ตอนที่๒
เรื่องพุทธทำนาย หรือ พุทธฏีกาพยากรณ์ของพระพุทธองค์นั้น ได้มีการเผยแพร่แก่สาธารณชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเหล่าพุทธบริษัทผู้ยึดมั่นศรัทธาในพระพุทธศาสนา มาเป็นเวลานานหลายร้อยปีทีเดียวทั้งจากคำบอกเล่าของพระเถรานุเถระที่เข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนา ที่เล่าสืบต่อกันมามีการบันทึกเอาไว้ในคัมภีร์พุทธศาสนา แม้กระทั่งที่อินเดียเองในเขตมหาวิหาร สวนมฤคทายวัน อันเป็นที่แสดงธรรมโปรดแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง๕ ก็ได้มีการบันทึกเอาไว้เป็นลายลักษณ์อักษรบนแผ่นหิน หรือ"ศิลาจารึก" (เข้าใจว่าเป็นภาษามคธ หรือภาษาบาลี - เล็ก พลูโต) และในส่วนที่เป็นภาษาไทยที่มีการพิมพ์เผยแพร่ดังท่านได้อ่านเมื่อตอนที่แล้วท่านพระอาจารย์จรัญ ฐิตธัมโม แห่งวัดอัมพวัน สิงห์บุรี ท่านได้ถอดความมาเป็นภาษาไทยผิดถูก จริง เท็จ ประการใด ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของท่านผู้อ่านก็แล้วกัน
ในส่วนของคำวิจารณ์ที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ ขอเรียนว่าเป็นทัศนะหนึ่งของข้าพเจ้าซึ่งอาจจะผิดหรือถูกก็ได้ เมื่อท่านอ่านแล้วลองไตร่ตรองพิจารณาดู ว่าโอกาสที่จะเป็นไปได้มีมากน้อยเพียงใด สำหรับในส่วนของข้าพเจ้านั้น เชื่ออย่างสนิทแน่ในพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นที่ท่านได้ตรัสรู้ธรรมโดยชอบ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน หากจะเลือกเอาระหว่างจิตทัศน์ของ"ท่านนอสตราดามุส"ผู้โด่งดังทั่วโลก กับ"พระพุทธองค์"แล้ว ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่า ชาวพุทธ ที่ยึดเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง น่าจะเชื่อในอนาคตังสญาณของพระพุทธเจ้าของเรามากกว่า ใช่ไหมครับ?
ในพุทธทำนายบอกว่า เหตุการณ์ในคำทำนายจะบังเกิดขึ้นหลังจากพระพุทธศาสนาล่วงแล้ว๒,๕๐๐ ปีหรือ กึ่งพุทธศตวรรษ (พุทธศตวรรษ คือกำหนดอายุพระพุทธศาสนาที่ได้ทรงกำหนดไว้เพียง ๕,๐๐๐ ปี) แต่เท่าที่ปรากฎในปัจจุบันเหตุการณ์เลวร้ายดังพุทธทำนาย ได้เกิดขึ้นมาก่อนหน้านั้น โดยดูได้จากสงครามโลก ทั้งสองครั้งที่ผ่านมา ล้วนเกิดก่อนพุทธศักราช ๒๕๐๐ ทั้งสิ้น อันนี้ท่านผู้อ่านอาจจะแย้งผู้เขียนได้ว่าอ้าว อย่างนั้น พระพุทธองค์ ก็ทรงทำนายผิดล่ะซิ อันนี้ผมว่าไม่นะไม่ได้เข้าข้างพระพุทธองค์ แต่ขอเรียนชี้แจงผลของคำทำนายที่เกิดขึ้นสักหน่อย ว่าผลของคำทำนายนั้น มีโอกาสเกิด หรือไม่เกิดก็ได้ตรงตามเวลา หรือคลาดเคลื่อนก็ได้ และต้นเหตุที่ทำให้เกิดการเบี่ยงเบนคลาดเคลื่อน หรือผิดไปจากคำทำนายนั้นก็คือ "กรรมปัจจุบัน"
ขอยกตัวอย่างย้อนหลังถึงคำทำนายของพระสารีบุตรที่มีต่อสามเณรในสำนัก ที่ทำนายว่าเณรจะต้องตายภายใน ๗ วัน แล้วเณรไม่ตายเพราะนำปลาที่ใกล้ตาย ไปปล่อยในแม่น้ำสายใหญ่ กรรมที่เณรปล่อยปลานั้นเป็นกรรมปัจจุบันที่ลบล้างกรรมแต่อดีตไม่ให้ส่งผล เพราะปลาฝูงนั้น บังเอิญเป็นเจ้ากรรมนายเวร เขาอโหสิกรรมให้เป็นอันว่าเลิกรากันไป อย่างชาติสุดท้ายของ พระอรหันต์องคุลีมาล ก็เช่นกันกรรมที่ฆ่าคนถึง ๙๙๙ ศพ นั้น น่าจะนำให้ท่านไปลงนรก มากกว่าไปนิพพาน แต่กรรมปัจจุบันของท่านที่ได้บวชเรียน ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด จนทำให้เจ้ากรรมนายเวรเขาอโหสิกรรมให้ เจ้ากรรมนายเวรของท่านองคุลีมาล ก็คือ คนจำนวน ๙๙๙ คน ที่เคยฆ่าท่านเมื่อครั้งที่ท่านเกิดเป็นเต่าใหญ่แล้วเอาเนื้อท่านมาแบ่งกันกิน ดังนั้น หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายตัดกรรมก็จะมีการอโหสิกรรม หรือยกเลิกกรรมทันที (รายละเอียดเรื่องนี้คอยติดตามในเรื่อง "จอมโจร ๙๙๙" ซึ่งจะนำเสนอในเวปไซด์แห่งนี้ในโอกาสอันควร)
ไม่ต้องดูอะไรมากหรอกครับแม้วิทยาการสมัยใหม่ในการพยากรณ์อากาศยังต้องพ่ายแพ้ต่อคำพยากรณ์เลยภาพถ่ายดาวเทียมเห็นอยู่ชัด ๆ ว่า มีกลุ่มเมฆลอยตัวเข้ามาในอัตราความเร็วที่เคยจับสถิติดูแล้วว่าจะเกิดฝนตกแน่ในวันนั้น วันนี้ ซึ่งคำพยากรณ์บางครั้ง ก็แม่นมาก ตกตามวันเวลาพอดี แต่คำพยากรณ์บางครั้ง ก็คลาดเคลื่อน บอกตกมาก ก็ตกน้อย บอกตกวันนี้ดันไปตกเมื่อวาน หรือพรุ่งนี้ ฯลฯ
ก็เพราะกรรมปัจจุบันอีกน่ะแหละกรรมปัจจุบันในเรื่องของการพยากรณ์อากาศก็คือ กระแสลม ที่พัดเร็วบ้าง ช้าบ้าง ตามอารมณ์ (ลม คืออากาศธาตุที่แปรปรวนกว่าทุกธาตุ ) อีกตัวหนึ่งก็คือความกดอากาศหรือความกดดันน่ะเอง ไอ้ตัวนี้จะเป็นตัวกำหนดอุณหภูมิว่าจะร้อนหรือเย็นถ้าร่องความกดอากาศต่ำ อุณหภูมิจะต้องสูง โอกาสที่ฝนจะตกมีมากกว่าร่องความกดอากาศสูงอุณหภูมิต่ำ (หนาวเย็น)
ในการพยากรณ์ดวงชะตาของผมก็เช่นเดียวกันไม่แปลกหรอกครับที่บางครั้งผมอาจจะทายผิดหรือคลาดเคลื่อนไปบ้างไม่ใช่ตำราไม่แม่นหรือผู้ทายอ่อนประสบการณ์ แต่เป็นด้วยกรรมปัจจุบันของผู้มารับคำพยากรณ์ที่เขาหาทางหลีกเลี่ยง ผ่อนกรรม ให้ความระมัดระวัง รู้จักควบคุมอารมณ์ ฯลฯดังนั้นจึงทำให้ผลคำพยากรณ์คลาดเคลื่อน ผ่อนปรน หรือไม่เกิดเลยก็ได้ ซึ่งผมก็ดีใจนะครับที่ทายผิด เพราะมีคนเคยบอกเสมอ ๆ ว่า "แหม ! ไปเชื่ออะไรกับหมอดูคู่กับหมอเดา ทีเรื่องร้าย ๆ ทายแม่น ทีเรื่องดี ๆ ไม่เห็นจะแม่นเลย" ดังนั้น หากเรื่องร้าย ๆ จะทายไม่แม่น ก็ช่างมันเอะครับ ขอให้เรื่องดี ๆ ทายแม่นก็พอใจแล้ว
เป็นอันว่าตอนนี้ยังไปไม่ถึงไหน เพราะมัวแก้ต่างให้"พระพุทธองค์"อยู่ เป็นอันเข้าใจแล้วนะครับว่า"กรรมปัจจุบัน"มีส่วนสำคัญอย่างมากต่อผลคำพยากรณ์ ดังนั้นการที่สงครามโลกจะเกิดก่อนกึ่งพุทธกาลจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ข้อสำคัญ เกิดขึ้นใกล้กึ่งพุทธกาลนี่ซิครับ น่าทึ่ง แล้วรายละเอียดของคำพยากรณ์ในข้ออื่น ๆ ที่บ่งบอกเอาไว้อีก แทบจะถูกต้องไม่ผิดเพี้ยนเลยรายละเอียดเป็นอย่างไร มาว่ากันต่อในตอนหน้านะครับ สวัสดี
ตอนที่๓
"ดูกร อานนท์ เมื่อศาสนาตถาคตล่วงเลยไปถึงกึ่งพุทธกาลสัตว์โลกทั้งหลาย ที่เกิดในยุคนั้นจะพบแต่ความลำบากทุกชาติ ทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลก ที่หมุนไปใกล้ความแตกทำลาย แผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟมนุษย์และสัตว์ จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทั่วทิศ
คนในสมัยนั้น จะมีวิสัยโหดดุจกำเนิดจากสัตว์ป่าอำมหิต จะรบราฆ่าฟันกันถึงเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ ส่วนเวไนยสัตว์ผู้ขวนขวายในกุศลตามวัจนะของตาคต ก็จะระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านเมืองใดมีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัย และคุณบิดามารดา เหตุร้ายภัยพิบัติจักเบาบาง แต่ก็จะหนีกฎแห่งธรรมชาติไม่พ้น "
ในหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา นั้น ท่านได้สอนให้พุทธบริษัทตระหนักถึง"ไตรลักษณ์"หรือลักษณะอันเป็นจริงตามธรรมชาติ๓ ประการ คือ "เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป " หรือ " อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" เมื่อเกิดขึ้น ก็จะมีทุกข์ (อาจจะสุขบ้างแต่ก็น้อยกว่าทุกข์) เมื่อมีทุกข์หรือสุข ก็จะดำรงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ตามแต่เวรกรรมที่สร้างและกำหนดไว้แต่พอสิ้นสุดแห่งทุกข์ หรือสุข ก็จะมีการแตกตับหรือสูญสิ้นไป ไม่จีรังยั่งยืน โลกของเราก็เหมือนกัน เมื่อเกิดได้ ก็ย่อมแตกดับได้ไปตามกาลเวลา และการแตกดับของโลกนั้น ไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวทำให้แตกดับ แต่เป็นมนุษย์โลกในดาวดวงเดียวกันนี่แหละ ทำให้เป็นไป
สัตว์ที่น่ากลัวที่สุดในโลก คือ"มนุษย์"ซึ่งท่านพุทธทาสภิกขุ แปลว่า"ผู้มีใจสูง" แต่อันที่จริงถ้าจะแปลคำว่า "มนุษย์" ไปอีกความหมายหนึ่งก็จะแปลได้ว่า"ผู้มีจิตใจเป็นเลิศ เป็นเอก เป็นหนึ่งไม่มีใครทัดเทียมได้" มนุษย์อาจทำได้ทุกอย่างทั้งสิ่งที่เลวที่สุดชนิดที่สัตว์อื่นทำไม่ได้ และมนุษย์ก็เช่นเดียวกันสามารทำสิ่งที่ดีที่สุดชนิดที่ อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ก็ทำไม่ได้เช่นกัน
จะยกตัวอย่างของหญิงเลวที่ไม่มีความเป็นแม่ในกมลสันดานที่ทำได้แม้กระทั่ง นำลูกที่เกิดได้เพียงเดือนเดียวไปทิ้งขยะ
เหตุการณ์นี้เคยเป็นข่าวใหญ่ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐเมื่อ ๑๕ ปีก่อน จำได้ว่ามีคนเดินผ่านกองขยะเห็นหมาฝูงหนึ่งกำลังรุมกัดหมาตัวหนึ่งประเภทหมาหมู่นั่นแหละครับ อันที่จริงก็ไม่น่าจะแปลกและเป็นข่าวไปได้ถ้าบังเอิญชายคนนั้นไม่ได้ยินเสียงเด็กร้อง เป็นเสียงเด็กอ่อน เมื่อมองดูให้ดีก็จะเห็นหมาตัวที่ถูกรุมเห่า หรือรุมกัดอยู่นั้น ยื่นคร่อมร่างของทารกวัย๑ เดือน อยู่ เมื่อชายคนนั้นได้เอาไม้ไล่กลุ่มหมาอันธพาลไปแล้วก็ได้ช่วยเอาเด็กออกมา แล้วแจ้งตำรวจ ก็เลยเกิดวีรกรรมหมาขึ้นมาเป็นข่าวใหญ่ หมาตัวนั้นชื่อว่า"ไอ้โทน" เป็นหมาตัวผู้ถูกตอน รูปร่างใหญ่ ปกติจะไม่ชอบเด็ก มักจะเห่า หรือก็กัดเข้าให้ถ้าเด็กเข้าไปใกล้ๆ แต่ก็แปลกใจว่าทำไมหนอ ไอ้โทน มันถึงปกป้องคุ้มครองเด็กอ่อนวัย ๑ เดือน ให้รอดพ้นจากการเป็นเหยื่อของฝูงหมาอันธพาล ที่จะเข้าไปกัดกินทำร้าย ก็เพราะในส่วนลึกของจิตใจมัน ยังมีคุณธรรมอันสูงส่ง สูงกว่าแม่เด็กที่คนเขาเรียกกันว่า"มนุษย์"เสียอีก ไงล่ะครับ
ธรรมชาติของสัตว์เดรัจฉานทุกตัว ไม่เคยเห็นตัวไหนมันไม่รักลูกของมันแต่มนุษย์ใจบาปหยาบช้า ทำได้แม้กระทั่งลูกในใส้ของตัวเอง อย่างนี้แหละครับที่เรียกว่า"มนุษย์" สามารถทำในสิ่งที่ชั่วช้าที่สุดในส่วนที่มนุษย์ทำในสิ่งที่ดีงาม พัฒนาจิตใจจนถึงขั้นบรรลุ มรรค ผลนิพพาน ก็มีให้เห็นไม่น้อยพระพุทธองค์ แม้จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ยังต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ไม่งั้นเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ครับ
หลังกึ่งพุทธกาล ท่านจะเห็นได้ว่าโลกเราได้รับภัยพิบัติธรรมชาติบ่อยครั้งแต่ละครั้งรุนแรงคร่าชีวิตพลโลกไปไม่น้อย สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะธรรมชาติไม่สมดุล มนุษย์พัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ขึ้นมาใช้ ซึ่งบางอย่างก็ได้ทำลายสมดุลแห่งธรรมชาติทั้งๆ ที่มนุษย์รู้ตัวว่าทำลายแต่ก็จะทำเสียอย่างใครจะทำไม ? พระองค์ท่านตรัสว่า แผ่นดิน แผ่นน้ำ จะลุกเป็นไฟ เพราะมีการรบราฆ่าฟันกันเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ
ท่านก็คงจะเห็นจริงแล้ว ถึงสงครามล้างเผ่าพันธุ์ในเขมร แม้กระทั่งยิวกับอาหรับ ก็ยังเป็นศัตรูคู่แค้นทำสงครามกันมานานนับศตวรรษ ครับเมื่อมนุษย์ฆ่าสัตว์จนหมดป่า ป่าถูกทำลาย พวกสัตว์ป่ามันคงจะเกิด เป็นสัตว์ไม่ได้อีกต่อไปวิญญาณสัตว์ป่าของมันจึงมาเกิดในร่างมนุษย์ ทำให้มนุษย์มีจิตใจโหดร้ายเยี่ยงสัตว์ป่าหรือยิ่งกว่า เพราะมีสติปัญญาดีกว่าดังนั้นอันตรายย่อมมากกว่าเมื่อมีการประหัตประหารกัน
พระพุทธองค์ทรงตรัสต่อไปว่า ไฟจะลุกลามมาทางทิศตะวันออกไหม้วัดวาอาราม สมณะ ชีพราหมณ์จะอดอยากยากเข็ญ ลูกไฟจะตกจากฟ้า เป็นเพลิงผลาญ เหล็กกล้าจะทะยานจากน้ำ มหาสมุทรจะชอกช้ำ สงครามจะทั่วทิศ ศึกจะติดเมือง ข้าวจะขาดแคลนทั่วแคว้นจะอดอยาก ผีโขมดป่าจะเข้าเมืองพระเสื้อเมืองทรงเมืองจะหนีเข้าไพรผู้เป็นใหญ่มีอำนาจจะเรียกแมลงผีเสื้อเหล็กนับแสนตัว มาปล่อยไข่เป็นไฟเผาผลาญยักษ์หินที่ถูกสาปให้หลับมาเป็นเวลานานจะตื่นขึ้นมาอาละวาดโลก ดินฟ้าอากาศจะแปรปรวนตลิ่งจะพังแผ่นดินจะล่มเป็นทะเล โลกมนุษย์จะดิ่งสู่ความหายนะนักปราชญ์จะถูกทำร้ายให้สิ้นสูญ
เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองไฟที่ลุกลามมาทางทิศตะวันออก หมายถึงพวกญี่ปุ่นที่หวังจะยึดครองเอเซียอาคเนย์ (ประเทศญี่ปุ่นอยู่ทางทิศตะวันออกของไทย-อินเดีย)มีการทิ้งระเบิดของพวกสัมพันธมิตร ไม่ต้องห่วงเลยครับว่ากรุงเทพ ฯ จะเป็นอย่างไรวัดราษฏร์บูรณะ ที่อยู่เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้า ถูกระเบิดเสียราบเรียบเพราะอยู่ใกล้โรงไฟฟ้าซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ เป็นยุคข้าวยากหมากแพง พระเณรแทบอดตายสึกหนีหาย หนีภัยสงครามไปก็เยอะ คำว่าแมลงผีเสื้อเหล็กนับแสนตัวมาปล่อยไข่เป็นไฟเผาผลาญก็หมายถึงเครื่องบิน บี 52 มาทิ้งระเบิด ไฟลุกทั่วเมืองนั่นเอง แต่คำว่า"ยักษ์หิน" ที่ถูกสาปให้หลับมาเป็นเวลานานจะตื่นขึ้นมาอาละวาดโลกนี่ซิเป็นอะไร หมายถึงอะไร ใครรู้บ้างช่วยบอกที ความหมายข้อนี้อาจจะยังไม่เกิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองก็ได้ ช่วยกันตีความหมายหน่อยครับ จะได้เตรียมการป้องกันเอาไว้ ผมจะลองนั่งตีความหมายดูเอาไว้ตอนหน้าจะขยายให้ฟัง ถ้าไม่เข้าท่า อย่าหัวเราะเยาะกันนะเออไม่งั้นโกรธกันด้วย
ตอนที่ ๔
ในอนาคตังสญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ได้ตรัสเตือนพุทธบริษัทให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทเตรียมพร้อมที่จะรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น แม้จะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่ก็ผ่อนปรนกรรมให้บรรเทาเบาบางได้ อย่างเมื่อคราวสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ประเทศไทยเกือบจะสูญสิ้นเอกราชและถูกแบ่งแยกประเทศเพราะรัฐบาลไทยประกาศร่วมสงครามกับญี่ปุ่น ทำให้ประเทศต้องย่อยยับ แม้จะอ้างว่าทานกำลังอำนาจญี่ปุ่นไม่ได้ก็ตามยังดีที่มีกลุ่มคนไทยรักชาติ ทั้งในและต่างประเทศ ร่วมกันก่อตั้งขบวนการเสรีไทยขึ้นมาเมื่อสิ้นสงคราม ไทยจึงหลุดพ้นจากการถูกยึดครองและจ่ายค่าปฎิมากรรมสงครามถ้าจะมองอีกด้านหนึ่ง เป็นเพราะเมืองไทยเราเป็นเมืองพระพุทธศาสนา ชาวไทยในสมัยนั้นยึดมั่นในขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมอันดีงาม เคร่งครัดในคำสอนของพระพุทธองค์ ทำให้รอดพ้นมาได้ ดังพุทธทำนายที่ว่า "เวไนยสัตว์ผู้ขวนขวายในกุศลตามวัจนะของตถาคตก็จะระงับร้อนไม่รุนแรงบ้านเมืองใดมีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัยและคุณบิดามารดา เหตุร้ายภัยพิบัติ จักเบาบาง แต่ก็จะหนีกฎธรรมชาติไม่พ้น"
คำว่า"เหล็กกล้าจะทะยานจากน้ำ" อันนี้คงหมายถึงเครื่องบินที่ทะยานขึ้นมาจากเรือบรรทุกเครื่องบินนั่นเอง ท่านผู้อ่านจะเห็นได้ว่า คำพยากรณ์ของพระพุทธองค์นั้น ถ้าเข้าใจความหมายแล้ว ตีความออกมาไม่ยาก ไม่ต้องถอดรหัส ผสมอักษรให้วุ่นวายเหมือนคำพยากรณ์ ของท่าน"นอสตราดามุส"
ทีนี้เรามาตีความหมายของคำว่า"ยักษ์หินที่ถูกสาปให้หลับมาเป็นเวลานานจะตื่นขึ้นมาอาละวาดโลก"ในทัศนะของผม ผมเชื่อว่า"ยักษ์หิน" ก็คือ "ภูเขาไฟ"ที่ดับสนิทมาเป็นเวลานาน ตื่นขึ้นมาก็คือ ประทุขึ้นมาอีกที่เรียกว่า"ภูเขาไฟระเบิด"และเชื่อว่าถ้าจะถึงขั้นอาละวาดทำลายโลกแล้วล่ะก็คงไม่ใช่ลูกเดียวเป็นแน่ และเมื่อภูเขาไฟระเบิด (อาจเป็นภูเขาไฟใต้น้ำก็ได้) ดินฟ้าอากาศจะแปรปรวน ตลิ่งจะพัง ก็คือพื้นดินจะทรุดนั่นเอง แผ่นดินจะล่มเป็นทะเล โลกมนุษย์จะดิ่งสู่ความหายนะ นักปราชญ์จะถูกทำร้ายให้สิ้นสูญ (ตอนนี้เหมือนกับคำทำนายสุบินนิมิตของพระเจ้าปเสนทิโกศลที่ได้นำเสนอไปแล้ว)
ครับ เหตุการณ์ดังกล่าว พระพุทธองค์ตรัสว่า จะเกิดขึ้นหลัง ปี๒๕๐๐ ไปแล้ว การที่มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นมาบ้างแล้วอย่านึกว่าหลังปี ๒๕๐๐ จะไม่เกิดนะครับผมเองเชื่ออย่างยิ่งว่าจะต้องมีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นในโลกและจะยิ่งใหญ่ เสียหายมากว่าสงครามโลกครั้งที่สอง แต่จะเป็นปีไหนนั้น แม้ผมจะพอทราบก็ต้องขอปิดไว้ เพราะเป็นจรรยาบรรณของนักโหราศาสตร์ แต่การที่ท่านนอสตราดามุสหรือใครๆ ก็ตามที่เขียนเรื่องเกี่ยวกับนอสตราดามุส บอกว่าจะเกิดเหตุเลวร้ายในปีค.ศ1999 และ ค.ศ.2000 หรือ พ.ศ. ๒๕๔๒ ถึง พ.ศ. ๒๕๔๓ จนถึงขั้นโลกแตกทำลายนั้นผมไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด เพราะพุทธพยากรณ์ของพระพุทธองค์ทรงตรัสถึงศาสนาของพระองค์ท่านว่าจะมีอายุยืนนานึง ๕,๐๐๐ ปี ถ้าท่านเชื่อพระพุทธองค์ท่านก็จงเบาใจเถอะครับ แม้จะมีคนตายกันมาก คงยกเว้นท่าน หากท่านเป็นคนดี
เมื่อโลกผ่านกลียุคมาได้ ไม่ถึงกับแตกทำลาย พระพุทธองค์ท่านตรัสว่า " ในระยะนั้น ศาสนาของตาคตเสื่อมลงมาก เพราะพุทธบริษัทไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรมเชื่อคำของคนโกงกล่าวคำเท็จ ไม่เคารพหลักธรรมเนียม คนประจบสอพลอได้รับการเชื่อถือในสังคมผู้มีศีลธรรมประพฤติดีประพฤติชอบกลับไม่มีใครเคารพยำเกรงพระธรรมจะเริ่มเปล่งแสงรัศมีฉายส่องโลกอีกวาระหนึ่ง ก็ต่อเมื่อมีธรรมิกราชโพธิญาณบังเกิดขึ้นอยู่ในความอุปถัมภ์ของ พระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์ ทั้งสองพระองค์สถิตย์อยู่ ณ เบื้องทิศตะวันออกของมัชฌิมประเทศ จะเสด็จมาเสริมสร้างศาสนาของตาคต ให้รุ่งเรืองสืบไปถึง ๕,๐๐๐ พระวรรษา
ดูก่อนอานนท์ เวลานั้นพลโลกเหลือน้อยคำทำนายของตาคตนี้ ย่อมยังเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อ นับว่าเป็นกรรมของสัตว์โลก ที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน
ผู้ใดปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติให้รักษาศีล ๕ ประการเจริญเมตตากรุณา ประกอบสัมมาอาชีพมีใจสันโดษ รู้จักพอ ไม่โป้ปดคดโกง ไม่หลงมัวเมาอำนาจและลาภยศ ตั้งใจประพฤติตามคำสอนของตาคตให้มั่นคง จึงพ้นอันตรายในยุคกึ่งพุทธกาล
จากพุทธทำนายช่วงท้าย จะเห็นว่าพุทธศาสนาเสื่อมลงมาก จนกระทั่งมีผู้เป็นใหญ่ที่นับถือพุทธศาสนาบังเกิดขึ้นเป็นฆราวาส๑ และ บรรพชิต ๑ ได้สร้างเสริมบำรุง พุทธอาณาจักร ดำรงพระศาสนาให้คงอยู่ต่อไปจนถึง ๕,๐๐๐ ปีคำว่าอยู่ ณ เบื้องทิศตะวันออกของมัชฌิมประเทศความหมายอันนี้ผมขอตีความว่า หมายถึง"ประเทศไทย" เพราะมัชฌิมประเทศ น่าจะหมายถึงอินเดีย ทิศตะวันออกของอินเดียก็คือ ไทยไม่น่าจะเป็นประเทศอื่น เพราะประเทศไทยมีรากฐานทางพระพุทธศาสนาที่มั่นคง คงไม่ถูกทำลายสูญหายไปง่าย ๆ
ตอนท้ายของพุทธทำนายบอกว่า หากผู้ใดตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรม ประพฤติตนอยู่ในหลักคำสอนของพระพุทธองค์แล้ว โอกาสที่จะรอดพ้นอันตรายจากภัยพิบัติในกึ่งพุทธกาลมีมากท่านจะเชื่อหรือไม่สุดแต่ใจของท่าน เมื่อถึงเวลานั้น ตัวใครตัวมันครับสวัสดี