|
ทำไมต้องตรวจคุณภาพน้ำ
สัตว์น้ำจำเป็นต้องอาศัยในการดำรงชีวิต คุณสมบัติน้ำจะแตกต่างกันตามสภาพแวดล้อมและที่ตั้งต่างกัน เช่น แม่น้ำ ลำธารคลอง
จะมีคุณสมบัติของน้ำแตกต่างจาก หนอง บึง อ่างเก็บน้ำ ซึ่งเป็นแหล่งน้ำนิ่งรวมถึงบาดาลที่มีคุณสมบัติแตกต่างจากแหล่งน้ำผิวดินอื่นๆ
การตรวจวัดคุณภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อที่จะได้ปรับปรุงให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมกับการอยู่อาศัยของสัตว์น้ำ
ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้ประสบความสำเร็จ
|
|
ตรวจคุณภาพน้ำอย่างไร
เอาน้ำใส่ขวดโดย เลือกใช้ขวดชนิดใดก็ได้ (ขนาดขวดเหล้าขาวหนึ่งกลมกำลังดี) ควรมีน้ำหนักเบาและไม่แตกง่าย ที่สำคัญก่อนการใช้ขวดเก็บตัวอย่างทุกครั้ง ควรล้างด้วยน้ำสะอาดหลายๆ ครั้ง เมื่อเก็บตัวอย่างน้ำเสร็จแล้ว ควรปิดฝาให้สนิท ปิดฉลากทุกใบให้ชัดเจน โดยฉลากจะต้องแจ้งข้อมูลที่จำเป็นให้ละเอียด เช่น สถานที่เก็บตัวอย่าง วัน เวลาของการเก็บตัวอย่าง แหล่งน้ำของตัวอย่าง ชื่อสกุลของผู้เก็บตัวอย่าง สี กลิ่นของน้ำ ความขุ่น ขนาดบ่อและปลาที่เลี้ยงมาบอกเจ้าหน้าที่ เพื่อจะได้วิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างถูกต้อง
|
|
|
|
|
|
คุณภาพน้ำบอกอะไรกับเกษตรกร
|
|
อุณหภูมิน้ำ
|
ควรอยู่ในช่วง 23-32 องศาเซลเซียส วิธีง่ายๆ คือสัมผัสด้วยมือ น้ำจะต้องไม่ร้อยหรือเย็นจนเกินไป ถ้าน้ำเย็นมากปลากินอาหารน้อยลง ควรลดปริมาณน้ำในบ่อและลดปริมาณอาหารลง
|
|
|
|
|
|
|
ปริมาณออกซิเจน
|
โดยเฉลี่ยปริมาณออกซิเจนในรอบวันไม่ควรต่ำกว่า 3 มิลลิกรัมต่อลิตร ถ้าต่ำกว่านี้อาจทำให้ปลาเจริญเติบโตไม่ดีหรือตายได้ เมื่อปริมาณออซิเจนต่ำให้ใช้เครื่องตีน้ำหรือสูบพ่นน้ำไปในอากาศก็ได้ เพื่อช่วยเพิ่มปริมาณในน้ำ โดยเฉพาะเวลากลางคืนและเช้ามืด
|
|
|
|
|
|
|
ความเป็นกรด-ด่าง (pH)
|
ควรอยู่ระหว่าง 6.5-9 การเปลี่ยนแปลงของ pH ที่เกิดขึ้นจะทำให้คุณสมบัติของน้ำเปลี่ยนไป และมีผลต่อความเป็นพิษของสารบางชนิดได้ เช่น ความเป็นพิษของแอมโมโนเนียมากขึ้นหรือลดลงได้
|
|
|
|
|
|
|
ความกระด้าง
|
น้ำอ่อนหรือน้ำที่กระด้างเกินไปถือว่าไม่มีความเหมาะสม ถ้าน้ำอ่อนเมื่อทำการเพาะเลี้ยงจะต้องมีการเติมปูนขาว เพื่อที่จะทำให้น้ำมีค่าความกระด้างสูงขึ้น เกณฑ์ที่เหมาะสมกับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำควรมีค่าอยู่ระหว่าง 75-300 มิลลิกรัมต่อลิตร หากกระด้างจนเกินไปสามารถแก้ไขได้โดยวิธีการพักน้ำและติดตั้งเครื่องกรอง
|
|
|
|
|
|
|
ความเป็นด่าง
|
เป็นตัวที่คอยควบคุมไม่ให้แหล่งน้ำมีการเปลี่ยนแปลง pH ควรมีค่าอยู่ในระหว่าง 100-200 มิลลิกรัมต่อลิตร
|
|
|
|
|
แอมโมเนีย
|
เป็นแก๊สที่มีพิษต่อปลามาก เกิดจากของเสียและมูลต่างๆ ที่สัตว์น้ำขับถ่ายออกมา ถ้าปริมาณสูงจะเป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำมาก
|
|
|
|
|
ความขุ่น
|
ตะกอนดินที่แขวนลอยอยู่ในน้ำ ถ้าปริมาณมากเกินไปจะเป็นตัวขวางกั้นไม่ให้แสงสว่างลงไปได้ลึก ทำให้พืชและแพลงก์ตอนไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ ส่งผลให้ปริมาณอาหารธรรมชาติในบ่อลดลง
|
|
|
|
|
ความโปร่งใส
|
ควรมีค่าระหว่าง 30-60 เซนติเมตร ถ้าพบว่าในน้ำของบ่อเป็นสีเขียวจัด ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำเพื่อลดความเข้มข้นของสีน้ำลง สำหรับบ่อที่มีน้ำใส ควรเติมปุ๋ยลงในบ่อเพื่อเพิ่มธาตุอาหารให้กับพืชและแพลงก์ตอนพืช ให้สามารถเจริญเติบโตเพิ่มจำนวนขึ้น
|
|
|
|
คุณภาพน้ำที่เหมาะสมต่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
|
ดัชนี
|
ค่ามาตรฐาน
|
ลักษณะ /อาการผิดปกติที่สังเกตได้
|
การแก้ไขเมื่อค่าต่ำกว่ามาตรฐาน
|
การแก้ไขเมื่อค่าสูงกว่ามาตรฐาน
|
ออกซิเจนที่ละลายได้ในน้ำ
|
ไม่น้อยกว่า 3 มิลลิกรัมต่อลิตร
|
- ปลาลอยขึ้นมาฮุบอากาศ
- ปลากินอาหารน้อยลง มีอาหารเหลือจำนวนมาก
|
พ่นน้ำไปในอากาศ
|
-
|
คาร์บอนไดออกไซด์
|
ไม่มากกว่า 30 มิลลิกรัมต่อลิตร
|
- ปลาลอยขึ้นมาฮุบอากาศ
- น้ำมีกลิ่นคาวจัด
|
-
|
พ่นน้ำไปในอากาศ
|
ความเป็นกรด-ด่าง (pH)
|
6.5-9
|
ถ้า pH ต่ำมากน้ำจะใส
|
เติมปูนขาว
|
เพิ่มระดับน้ำ, เปลี่ยนถ่ายน้ำ
|
อุณหภูมิ
|
23-32 °C
|
- มือจุ่มน้ำสัมผัสร้อนหรือเย็นจนเกินไป
- ปลากินอาหารน้อยลง มีอาหารเหลือจำนวนมาก
|
ลดระดับน้ำ
|
ทำร่มเงาให้บ่อ
|
ความโปร่งใส
|
30-60 ซม.
|
น้ำสีเข้มจัด (วิธีการวัดใช้แผ่นไม่กลมขนาด 1 ไม้บรรทัดแบ่งครึ่งทาสี ผูกเชือกตรงกลางแล้วจุ่มวัด) วัดระยะที่ยังเห็นแผ่นไม้
|
เปลี่ยนถ่ายน้ำ
|
เติมปุ๋ย, ปูนขาว
|
ของแข็งตกตะกอน
|
ไม่มากกว่า 25 มิลลิกรัมต่อลิตร
|
น้ำขุ่นมาก
|
-
|
ตักออกหรือกรอง
|
ความเป็นด่าง
|
100-200 มิลลิกรัมต่อลิตร
|
-
|
เติมปูนขาว
|
พักน้ำและติดตั้งเครื่อง/บ่อกรอง
|
ความกระด้าง
|
75-300 มิลลิกรัมต่อลิตร
|
-
|
เติมปูนขาว
|
พักน้ำและติดตั้งบ่อกรอง
|
บีโอดี
|
มากกว่า 20 มิลลิกรัมต่อลิตร
|
-
|
-
|
พ่นน้ำไปในอากาศ, เปลี่ยนถ่ายเทน้ำ, ลดความหนาแน่นของสัตว์น้ำ
|
แอมโมเนียรวม
|
ไม่มากกว่า 0.5 มิลลิกรัมต่อลิตร
|
ปลาจะกินอาหารน้อยลง และเคลื่อนไหวช้าลง
|
-
|
เปลี่ยนถ่ายเทน้ำ, ทำความสะอาดก้นบ่อ, พ่นน้ำไปในอากาศ
|
|
|
|
|