ตอนที่ ๓
ข้อ ๘. สุบินว่า" ได้เห็นกระออมใหญ่ใบหนึ่งมีน้ำเต็ม และมีโอ่งเปล่าล้อมกระออมใหญ่อยู่หลายใบ มีคนมาตักน้ำจาก ๘ ทิศ เทลงในกระออมที่มีน้ำเต็มอยู่แล้ว แทนที่จะเทลงในโอ่งเปล่าที่ไม่มีน้ำ ดังนั้นน้ำในกระออมจึงไหลล้นออกมา "ทรงพระพุทธทำนายว่า" คนที่รวยอยู่แล้วยิ่งมีคนยากจนมาหารายได้ให้หรือส่งเสริมให้รวยมากขึ้น การที่คนจนมาทำงานส่งเสริมให้คนรวยแทนที่จะสร้างฐานะให้ตนเองร่ำรวยก็เหมือนคนที่มาตักน้ำใส่กระออมอันมีน้ำเต็มอยู่นั่นเอง”
คงไม่ต้องอธิบายเพิ่มให้มากความ เพราะทุกวันนี้ก็เห็นกันอย่างชัดเจนอยู่แล้วว่าอัตราส่วนคนจนกับคนรวยนั้น ห่างกันมากขนาดไหน ไม่งั้นคงไม่มีเพลงมาร้องปาวๆ ว่า "เรามันจนก็ต้องจนต่อไปใครจะรวยเท่าไรก็ปล่อยให้รวยเสียให้เข็ด"
ข้อ๙.สุบินว่า "สระใหญ่แห่งหนึ่งมีบัวนานาชนิดขึ้นอยู่เต็ม มีท่าขึ้นลงอยู่รอบสระ สัตว์ต่างๆ พากันลงมาดื่มน้ำในสระ แต่แทนที่ริมสระน้ำจะขุ่น เพราะสัตว์ลงมาดื่มกินน้ำกลับใส ส่วนที่กลางสระที่สัตว์ต่าง ๆ พากันไปไม่ถึงนั้นแทนที่น้ำจะใสกลับขุ่นคลั่ก"ทรงพระพุทธทำนายว่า" ต่อไปผู้เป็นใหญ่ในประเทศจะไม่ตั้งอยู่ในธรรม มักรีดนาทาเร้นราษฏรในเมืองหลวง ทำให้ราษฏรทนไม่ได้ก็เลยอพยพไปอยู่ยังชายแดนหมด เมืองหลวงก็ว่างเปล่าไม่มีคนส่วนชายแดนหนาแน่นด้วผู้คน เหมือนกลางสระน้ำขุ่นริมสระน้ำใสนั้น"
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายก่อนเสียกรุง มีผู้คนไม่น้อยที่อพยพหลบหนีภัยสงครามบ้าง ภัยจากพวกขุนนางขี้ฉ้อบ้าง ออกไปอยู่นอกเมืองหรือจะเรียกว่า"เข้าไปอยู่ในป่าก็ได้" แม้กระทั่งพระยาวชิรปราการ หรือ พระยาตาก (สิน) ก็ยังรวบรวมสมัครพรรคพวก ฝ่าวงล้อมพม่าออกไปตั้งมั่นยังหัวเมืองชายฝั่งตะวันออกเลยเพราะทนความเหลวแหลกของผู้เป็นใหญ่ในสมัยนั้นไม่ไหว
มาดูในสมัยปัจจุบันบ้าง ผมกับท่านผู้อ่านยังนับว่าโชคดีที่ได้อพยพมาอยู่อเมริกามีเจ้าของตึกสูงเสียดฟ้าคนหนึ่ง ต้องขายกิจการ และทรัพย์สินทั้งหมด อพยพตัวเองและครอบครัวไปอยู่ต่างประเทศ เพราะทนต่อระบบการขอบริจาคที่คุณไม่ควรปฏิเสธ ไม่ไหว โลกของเราแคบลง หนีไปชายแดนก็คงจะหนีไม่พ้นหนีไปอยู่บ้านอื่นเมืองอื่นเสียเลย สงสารพี่น้องชาวไทยอีกหลายคน ที่อุตส่าห์ไปทำหนังสือเดินทางทิ้งเอาไว้ เพื่อปลอบใจตนเองว่า สักวันคงได้ไปอยู่ไปทำงานต่างประเทศกับเขาบ้างแล้วผลออกมาเป็นอย่างไรท่านผู้อ่านลองนึกต่อทีเถอะครับ
ข้อ ๑๐. สุบินว่า "เห็นข้าวหุงในหม้อใบหนึ่ง มี ๓ อย่าง คือข้างหนึ่งดิบ ข้างหนึ่งเปียก อีกข้างหนึ่งเป็นท้องเลน"ทรงพระพุทธทำนายว่า" ต่อไปเมื่อคนไม่อยู่ในศีลธรรมแล้ว ฝนก็จะไม่ตกโดยทั่วถึง ส่วนที่ไม่ตกเลยข้าวกล้าก็เหี่ยวแห้ง ส่วนตกพอดีข้าวกล้าก็งอกงาม เหมือนข้าวสุกในหม้อเดียวกันมีเป็น ๓ อย่าง"
ข้อ ๑๑ .สุบินว่า" เห็นคนเอาแก่นจันทน์ ราคาแสนตำลึง ไปแลกกับนมโคที่เสีย"
ทรงพระพุทธทำนายว่า "ต่อไปภิกษุอลัชชีไม่มียางอาย จะนำธรรมที่ตถาคตกล่าวติเตียนความโลภ ไปแสดงให้คนอื่นละความโลภแล้วพากันบริจาคจตุปัจจัยให้แก่ตน ภิกษุอลัชชีเหล่านั้นจะเที่ยวไปนั่งแสดงธรรมในที่ต่างๆ เพื่อหวังลาภ เหมือนคนเอาแก่นจันทน์อันมีค่า (ธรรมของพระพุทธองค์)ไปแลกกับนมโคเสียฉะนั้น(ทรัพย์สินเงินทองที่คนพากันมาบริจาค)"
ผมไม่ทราบเหมือนกันว่า การติดกัณฑ์เทศน์ หรือการถวายจตุปัจจัยไทยทาน แก่พระภิกษุสงฆ์ที่นั่งแสดงธรรมบนธรรมมาสน์นั้น เริ่มมีมาแต่สมัยใด เพราะผมเชื่อแน่ว่า ในสมัยพุทธกาลไม่มีการกระทำเช่นนี้ ในบรรดาเหล่าอุบาสกอุบาสิกาแน่นอน มิเช่นนั้นพระพุทธองค์ ท่านคงไม่ทรงมีพุทธทำนายเช่นนี้
ในเกร็ดประวัติตอนหนึ่งของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสีแห่งวัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพ ฯ เนื่องจากท่านเป็นพระนักเทศน์หรือ"ธรรมกถึกเอก"ในสมัยนั้น กิจนิมนต์การเทศน์ของท่านจึงมีมาก ไปเทศน์ครั้งหนึ่ง ๆ ได้ข้าวของเครื่องใช้ ผลหมากรากไม้ เป็นลำเรือทีเดียวแต่ท่านก็หาได้มีความโลภในอามิสที่ได้รับไม่ อย่างเช่นคราวหนึ่งในขณะที่กลับมาถึงวัดหลังกิจนิมนต์เทศน์เจ้าลูกศิษย์วัดสองคนที่ช่วยกันพายเรือพาท่านไปนั้น ได้เกิดเถียงกันในส่วนแบ่งข้าวของที่ติดกัณฑ์เทศน์ว่า" กองนี้ของข้าส่วนกองนั้นเป็นของเอ็ง " เจ้าอีกคนหนึ่งเห็นว่ากองที่ตนได้มันน้อยไม่คุ้มค่าเหนื่อยก็เกี่ยงงอนว่า "เฮ้ยไม่ได้ ของข้าต้องกองนี้เอ็งเอากองนั้นไป "เถียงกันอยู่นั่นแหละครับ จนสมเด็จโตท่านคงรำคาญเลยตัดบทพูดสัพยอกไปว่า "แล้วของฉันล่ะกองไหน ?" เท่านั้นแหละครับถึงยุติการถกเถียงกันลงไปได้ เพราะในการไปเทศน์แต่ละครั้งนั้นท่านไม่ได้เคยนึกอยากจะไปเทศน์เพราะหวังในอามิสแม้แต่ครั้งเดียว ข้าวของที่ได้มา ลูกศิษย์มักจะแบ่งกันไป หรือไม่เช่นนั้นท่านก็จะนำไปให้พระ เณร รูปอื่น หรือคนยากไร้ทุกครั้งไป นี่แหละครับ"เนื้อนาบุญอันเลิศของโลก"ที่แท้จริง และหาได้ยากในสมัยปัจจุบัน
บทความที่ผมเขียน ได้พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่กล่าวพาดพิงหรือวิพากษ์วิจารณ์บุคคลหนึ่งบุคคลใดหรือสาบันใดๆ ให้เกิดการเสียหาย เท่าที่ยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เห็นจริงนั้นเนื่องจากไม่สามารหาสิ่งใดมาเปรียบแทนได้ ดังนั้น หากมีสิ่งใดพลาดพลั้งล่วงเกินไปบ้าง ผมก็ต้องขอขมากรรมต่อทุกท่านที่พาดพิงถึงไว้ ณ โอกาสนี้ ขอได้โปรดอโหสิกรรม พบกันใหม่ในสุบินนิมิตที่เหลืออีก ๕ ข้อตอนหน้าครับ
ตอนที่ ๔
ข้อ ๑๒.สุบินว่า " ได้เห็นน้ำเต้าที่เขาคว้านไส้ออก เหลือแต่เปลือกเปล่า ซึ่งควรจะลอยน้ำแต่กลับจมดิ่งลงในน้ำ " ทรงพระพุทธทำนายว่า "ต่อไปถ้อยคำของคนชั่ว ไม่มีศีล ไม่มีธรรม จะมั่นคง ส่วนถ้อยคำของคนดีมีศีลธรรม จะอับเฉา เหมือนน้ำเต้าเปล่า แต่จมน้ำฉะนั้น "
ข้อนี้หากให้ผมวิจารณ์ คงต้องออกชื่อ"สมี"หลายต่อหลายคนแน่ เป็นอันว่าไม่วิจารณ์ดีกว่านะครับ ใครจะศรัทธาใครเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ผมไม่อยากขัดศรัทธาใคร เพราะรังแต่จะเกิดโทษมากกว่าประโยชน์สู้เอาเวลาไปขัดเกลากิเลสตนเองจะดีกว่า
ข้อ ๑๓.สุบินว่า"ได้เห็นหินก้อนใหญ่ ประมาณเท่าเรือน ลอยอยู่บนผืนน้ำเหมือนสำเภาหรือเรือใหญ่ ๆ ฉะนั้น "ทรงพระพุทธทำนายว่า" ต่อไปคนดีมีศีลธรรมจะไม่มีใครเคารพนับถือ จะเคารพนับถือแต่คนชั่วไร้ศีลไร้ธรรม เหมือนหินลอยน้ำฉะนั้น
ข้อนี้ต้องรอการพิสูจน์ในอนาคต เพราะปัจจุบันนี้คนดีมีศีลธรรมยังมีคนเคารพนับถืออยู่ถึงแม้จะมีบางกลุ่มที่เคารพคนชั่วไร้ศีลธรรมก็ตาม หากวันใดไม่มีใครนับือคนดีมีศีลธรรมแล้วล่ะก็ โลกของเราคงต้องถึงกาลวิบัติแน่
ข้อ๑๔.สุบินว่า "เห็นนางเขียดเล็กตัวหนึ่ง วิ่งไล่งูเห่าตัวใหญ่ไปโดยกำลังเร็ว แล้วกัดงูเห่ากลืนกิน" ทรงพระพุทธทำนายว่า "ต่อไปสามีจะอยู่ในอำนาจของภรรยา จะถูกภรรยาด่าว่าเช่นคนรับใช้เหมือนนางเขียดกินงูเห่าฉะนั้น"ข้อนี้ จะเรียกว่า"ภรรยาธิปไตย" ก็อาจจะไม่ถูกต้องนัก เป็นอันว่า ใครที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกับผม ก็ถือเสียว่าอยู่สมาคมคนรักเมีย โดยอุปโลกน์ผมเป็นนายกสมาคมก็แล้วกันนะครับ
ข้อ ๑๕. สุบินว่า "ได้เห็นหงส์ทองแวดล้อมด้วยกาในที่ต่างๆ " ทรงมีพระพุทธทำนายว่า " ต่อไปผู้มีตระกูลจะต้องเที่ยวประจบสวามิภักดิ์ผู้ไม่มีตระกูล เหมือนหงส์ทองแวดล้อมด้วยกาฉะนั้น "
เป็นไปได้ครับ ถ้าผู้ด้อยตระกูล เกิดถูกหวยรวยล็อตโต้ขึ้นมา จะจ้างบริวารที่สูงส่งด้วยศักดิ์ตระกูลแต่ด้อยด้วยสินทรัพย์มาเป็นข้ารับใช้ ห้อมล้อมหน้าหลังเท่าไรก็ได้ ตราบใดที่สังคมยังให้ความนับถือเงินตราว่าเป็น"พระเจ้า"อย่างที่ใครเขาพูดกันว่า"คนมีเงินทำอะไรไม่น่าเกลียด"ไงล่ะครับ
ข้อ๑๖.สุบินว่า "ได้เห็นแพะไล่ติดตามเสือเหลือง แล้วกินเสือเหลืองเสีย ภายหลังเสืออื่นๆ เห็นแพะแต่ไกลก็เกิดความหวาดกลัว พากันวิ่งหนีหลบซ่อนไปในที่ต่างๆ"ทรงมีพระพุทธทำนายว่า "ต่อไปศิษย์จะสู้ครูผู้น้อยจะข่มเหงผู้ใหญ่ คนดีจะถูกคนชั่วเบียดเบียนและจะต้องหลบหลีกซ่อนเร้นไปเพราะกลัวเหมือนเสือหนีแพะฉะนั้น"
จากพุทธทำนายทั้ง ๑๖ ข้อ จะสังเกตเห็นได้ว่า"เมื่อความเจริญทางด้านวัตุมีมากขึ้นเท่าไรในส่วนที่เป็นความเจริญในด้านจิตใจ ก็จะต่ำทรามลงมากเท่านั้น และจะต่ำถึงที่สุดถึงขั้นกลียุคเลยทีเดียว " ในสมัยพุทธกาลหรือโบราณกาลนั้น สังคมมนุษย์อยู่ด้วยกันอย่างสันติสุข เพราะสภาพสังคมที่เอื้ออำนวยในทางที่ดีอยู่ในครรลองของศีลธรรม ไม่ว่าจะเป็นสถาบันครอบครัว ที่มีสามี(พ่อ)เป็นหัวหน้าครอบครัวหรือ"ช้างเท้าหน้า " มีภรรยา (แม่) เป็นผู้คอยให้การสนับสนุนช่วยดูแลบ้านเรือน อบรมกุลบุตร กุลธิดา และบ่าวไพร่ในบ้าน ให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขด้วยหลักแห่งพระพุทธศาสนา และจารีตประเพณีที่งดงาม เมื่อหน่วยที่เล็กที่สุดของสังคมสงบสุขเรียบร้อยแล้ว สังคมโดยส่วนรวมย่อมจะสงบสุขเรียบร้อยไปด้วยเช่นเดียวกัน
แต่ยุคปัจจุบัน พุทธทำนายของพระพุทธองค์ได้ปรากฎเด่นชัดให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เสื่อมของจิตใจที่ไม่ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรมก่อให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย ไม่สงบสุขเหมือนดังแด่ก่อนซึ่งเราท่านจะไปตีโพยตีพายโทษใครคนหนึ่งคนใดหาได้ไม่เพราะมันเป็น"วัฎจักรแห่งธรรม" (ธรรมชาติ)มันย่อมมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป แม้แต่พระพุทธศาสนาของพระบรมศาสดาเอง เมื่อพระพุทธองค์ได้ทรงประกาศพระศาสนาแล้ว พระองค์ยังทรงมีพุทธพยากรณ์เกี่ยวกับอายุของพระศาสนาไว้เพียง๕,๐๐๐ ปีเท่านั้น ซึ่งนับว่ามีอายุน้อยที่สุดในภัทรกัปป์นี้ก็ว่าได้ครับ รายละเอียดในเรื่องนี้ผมจะนำมาเสนอแน่นอนในเร็ว ๆ นี้ อย่าพลาดที่จะติดตามนะครับ
พุทธฎีกาพยากรณ์
ตอนที่๑
ก่อนที่จะวิจารณ์พระพุทธฏีกาพยากรณ์ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กระผมใคร่ขอนำเสนอข้อความที่ถอดออกมาจาก"ศิลาจารึก" ในเขตมหาวิหาร สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย จากเอกสารเผยแพร่ธรรม ของพระเดชพระคุณ "พระราชสุทธิญาณมงคล (จรัญ ฐิตธัมโม) วัดอัมพวันอำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ให้ท่านได้ทัศนา เพื่อเป็นแนวทางเบื้องต้นดังต่อไปนี้
สาธุ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นพระสัพพัญญูรู้แจ้งโลกทั้งในอดีตและอนาคต ทรงมีเมตตากรุณาแก่สัตว์โลกเป็นล้นพ้น เมื่อครั้งพระองค์ดำรงพระชนมายุอยู่ ได้ตรัสแก่พระอานนท์ว่า
ดูกรอานนท์ เมื่อศาสนาตถาคตล่วงเลยไปถึงกึ่งพุทธกาล สัตว์โลกทั้งหลาย ที่เกิดในยุคนั้นจะพบแต่ความลำบากทุกชาติทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลก ที่หมุนไปใกล้ความแตกทำลายแผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟ มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทั่วทิศ
คนในสมัยนั้น (คือปัจจุบัน) จะมีวิสัยโหดดุจกำเนิดจากสัตว์ป่าอำมหิต จะรบราฆ่าฟันกันถึงเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ ส่วนเวไนยสัตว์ผู้ขวนขวายในกุศลตามวัจนะของตถาคต ก็จะระงับร้อนไม่รุนแรงบ้านเมืองใดมีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัยและคุณบิดามารดา เหตุร้ายภัยพิบัติจักเบาบาง แต่ก็จะหนีกฎแห่งธรรมชาติไม่พ้น
เริ่มแต่พระพุทธศาสนาล่วงเลย ๒,๕๐๐ ปีเป็นต้นไปไฟจะลุกลามมาทางทิศตะวันออกไหม้วัดวาอาราม สมณะชีพราหมณ์จะอดอยากยากเข็ญ ลูกไฟจะตกจากฟ้าเป็นเพลิงเผาผลาญเหล็กกล้าจะทะยานจากน้ำ มหาสมุทรจะชอกช้ำ สงครามจะทั่วทิศ ศึกจะติดเมือง ข้าวจะขาดแคลน ทั่วแคว้นจะอดอยากผีโขมดป่าจะเข้าเมือง พระเสื้อเมืองทรงเมือง จะหนีเข้าไพร ผู้เป็นใหญ่มีอำนาจจะเรียกแมลงผีเสื้อเหล็กนับแสนตัวมาปล่อยไข่เป็นไฟผลาญ ยักษ์หินที่ถูกสาปให้หลับมาเป็นเวลานานจะตื่นขึ้นมาอาละวาด โลกดินฟ้าอากาศจะแปรปรวน ตลิ่งจะพังแผ่นดินจะล่มเป็นทะเลโลกมนุษย์จะดิ่งสู่ความหายนะ นักปราชญ์จะถูกทำร้ายให้สิ้นสูญ ในระยะนั้น ศาสนาของตาคตเสื่อมลงมาก เพราะพุทธบริษัทไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรมเชื่อคำของคนโกงกล่าวคำเท็จ ไม่เคารพหลักธรรมนิยม คนประจบสอพลอได้รับการเชื่อถือในสังคม ผู้มีศีลธรรมประพฤติปฏิบัติดี กลับไม่มีใครเคารพยำเกรง
พระธรรมจะเริ่มเปล่งแสงรัศมีฉายส่องโลกอีกวาระหนึ่ง ก็ต่อเมื่อมีธรรมิกราชโพธิญาณบังเกิดขึ้น อยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์ ทั้งสองพระองค์สถิตย์อยู่ณ เบื้องทิศตะวันออกของมัชฌิมประเทศ จะเสด็จมาเสริมสร้างศาสนาของตาคตให้รุ่งเรืองสืบไปถึง ๕,๐๐๐ พระวรรษา
ดู่ก่อนอานนท์เวลานั้นพลโลกเหลือน้อย คำทำนายของตถาคตนี้ ย่อมยังเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อ นับว่าเป็นกรรมของสัตว์โลก ที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน
ผู้ใดปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติให้รักษาศีล๕ ประการ เจริญเมตตากรุณา ประกอบสัมมาอาชีพ มีใจสันโดษรู้จักพอไม่โป้ปดคดโกง ไม่หลงมัวเมาอำนาจและลาภยศ ตั้งใจประพฤติตนตามคำสอนของตาคตให้มั่นคง จึงพ้นอันตรายในยุคกึ่งพุทธกาล
ท่านผู้อ่านที่เคารพ พระพุทธทำนาย หรือพุทธฏีกาพยากรณ์ดังว่านี้ พระพุทธองค์ท่านทรงตรัสแก่พระอานนท์ พระพุทธอนุชา ซึ่งปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิดจวบจนเสด็จสู่ปรินิพพานอันพระอานนท์นั้นนับได้ว่าเป็นผู้ที่ฟังธรรมของพระพุทธองค์มากที่สุด เป็นบุคคลสำคัญในการสังคายนาพระไตรปิฏกครั้งที่๑ ท่านเป็นผู้ที่มีความจำเป็นเลิศ ท่านได้ถ่ายทอดหลักธรรมของพระพุทธองค์ที่ได้ยินได้ฟังมา แก่ที่ประชุมสงฆ์ และได้ใช้เป็นหลักคำสอนในพระพุทธศาสนามาจนทุกวันนี้
เมื่อพระพุทธองค์ทรงประกาศพระศาสนา ได้ทรงมีพุทธดำรัสว่าศาสนาของพระพุทธองค์นั้น จะมีอายุเพียง ๕,๐๐๐ ปีเท่านั้น ต่อจากนั้นโลกก็จะว่างจากศาสนา อยู่ในช่วงกลียุคจวบจนถึงวาระอันควร โลกก็จะอุบัติพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาใหม่อีกพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า"พระศรีอาริยเมตไตรย์" เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่๕นับเป็นองค์สุดท้ายในภัทรกัปป์นี้
ก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ท่านได้ตรัสถามแก่พระอานนท์ว่าในศาสนาของตถาคตรวม ๕,๐๐๐ ปี นี้ ใครจะขออะไรบ้าง
พระอานนท์ก็ทูลขอให้พระภิกษุสงฆ์ สามเณรภิกษุณี ชี พราหมณ์ อุบาสก อุบาสิกา เป็นผู้ดูแลและบำรุงพระศาสนาเป็นเวลา ๒,๕๐๐ปี พระพุทธองค์ก็ตรัสถามต่อไปว่า ใครจะขออะไรอีก เหล่าเทพยดาทั้งหลาย ทั้งพระอินทร์ พระพรหมจึงทูลขอให้เหล่าทวยเทพทั้งหลาย ได้ปรนนิบัติบำรุงพระศาสนา เพียงครึ่งหนึ่งของพระอานนท์ คือ ๑,๒๕๐ ปี พระองค์ก็ทรงอนุญาต และก็ได้ตรัสถามต่อไปอีกว่า ยังเหลืออยู่ ๑,๒๕๐ ปี นั้นเล่าใครจะขอต่อไป
บรรดาเหล่าครุฑาวาสุกรี คนธรรม์นาฏกุเวร นาคราช กินนร กินรี และภูติผีปีศาจ จึงทูลขอคุ้มครองดูแลและปรนนิบัติบำรุงต่อไปอีก ๑,๒๕๐ ปี โดยร่วมแรงร่วมใจกัน ผนึกกำลังกันไปจนกว่าศาสนาจะค่อย ๆ เรียวลงไป มนุษย์ก็จะเล็กลงๆ ไปตามลำดับ ถึงกับจะต้องขึ้นแป้นขึ้นบันได สอยลูกมะเขือ ปีนขึ้นต้นเก็บเม็ดพริก พระสงฆ์องคเจ้าก็จะร่อยหรอ เหลือไว้เพียงผ้าเหลืองผืนน้อยๆ ห้อยอยู่ที่หู เพื่อได้เป็นที่สังเกตดูว่า นั่นแหละพระสงฆ์ จนกระทั่งเล็กลง หรือเรียวลง เสื่อมลงจนหมดสิ้นพอดี ๕,๐๐๐ปี ตามพระพุทธฏีกากำหนดไว้
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ตอนหน้าค่อยมาว่ากันต่อไป ถึงรายละเอียดปลีกย่อยในส่วนของคำพยากรณ์แต่ละประโยคว่าจริงเท็จประการใด รักกันจริงอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปนะครับ