พุทธทำนาย
ตอนที่๑
เรื่อง “พุทธทำนาย” ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ได้มีการบันทึกเอาไว้ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา เป็นเรื่องที่มีการกล่าวถึงและรอผลการทำนายมาเนิ่นนานถึงกึ่งพุทธศตวรรษ ซึ่งข้อพิสูจน์บางอย่างก็ได้เห็นจริงแล้ว แต่บางอย่างยังคงต้องใช้เวลาพิสูจน์ต่อไปในอนาคต การทำนายของพระสัพพัญญูเจ้านั้น คงไม่ต้องใช้วิธีการใด ๆ ในทางโหราศาสตร์ทุกแขนง เพียงแต่พระพุทธองค์ท่านทรงกำหนดจิตพิจารณาเท่านั้น ก็ทรงมีพุทธทำนายออกมาได้ทันที ซึ่งปฐมเหตุแห่งพุทธทำนายนั้นมีความเป็นมาดังนี้
ในสมัยพุทธกาล ณ ราตรีหนึ่ง พระยาปัตเวน หรือ พระเจ้าปเสนทิโกศล จอมกษัตริย์ แห่งกรุงสาวัตถีได้ทรงพระสุบินนิมิต (ฝัน)ถึงเหตุประหลาด ๑๖ ประการ จนสะดุ้งตื่นจากพระบรรทม ทรงหวาดหวั่นเป็นกำลัง เมื่อไต่ถามพราหมณ์ปุโรหิตให้พยากรณ์ ก็มีคำพยากรณ์ออกมาว่าจะเกิดอันตรายขึ้น ๓ ประการ คือ ๑. อันตรายแก่ราชสมบัติ ๒. อันตรายแก่พระมเหสี ๓. อันตรายแก่พระชนม์ชีพของพระองค์ " ผลคำพยากรณ์พระสุบินนิมิตนี้ เพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ พราหมณ์ได้กราบทูลให้จับสัตว์มาอย่างละ ๔ ตัวเพื่อทำพิธีบูชายัญ
เรื่องนี้พระนางมัลลิกา (พระมเหสี) ได้ไปทูลถามพระพุทธองค์ พร้อมกับพระเจ้าปเสนทิโกศล ถึงพระสุบินนิมิตอันแปลกประหลาด จึงได้รู้ความจริงจากพระบรมศาสดาว่า "มหาสุบินนิมิต ๑๖ ประการนั้น จะไม่บังเกิดในขณะนั้น และมิได้บังเกิดในรัชกาลของพระองค์ " จึงทำให้พระเจ้าปเสนทิโกศลเลิกพิธีจับสัตว์มาบูชายัญเสีย ด้วยจะเป็นกรรมเวรสืบกันไป และไม่บังเกิดผลดีอย่างไร
การที่พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทรงพระสุบินนิมิตเหตุประหลาดถึง ๑๖ ประการนั้นเป็นเพราะเทวดาคงจะต้องการบอกเหตุ โดยอาศัยพระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นสื่อ และยังได้ดลใจให้ไปทูลถามพระพุทธองค์จึงได้เกิดคำพยากรณ์ขึ้นเป็นวิสามัญเหตุ และอุบัติการณ์ที่อยู่ในข่ายพระบารมีของสมเด็จพระบรมศาสดาจะได้ทรงตรัสคำพยากรณ์อันเป็นอมตะนี้ ซึ่งรายละเอียดของพระสุบิน และคำพยากรณ์ เป็นอย่างไรก็ขอเชิญท่านผู้อ่านได้สดับ และวินิจฉัยเป็นข้อ ๆ ดังนี้
ข้อ ๑. ในสุบินว่า"ได้เห็นโคอุสุภราชสีดำ ๔ ตัว มาแต่ทิศทั้ง ๔ ทำอาการเหมือนจะชนกันที่หน้าพระลานหลวง ครั้นมหาชนมามุงดู โคอุสุภราชทั้ง ๔ ทำเหมือนจะชนกันจริง ๆ ส่งเสียงคำรามร้องกึกก้อง แล้วต่างตัวต่างก็ถอยหลังไปไม่ชนกันอย่างที่คิด"
มีพุทธพยากรณ์ว่า "จะมีเมฆดำตั้งขึ้นในทิศทั้ง ๔ เสียงฟ้าลั่นอยู่ครืน ๆ ทำทีเหมือนฝนจะตก แต่ก็มิตก ทำให้เกิดการเสียหายแก่พืชผล เกิดข้าวยากหมากแพงในประเทศ"
ถ้านำเอาพุทธพยากรณ์มาเปรียบเทียบกับดวงดาวในวิชาโหราศาสตร์ "โคอุสุภราชสีดำทั้ง ๔ตัว สีดำ ก็คือ ดาวเสาร์ ซึ่งหมายถึงความทุกข์ยากแห้งแล้ง ส่วนโคอุสุภราช หมายถึง เมฆฝน เพราะเป็นสัตว์สวรรค์บนท้องฟ้า คล้ายเมฆดำอันหมายถึง โคดำ นั่นเอง"
ข้อ ๒. สุบินว่า "เห็นต้นไม้และกอเล็ก ๆ ผุดขึ้นจากดินแล้วเจริญขึ้นโดยลำดับ ผลิตดอกออกผลในขณะที่เล็กๆอยู่นั้น"
ทรงพระพุทธทำนายว่า "โลกสมัยต่อไปจะเสื่อม อายุผู้คนจะสั้น แต่กิเลสกลับร้อนแรงขึ้น จะสมสู่กันแต่เล็ก ๆ จนเกิดลูกหลานเมื่ออายุยังน้อย เหมือนต้นไม้เล็กมีดอกผลฉะนั้น"
พุทธทำนายข้อนี้ ปัจจุบันได้บังเกิดให้เห็นกันบ้างแล้ว ถึงแม้ความเจริญทางด้านการแพทย์จะสูงขึ้น แต่คนก็ยังอายุสั้นและตายกันง่ายอยู่ดี เพราะสภาพมลภาวะที่เป็นพิษ และอาวุธที่ทันสมัย ฆ่ากันให้ตายได้ในพริบตาเดียว นี่ขนาดยังไม่รวมถึงโรคร้ายที่รักษาไม่หาย เช่น เอดส์ หรือ มะเร็ง ส่วนการที่คนมีกิเลสตัณหามากขึ้น มีการสมสู่กันแต่เล็ก ๆ หรือผู้ใหญ่เองก็เถอะ นิยมสมสู่กับเด็ก ๆ อายุไม่เกิน ๑๓ เมื่อสัก ๖ หรือ ๗ ปี ก่อน เคยมีข่าวว่า มีเด็กคนหนึ่ง อายุ ๑๑ ขวบ (จีนไต้หวัน) คลอดลูกออกมา แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เชื่อในพุทธทำนายได้อย่างไรล่ะครับท่าน
ข้อ ๓. สุบินว่า "แม่โคดูดนมลูกโค ซึ่งเกิดในวันนั้น" ทรงพระพุทธทำนายว่า" ต่อไปการเคารพนบนอบต่อผู้ใหญ่ เช่น พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ จะเสื่อมถอยลง และในทางตรงกันข้าม ผู้ใหญ่ต่างหากจะต้องประจบเด็ก เหมือนแม่โคดูดนมลูกโคฉะนั้น"
ในปัจจุบัน ผู้ใหญ่ในความคิดของเด็ก ๆ เหมือนหัวหลักหัวตอ ไอ้ที่จะมาเคารพนบไหว้นั้น ไม่ค่อยจะมีให้เห็น เมื่อสัก ๕ หรือ ๖ ปี มานี้ ได้มีลัทธิอุบาทว์ เข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทย มีคนหลงเข้าไปเป็นสาวกอยู่มาก มาจากพวกเกาหลีหรือญี่ปุ่นนี่แหละ มีการสอนให้ทำสมาธิ สอนไปสอนมาดันสอนออกมาได้ว่า "พ่อแม่มีหน้าที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดู ไม่ได้ถือเป็นบุญคุณอะไร" ตอนหลังกระทรวงศึกษาธิการทราบเข้า ก็เลยสั่งปิดสำนักต่าง ๆ ไปเสียหลายแห่ง และห้ามนำมาเผยแพร่เด็ดขาด ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ยังมีการลักลอบสอนกันอยู่หรือเปล่าในปัจจุบัน
เรื่องที่ผู้ใหญ่ต้องมาประจบเอาอกเอาใจเด็กก็เหมือนกัน มีให้เห็นกันดาษดื่น ประเภทรักลูก โอ๋ลูกจนลูกเสียคน ดูอย่างนายพลคนหนึ่ง ที่ลูกชายไปก่อเวรสร้างกรรมกับภรรยา ที่มีดีกรีเป็นถึงรองนางสาวไทยและยังไปก่อวีรเวรกับชาวบ้าน ทำให้เดือดร้อนกันทั่ว แม้กระทั่งตำรวจบนโรงพักยังโดนเลย แต่แทนที่ผู้เป็นพ่อจะเห็นกับคุณธรรมหรือส่วนรวม กลับเข้าข้างลูกตนชนิดดำเป็นขาวทีเดียว นี่แหละหนาโลกยุคปัจจุบันสมดังพุทธทำนายไม่ผิดเพี้ยนเลย ยังมีพระสุบินนิมิตและพุทธทำนายอีก ๑๓ ข้อ คงต้องติดตามกันในตอนต่อไปแล้วล่ะครับ
ตอนที่ ๒
พุทธทำนาย เกี่ยวกับสุบินนิมิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล ก็ได้ผ่านสายตาของท่านผู้อ่านไปแล้ว ๓ ข้อ ยังเหลืออยู่อีก ๑๓ ข้อ เพื่อไม่ให้เสียเนื้อที่ในการนำเสนอ ก็ขอว่ากันถึงข้อต่อไปเลยนะครับ
ข้อ ๔. สุบินว่า "เห็นคนเอาโคกำลังเอก หรือมีพละกำลังแข็งแรง ปล่อยปละเอาไว้ไม่นำเข้าเทียมแอก แต่กลับนำเอาโครุ่นที่ปราศจากกำลัง มาใช้เทียมแอกแทน ซึ่งเจ้าโครุ่นเมื่อไม่สามารนำเกวียนแล่นได้ ก็สลัดแอกนั้นเสีย" (โครุ่น เปรียบเหมือนเด็กวัยรุ่น ๑๕-๑๖, โคกำลังเอก เหมือนผู้ใหญ่วัยฉกรรจ์)
ทรงพุทธพยากรณ์ว่า "ต่อไปผู้มีปัญญาจะไม่ได้รับการยกย่องในหน้าที่ราชการ แต่ยศศักดิ์จะถูกนำไปให้แก่หนุ่มโง่ ๆ ซึ่งไม่สามารจะปฏิบัติราชการให้ดีได้ เหมือนคนปล่อยโคมีกำลังออก แล้วนำโครุ่นมาเทียมแทนนั้น"
ข้อนี้จริงแท้แน่นอน เหมือนกับคำพังเพยที่ว่า "ผู้ดีเดินตรอก ขี้ครอกเดินถนน"ฉันใดก็ฉันนั้นขอยกตัวอย่างเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยา ก่อนที่จะเสียกรุงครั้งที่ ๑ ในรัชสมัยของสมเด็จพระมหินทราธิราช ที่ทรงหลงกลพระเจ้าบุเรงนองที่แกล้งปล่อยพระยาจักรี ที่ถูกจับได้ในสงครามคราวก่อน ให้มาเป็นไส้ศึก เมื่ออำนาจการบัญชาการสูงสุดในการป้องกันพระนครตกอยู่กับคนชั่วอย่างพระยาจักรี มันก็แกล้งสับเปลี่ยนตำแหน่งให้คนอ่อนแอ ไม่เอาไหน อยู่ด้านหน้า คนดีมีฝีมือก็ย้ายไปอยู่เสียด้านอื่นที่ไม่มีข้าศึกมาประชิด หากใครกล้าหือ ก็จะถูกกำจัดเสียด้วยเล่ห์กล ต่าง ๆ และอำนาจที่มีอยู่ขนาดพระศรีเสาวภาคย์ พระอนุชาแท้ ๆ ของพระมหินทร์ ที่มีความสามารถมากในการป้องกันพระนครยังถูกใส่ความว่าจะเป็นกบฎ จนต้องพระราชอาญาถึงประหารชึวิตในที่สุด
มาดูในสมัยปัจจุบันกันบ้าง ไม่ต้องอื่นไกล ก็ดูอย่างรัฐมนตรีท่านหนึ่ง ที่ชื่อพม่า หน้าลาว เว้าเขมรนั่นประไร มีความรู้ความสามารถอะไรในด้านการคลัง เมื่อสะเออะอยากจะมาบริหารประเทศในด้านนี้ แล้วผลออกมาเป็นอย่างไร เศรษฐกิจของไทยต้องพังพินาศยิ่งขึ้นจนเป็นเหตุให้ผู้คนต้องเดือดร้อนเพราะค่าเงินบาทมาจนทุกวันนี้ ให้คนร้องยี้จนขาดใจตาย คนพรรค์นี้ไม่มีทางรู้สำนึกหรอกครับ ทุกวันนี้ก็ยังมีวาสนาได้บริหารประเทศอีกวาระหนึ่ง ถ้ามีคนลักษณะนี้เข้ามาบริหารประเทศมาก ๆ กรุงรัตนโกสินทร์ก็คงถึงคราวพินาศเหมือนกรุงศรีอยุธยาได้เหมือนกันนะครับ
ข้อ ๕. สุบินว่า "เห็นม้าตัวหนึ่งมีปากสองข้าง คนสองคนยื่นข้าวให้ม้าคนละปาก ม้าเคี้ยวข้าวกล้าด้วยปาก ๒ข้างนั้น” ทรงมีพุทธทำนายว่า ต่อไปผู้ใหญ่ในประเทศจักโลเล ไม่ยุติธรรม รับสินบนจากคู่ความทั้งสองฝ่าย แล้วตัดสินตามใจชอบของตน เอาแต่สินบนเป็นประมาณ เหมือนม้าเคี้ยวข้าวกล้าด้วยปากทั้งสองข้างฉะนั้น
ท่านผู้อ่านคิดว่าคนประเภทเห็นสินบนเป็นสรณะ ดั่งพุทธทำนายมีไหมครับในปัจจุบัน หรือหลังจากพุทธกาลล่วงมาแล้ว ถ้านึกไม่ออกลองหาละครประวัติศาสตร์ของไทย เช่น เรื่องสมเด็จพระนเรศวรมหาราช , สมเด็จพระศรีสุริโยทัย หรือละครจีนเรื่อง เปาบุ้นจิ้นมาดูซิครับ คงจะเห็นภาพพจน์ ตามพุทธทำนายได้ชัดเจนยิ่งขึ้นกระมัง
ข้อ ๖. สุบินว่า "คนเอาถาดทองคำราคาแสนตำลึง เอาไปให้สุนัขจิ้งจอก แล้วสุนัขนั้นก็ถ่ายปัสสาวะในถาดทองคำนั้น" ทรงมีพระพุทธทำนายว่า "ต่อไปคนดีมีตระกูลจะยากไร้สิ้นอำนาจวาสนา คนตระกูลต่ำจะได้เป็นใหญ่ ผู้มีตระกูลจะยกลูกสาวให้แก่ผู้ไม่มีตระกูล เหมือนสุนัขจิ้งจอกถ่ายปัสสาวะลงในถาดทองคำนั้น"
เคยได้ยินคำว่า "ผู้ดีตกยาก" ใช่ไหมครับ แล้ว "ขี้ข้าครองเมือง" ล่ะ ก็คงได้ยินเหมือนกัน เมื่อก่อนนี้ มีคำพังเพยว่า "สิบพ่อค้าไม่เท่ากับหนึ่งพระยาเลี้ยง" แต่สมัยปัจจุบันนี้ คำพังเพยข้อนี้ใช้ไม่ได้แล้วเพราะพวกพ่อค้านักธุรกิจทั้งหลายต่างก็มียศศักดิ์เป็นถึงรัฐมนตรี หรือ เสนาบดี หลายต่อหลายท่าน พวกข้าราขการประจำน่ะหรือ ขืนไม่เป็นสนลู่ลมล่ะก็ มีหวัง เด้ง ดึ๋ง ดึ๋ง แน่ ดีไม่ดีหากอยากก้าวหน้าหรือรักษาเก้าอี้เอาไว้ ถ้ามีลูกสาวสวย ๆ ล่ะก็ อาจจะนำไปเป็นเครื่องบรรณาการแด่ท่านผู้เป็นใหญ่ที่มาจากตระกูลต่ำต้อย สมดังพุทธทำนายก็ได้นะครับ
ข้อ ๗. สุบินว่า " เห็นบุรุษหนึ่งนั่งฟั่นเชือกอยู่บนตั่ง หย่อนปลายเชือกที่ฟั่นแล้วห้อยไปใต้ตั่งสุนัขจิ้งจอกตัวเมียนอนอยู่ใต้ตั่ง หิวจัด ได้กัดกินเชือกที่บุรุษฟั่นนั้นเรื่อย ๆ ไป ยิ่งฟั่น ก็ยิ่งหมดลงไปทุกทีแต่บุรุษนั้นหารู้ไม่" ทรงมีพระพุทธทำนายว่า " ต่อไปหญิงทั้งหลายจะเหลาะแหละกับผู้ชาย และชอบเสพสุรา ชอบซื้อแต่เครื่องประดับตกแต่งตน ชอบทำเสน่ห์ยาแฝด มิได้เหลียวแลการบ้าน ชอบคบชู้ จะผลาญทรัพย์ที่สามีหามาได้ด้วยความลำบากให้หมดสิ้นไป เหมือนนางสุนัขจิ้งจอก หิวจัด เคี้ยวเชือกที่บุรุษฟั่นนั้นให้หมดไป"
ข้อนี้ไม่ขอวิจารณ์ สุดแท้แต่ท่านผู้อ่านจะใช้วิจารณญาณเอาเอง ตัวใครตัวมันครับ เนื้อที่หมดแล้ว ก็คงจะต้องว่ากันต่อในตอนหน้า อย่าพลาดนะครับ
|