ อบต.ช่วยทำให้ที เก็บเงินได้วันละมากๆคงใช้เงินไม่เท่าไร คือราวบันได เวลานี้ทำไว้ข้างซ้ายเพียงข้างเดียว การจับเกาะจะลำบาก หากมีสองข้างคนสูงวัยหรือผู้ที่ร่างกายไม่แข็งแรงนักจะได้เกาะได้ทั้งสองข้าง เช่นผมอยู่ในกลุ่มผู้สูงวัย ถ้าให้ผมเข้าสักเมื่อสิบปีที่แล้วคงวิ่งลงไปได้ ไกด์จะนำหน้าและหยุดอธิบายแต่ละห้อง ผมกับเลขาฯสมัครอยู่รั้งสุดท้ายเผื่อไม่ให้ถ่วงเวลาคนอื่นเขา และพอไปถึงเขาก็อธิบายจบ ออกเดินต่อไปยังห้องต่อไป ก็เลยไม่ได้ฟังเขาอธิบาย เพราะโหนบันไดลงไปได้ก็บุญแล้ว
ถ้ำแก้วโกมลนี้เป็นถ้ำผลึกแคลไซด์ที่สวยที่สุดในประเทศไทย พบเป็นแหล่งที่สองในเอเชีย แห่งแรกพบที่จีน เดิมทีเดียวเป็นทางน้ำร้อนใต้ดิน เมื่อกระแสร์น้ำร้อนละลายแคลเซียมที่ฟุ้งกระจายอยู่ในโพรงถ้ำใต้อุณหภูมิที่เหมาะสม จึงเกิดเป็นผลึกแร่ที่บริสุทธิ์และอ่อนนุ่ม จึงต้องขอร้องว่าอย่าไปจับเป็นอันขาด เดินผ่านไปข้างๆทางเดินจะเห็นหยดน้ำที่หยดลงมา กำลังก่อตัวเป็นผลึกอยู่ก็มี ความงดงามบรรยายไม่ถูกได้แต่ร้องว่าสวยเหลือเกิน ห้องที่ ๕ เป็นห้องที่อยู่ลึกที่สุด มีความสวยงามมากที่สุด มีผลึกแคลไซด์ที่สมบูรณ์มากตามพื้นและผนังถ้ำทั้งผลึกรูปเข็มและผลึกรูปแบบปะการังสีขาว
ผมเดินลงถ้ำเป็นคนสุดท้าย ไม่ได้ฟังที่เขาบรรยายเลย ตอนจะขึ้นจากห้องสุดท้ายก็เลยบอกผู้นำว่าขอตามขึ้นไปเอง เพราะตอนลงมาแทบจะไม่ได้ดูโดยละเอียด มัวแต่โหนราวบันได ไต่ลงมา มาถึงห้องที่คุณบรรยาย ก็พอดีคุณบรรยายจบออกเดินชมห้องต่อไป การเดินไประหว่างห้องคือการลงบันไดไปจากห้องหนึ่งไปสู่อีกห้องหนึ่ง ห้องติดต่อกันทางดิ่ง สาวไกด์บอกว่าคุณลุงจะเดินขึ้นไปกันตามลำพังไม่ได้ผิดระเบียบ ไกด์ต้องขึ้นปิดท้ายปล่อยให้ใครตกค้างไม่ได้ เพราะเขาคงกลัวว่าหากชุดใหม่ลงมาจะสมทบกันทำให้เกินโควต้าที่วางไว้คือแต่ละกลุ่มต้องไม่เกิน ๒๐ คน อากาศจะไม่พอหายใจ
สุดท้าย ไกด์สาวน้อยก็บอกว่าหนูต้องอยู่ด้วย ผมเลยได้โอกาสถามเขาว่าห้องนี้เป็นอย่างไร เธอก็ดีหลายอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด ด้วยความเต็มใจโดยไม่รู้ว่าผมเป็นใคร อธิบายทุกห้องอย่างดีเลยทีเดียว ทำไม ทำมา ผมกับเลขาฯ ได้ทราบรายละเอียดมากยิ่งกว่าตอนที่เขาอธิบายให้กลุ่มทัวร์ฟังเสียอีก ก่อนออกจากถ้ำเลยขอร้องขอให้รับรางวัลเป็นสินน้ำใจจากผมด้วย ที่ช่วยให้ทราบรายละเอียดเอามาเป็นวัตถุดิบในงานเขียนได้ออกจากถ้ำแล้ว มาซื้อรูปภาพ เพราะเขาห้ามถ่ายรูป ภายในถ้ำ แล้วนั่งรอรถพอคนขึ้นเต็มคันรถก็ออกมาส่งที่ศูนย์ฯ วิ่งต่อไปอีก ๓๕ กม.ก็ถึง อ.แม่สะเรียง พักนอนที่ อ.แม่สะเรียง อีก ๑ คืน
................................................
|
Update : 15/8/2554
|
|