หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    กฎแห่งกรรม-อาจารย์ฟ้อน ชดใช้กรรม(2)

    กฎแห่งกรรม-อาจารย์ฟ้อน ชดใช้กรรม(2)

    เราจับสัตว์แบบนี้มานาน สัตว์ปากขาด ปากฉีกทุกตัว เราก็เอามากินบ้าง เอามาขายบ้าง ก็เป็นอย่างนี้มาตลอด
    ต่อมาเราก็มีครอบครัว มีลูก มีเมีย มีลูก 3 คน ลูก 3 คนที่เกิดมาปากแหว่ง ปากฉีกทุกคน พิการหมด เมียเราก็พูดว่า “เพราะไปทำบาป ทำกรรมจับสัตว์จับปลาแล้วทารุณมัน” เราก็เห็นว่า น่าจะจริง ตั้งแต่นั้นเลิกจับปลา จับเต่า และจับสัตว์น้ำเรื่อยมา
    ตอนหลังพออายุมากเข้า เห็นลูกๆ ก็สงสาร ที่เกิดมาพิการ ปากแหว่ง ปากฉีกทุกคน เราก็เลยบวชเป็นพระแต่บุญไม่ถึง พอเริ่มจะบวชเข้าพิธีขานนาคเท่านั้น ก็เป็นลมขาดใจตายเลยก่อน ตายที่ประตู หน้าโบสถ์ที่วัดนั่นแหละ ก็หมดไปชาติหนึ่ง
    ทีนี้เกิดมาใหม่ หลังจากที่ไปรับวิบากเสียนานแสนนานในที่ที่สุดจะทรมาน พอหมดวิบาก ก็มาเกิดใหม่ ที่เกิดมาเป็นคนนี่ก็เพราะกุศลธรรมที่ตั้งใจจะบวชในพระศาสนานั่นเอง แม้จะบุญไม่ถึง ไม่ได้บวชก็ตาม แต่ด้วยเจตนาที่จะบวช จะทำความดี กุศลก็เลยส่งให้เกิดมาเป็นคนนี่แหละ
    แต่ว่าการเกิดมาก็พิการคือเพดานโหว่โหว่มาก พูดก็ไม่ชัด เสียงก็อู้อี้ พ่อแม่ก็กลุ้มใจ พอโตขึ้น พ่อพาเราไปหาท่านพระครูที่วัด ท่านก็บอกว่า “กรรม...กรรมเก่าที่ทำไว้มันให้ผล จะรักษาอย่างไรก็ไม่ได้ “ท่านบอกว่า” เอายังงี้ซิ เอาแผ่นแบนๆ กลมๆ แบบเหรียญบาท ใส่ไว้ที่เพดานปากที่มันโหว่ ก็จะช่วยได้บ้าง”
    เหรียญบาทสมัยก่อนนั้นมันมีขนาดใหญ่มาก มากกว่าเหรียญบาทเดี๋ยวนี้ เรายังเด็กอยู่ก็ไม่สนใจอะไร แต่พอเป็นหนุ่มเข้า ก็เกิดความละอายเลยลองเอาเหรียญบาทใหญ่มาอุดรูโหว่ ที่เพดานปาก ก็โชคดี มันเข้าอุดที่โหว่ได้พอดี ก็ลดความน่าอาย ความทรมานลง พูดจาไม่อู้อี้ เหมือนเดิมเท่าไหร่ แต่เสียงมันก็ไม่ปกติเหมือนคนทั้งหลาย
    พอหนุ่มขึ้นก็พอหาคนแต่งคนได้โดยไม่ลำบากนัก เพราะเขาไม่รู้
    ก่อนแต่งงานเราก็บวชเสีย 3 พรรษา ก็บวชที่เมืองปทุมธานีนี่แหละ เผอิญวัดที่บวชมีพระเขมรอยู่รูปหนึ่งสักเก่ง ว่าคาถาอาคมขลัง ผู้คนขึ้นมากมาย เราก็สนใจ เลยสมัครเรียนคาถาอาคมกับท่าน เรียนบทปัถมังเรียนเสน่ห์ยาแฝด เรียนเสก คุณเสกไลย เรียนวิชาอยู่ยงคงกระพัน เรียนทุกอย่างแต่ไม่ได้เรียนทางนักธรรม หรือเรียนทางเปรียญธรรม
    เราบวชเป็นพระอยู่ 3 ปี พอเห็นว่าอายุสมควรก็สึก พอสึกออกมาก็มีเมีย เมียก็เป็นคนที่อยุธยา แรกๆ เขาก็ไม่รู้หรอกว่าเราพิการ รู้แต่ว่าบ้านช่องที่ทางมีอยู่ที่เมืองปทุม มีที่มีนา
    พอแต่งงานแล้ว มีลูกแล้ว ลูกก็พิการอีก คราวนี้ดั้งจมูกแฟบเหมือนพ่อมันเลย อาศัยที่เคยเป็นพระหมอดูมา ก็เลยรับทำนายทายทัก ดูดวง ผูกดวง สวดคาถา ปัดรังควาน สะเดาะเคราห์ต่างๆ ผู้คนก็ชักรู้ๆ ขึ้นก็มาหาสู่มากขึ้นทีละน้อยๆ จนชื่อเสียงโด่งดังในทางลงคาถาอยู่ยงคงกระพัน มีนักเลงต่างๆ ขึ้นแยะ การเงินก็ดีขึ้น ชักร่ำรวยก็พอดีเกิดสงครามญี่ปุ่นบุกพอดี บ้านเมืองถูกโจมตี มีภัยทางอากาศแทบทุกวัน ก็เกิดความคิดจะหากินทางสักกระหม่อมลงนะคลาดแคล้ว นะอยู่ยง ก็พอดีพรรคพวกที่เคยบวชอยู่ด้วยกันมาพบเข้า ก็ส่งเสริมแนะนำ
    ในที่สุด เราก็แสดงอภินิหาร โดยความคิดของบริวารมาแสดงตัวเป็นลูกศิษย์ไปหาเหรียญบาทแบบโบราณมาเป็นเหรียญใหญ่สอง
    สามอัน พอได้มาก็เอามาอุดรูโหว่ที่เพดานในปาก
    ที่นี่พวกนั้นก็เกิดความคิดต่อไปอีกว่า ให้เอาลูกยางโป่งขนาดเล็ก ใส่หมึกแดงบรรจุไว้ แล้วยัดเข้าไปในรูโหว่ที่เพดานปาก จากนั้นก็ทำเป็นเอามีดเจาะลูกยางโป่งให้แตก หมึกแดงก็จะไหลออกมาทางปาก แล้วก็เอาหมึกแดงนั่นแหละ ที่หลอกเขาว่าเป็นเลือดเอามาทำเป็นหมึกแดงสำหรับลงยันต์ โดยใช้เหล็กจารใบลานมาเขียนขยุกขยิกที่กระหม่อมคนที่มาสมัครมาลงอาคม เราก็เห็นดี ก็ลองทำดูหลายครั้งที่บ้านพรรคพวก ก็ทำได้คล่องขึ้น ๆ ทำท่าทำทางให้ขลัง เอาค้อนมากระแทกเหล็กจารใบลานให้แรงๆ ปลายเหล็กที่แหลมก็กระแทกลูกยางโปงที่ใส่หมึกไว้ ลูกยางก็แตก หมึกก็ไหลออกมา ก็เอาถ้วยตะไลรองไว้
    พอชำนาญก็ให้พรรคพวกทำตัวเป็นลูกศิษย์ ออกไปโพนทะนา “มีอาจารย์ดี เจาะเลือดจากในปากมาลงกระหม่อมให้อยู่ยงคงกระพันคลาดแคล้วภัยต่างๆ จะทำเสน่ห์ยาแฝด ทำไสย ทำคุณ ทำได้ทั้งนั้น”
    ผู้คนต่างก็มาดูกัน พอเห็นเข้าก็เกิดเชื่อ เพราะเห็นๆ อยู่ว่า เราเอาเหล็กแหลมแทงเข้าไปในปาก แล้วเลือดแดงก็ไหลออกมา ก็ได้ค่ายกครูค่าบูชาครูมากขึ้นๆ ได้แบ่งกันกับพรรรคพวกที่ทำตัวเป็นลูกศิษย์
    ขณะเดียวกันก็ตั้งขันสีดำ ๆ แบบบาตรพระไว้1 ใบ โดยเรี่ยไรชาวบ้านที่มาลงกระหม่อม ว่าจะไปทำบุญที่วัดวัดไหนก็ได้ แต่งชื่อขึ้นเอง
    ต่อมาเราก็เกิดความคิดจะทำของขลังขายด้วย ก็ลงมือให้พรรคพวกทำตะกรุดทองแดงขนาดเล็ก ยาวสักนิ้วเดียว ใส่ใว้ในย่าม พอไปถึงที่ไหนทำพิธีลงกระหม่อมหมึกแดงเสร็จแล้วก็จะให้ผู้คนที่มาบูชาตะกรุดไปไว้ห้อ
    ยคอเพื่อเป็นเครื่องรางเลย โดยพวกหน้าม้าจะเป็นผู้พูดว่า
    “ใครอยากได้ของขลังก็ขอท่านซิ ขอบูชาไปคล้องคอราคาไม่เท่าไหร่หรอก เครื่องรางนี้เหนียวมากฟันไม่เข้า”
    จากนั้นผู้คนก็มาขอซื้อไป ตะกรุดละร้อยสองร้อย ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอขาย ได้เงินวันละเป็นพัน ฐานะก็ดีขึ้นตามลำดับ
    ต่อมา เราถูกเชิญไปนครนายกเพื่อไปทำพิธีลงกระหม่อที่วัดใหม่ ลูกศิษย์ลูกหามาสมัครกันเยอะแยะเราก็ไป พอไปถึงศาลาวัด เราก็เข้าไปหาท่านสมภาร นมัสการบอกท่านเสียก่อนตามธรรมเนียม โดยจะแบ่งให้วัดตามสมควร ท่านสมภารก็ดีใจ จัดที่จัดทางให้ พอได้เวลาผู้คนมากมายพวกเราก็ลงมือทำพิธี เจาะกระแทกเพดานในปาก รองเลือดออกมาจานหนึ่ง แล้วก็ลงกระหม่อมให้ผู้คนที่มาก้มศรีษะะคอยอยู่
    ทีนี้ โชคไม่ดี มันก็เพราะหลอกเขามามาก คราวหนึ่งขณะที่เอาค้อนตีเข้าที่ด้านเหล็กจาร พอตีเข้าไป ลูกโป่งที่ใส่หมึกแดงไว้มันก็ตกหลุดลงมาขณะที่กำลังอ้าปากรองน้ำที่ไหลออกมาลูกโป่ง ก็ตกลงมาอยู่ในจานรอง หมึกก็แตกออกมา ผู้คนก็แลเห็นหมด ต่างก็ตะโกนว่า “หลอกลวงๆ เอาหมึกแดงใส่ไว้ในลูกโป่ง” จะฮือกันล้อมกรอบดีทีท่านสมภารท่านช่วยไว้ เรารีบวิ่งหนีแทบไม่ทัน พรรคพวกต่างก็โกยแน่บ วิ่งเหมือนหมายังไงยังงั้น แล้วก็หนีลงเรือกลับเลย
    ต่อจากนั้น เรากับพรรคพวกก็มาหาวิธีใหม่ เอาให้มันแนบเนียนกว่าที่เป็นมา ในที่สุดก็พบว่า ใช้กระเพาะปลาเค้า แล้วบรรจุเลือดปลาเค้าให้เต็ม เลือดปลาเค้ามันไม่แข็ง พอใส่แล้วมันก็โป่ง เหนียวๆ ไม่โป่งแบบน้ำหมึก
    เราต้องไปหาซื้อปลาเค้ามาทีละตัวสองตัว บางทีก็หลายตัว เอามาเลี้ยงไว้ในกระชังหลังบ้าน พอจะไปหลอกทำพิธีลงกระหม่อน ก็ฆ่าปลาเค้ารองเลือดไว้ เลาะเอากระเพาะมันออก เอาเลือดใส่ให้เต็ม ปลายข้างหนึ่งก็ผูกเชือกไว้ แล้วยัดเข้าไปในรูโหว่ในปากที่มีเหรียญบาทอุดไว้ แก้ไขเล็กๆ น้อยๆ ก็พอดี ทำอย่างไรๆ ไม่หลุด เลือดที่ออกมาก็มีกลิ่นคาวพอควร เรียกว่าสนิทแนบเนียนมากขึ้น
    เราฝึกจนชำนาญ จากนั้นก็เริ่มทำมาหากินสักกระหม่อมเลือดขายตะกรุด ขายแหวนหัวใจอิติปิโส เรื่อยมาชื่อเสียงก็โด่งดังขึ้น ผู้คนขึ้นมาก
    ตลอดระยะเวลาสงคราม 4 ปี เศษๆ เงินที่ได้ มาเราก็แบ่งให้พวกลูกศิษย์บ้าง แบ่งถวายพระที่เราอาศัยไปทำพิธีบ้างวัดละนิดๆ หน่อยๆ เงินเรี่ยไรว่าจะไปทำกฐิน ผ้าป่า ก็พูดไปยังงั้นๆ แหละ อย่างดีก็แบ่งถวายพระไปสักร้อยสองร้อย เงินที่ได้มันเป็นพันๆ ไม่เดือดร้อนอะไร พอมีเงินมีทองมากขึ้นก็ย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านปทุมธานก็รับทำพิธีที่บ้านต่อไปเรื่อยๆ

    ต่อมามีลูกศิษย์ลูกหามาบอกว่า “มีผู้คนมากมายขอเชิญไปที่ฉะเชิงเทรา ซึ่งการไปที่นั่นลำบาก ต้องขึ้นรถไฟ แล้วลงเรือ ไปพักทีบ้านคนที่เขาเชิญ แต่สัญญาว่าไปเช้าเย็นกลับ อย่างดีก็ค้างคืนเดียว ทั้งนี้เพราะเรากลัวว่ากระเพาะปลาเค้าที่ใส่เลือดปลาไปด้วยมันจะเน่า ต้องเอาใส่ถุงน้ำแข็งไปด้วย
    พอไปถึงก็ลงมือลงกระหม่อมกันเลย ผู้คนมากมายมาคอยทำพิธี เราก็ลงมือสวดมนต์ให้มันขลัง เรียกความเชื่อถืออย่างเก่า
    แต่คราวนี้มันถึงคราวเคราะห์เหรียญบาทมันย่อมหน่อย อันเขื่องลืมเอาไป มันปิดช่องโหว่ในปากไม่สนิทเท่าไหร่ พอเอากระเพาะปลาเค้าที่ใส่เลือดไว้ จุกลงไป มันก็ลงได้ แต่รูโหว่มันออกจะหลวมๆ พอได้เวลา ก็ทำพิธีเอาเหล็กจารใบลานอันเก่ามาใส่เข้าในปากเอาค้อนมาตีกระแทก ที่ด้ามเหล็กจารอย่างเคย ก็กระแทกปลายให้สมจริงสมจัง คือแรงหน่อย เหล็กที่จ่อไว้ที่กระเพาะปลาก็เจาะทะลุกระเพาะปลาเค้าไป ทีนี้เหรียญบาทมันพลิก เพราะมันย่อมกว่าอันที่เคยทำ ปลายเหล็กที่ถูกค้อนตีมาแรงก็ไถลไปโดนขอบๆ เหรียญด้วย พอถูกขอบเหรียญ เหรียญพลิกปลาย เหล็กก็กระแทกเจาะเพดานปากจริงๆ อย่างแรง ฝังเข้าไปในกระดูกเพดานปากดังฉึก
    เราสะดุ้งสุดตัวเพราะความเจ็บปวด ลูกศิษย์รับมาช่วยดึงเหล็กออกดึงกันอยู่พักหนึ่ง เพราะเหล็กปลายมันแหลม มันฝังเข้าไปลึก ปากเราโหว่อยู่แล้ว ปลายเหล็กมันโผล่ออกมาถึงรูจมูกเจ็บปวดถึงหัวใจเลย เลือดก็ไหลพรูออกมา มันเลยปนกันทั้งเลือดคนกับเลือดปลาเค้ากลิ่นยังงี้คลุ้งไปหมด
    พอดึงเหล็กออกได้ เราก็แข็งใจลงกระหม่อมให้ผู้คนที่มา ซึ่งต่างก็เห็นในการเจาะเลือดของเราจากเพดานปากที่ออกมาจริงๆ
    คราวนั้นการขายตะกรุด ขายแหวน ลงกระหม่อม ก็ต้องทำอย่างรวดเร็ว เพราะความเจ็บปวดบาดแผลที่ถูกเหล็กแหลมทิ่มเข้าไปปากโผล่ออกมาเกือบจะทะลุรูจมูก
    และแล้ว เราก็พาลูกศิษย์ลูกหากลับบ้าน ลงเรือแจวมาทันที ก็ต้องแจวออกมาทางแม่น้ำแปดริ้ว กะว่าจะเข้าทางคลองแสนแสบ เช้าที่ไหนทันรถไฟที่ไหน ก็ขึ้นรถไฟที่นั่น ในที่สุดเราก็ถึงบ้าน พร้อมกับความเจ็บปวด เหลือกำลัง
    วันต่อมา จะเป็นด้วยความสกปรกหรือเชื้ออะไรก็ตามไม่ทราบได้ หน้าเราก็อักเสบ บวมทั้งหน้า จมูก ปาก บวมอ้าไม่ขึ้นจมูกที่บี้อยู่แล้ว ก็หายใจไม่ออก เพราะความบวม หน้าบวมกลมลีหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำเหมือนคนที่ถูกบีบคอตาย อาการมันรุนแรงมากขึ้นๆ ไม่อาจจะกินอาการได้ ไม่สามารถจะหายใจได้ตามปกติ ไข้ก็สูงขึ้นๆ จนเพ้อ ในที่สุดเราก็หลับผ็อยไปหลับสนิท อย่างไม่รู้ตัว มาตื่นอีกทีก็ที่กำลังถูกฉุด กระชากลากถูมานี่แหละ”
    “อ้าว อาจารย์ก็ตายนะซิ...ตายเพราะเหล็กใบลานนั่นแหละ”
    “ก็ว่ายังงั้นเหมือนกัน”
    “แล้วนี่เขาจะฉุดอาจารย์ไปไหนล่ะ”
    “ไม่รู้เหมือนกัน คงจะต้องจุติไปชำระหนี้ ไปชดใช้กรรมที่หลอกลวงเขา..คงจะอีกนานกว่าจะหมดกรรม เพราะมันมากเหมือนกัน”
    “แล้วที่ทำบุญไว้ล่ะ บริจาคเงินไว้ล่ะ บวชพระล่ะ ไม่มีกุศลกรรมเลยรึ”
    “มีน่ะมันมี แต่มันหักกลบลบหนี้กันไม่ได้หรอก”
    “แล้วกรรมอื่นที่อาจารย์ทำไว้ยังมีอีกไหม ถึงได้เป็ยอย่างนี้”
    “ก็นั่นยังไง ดูพวกปลาเค้า ปลาต่างๆ เต่าต่างๆ ที่เคลื่อนที่มาหาเราซิ มาทวงหนี้ทวงกรรมทั้งนั้น เพราะเราทำบาปไว้แยะ เจ้าตัวโตนั่นคือพวกปลาสวายหน้าวัดที่เราเคยทำบาปไว้ ตั้งแต่ชาติก่อน ใช้หนี้ยังไม่หมดเลย พอเกิดชาติใหม่ก็ทำอีก”
    จากนั้น อาจารย์ฟ้อน ก็ทำท่าทางเหมือนจะพูดต่อ จะเล่าต่อ แต่พูดไม่ออก เหมือนกับปากเล็กลงๆ จนอ้าไม่ออก
    “อ้าว อาจารย์ฟ้อนกลายเป็นเปรตไปแล้วปากเท่ารูเข็มเท่านั้นเอง”
    อีกเสียงหนึ่งพึมพำออกมาว่า “คงจะเป็นผล ที่เบียดเบียนจตุปัจจัยไทยธรรมของพระศาสนา ก็เลยกลายเป็นเปรต ปากเท่ารูเข็มไปยังงี้...เวรนะ”
    จากนั้นจิตวิญญาณของอาจารย์ฟ้อน ก็ถูกลากกระชากไป...ไปสู่วิบากแห่งตน
    บัดดล ! เสียงจากทางใดก็ไม่ทราบดังออกมาว่า “เจ้าทำบาปกรรมไว้เยะ ก็ต้องไปตามวิบาก ที่เคยทำบุญ บวชพระมา ก็เป็นกุศลมันหักกลบลบกันไม่ได้อกุศลมันหนักกว่า เพราะตอนที่บวชก็มิได้ศึกษาปฏิบัติอย่างใด มุ่งแต่ดิรัจฉานวิชา อันเป็นเครื่องขัดขวางกีดกั้นความจริง สัจธรรมต่างๆ ถึงกระนั้นกุศลที่เจ้าบวชมาก็ยังมี แต่มันน้อย เปรียบเหมือนเอาก้อนดินที่หนักไปด้วยบาป มาชั่งตาชั่งกับสำลีก้อนเล็ก มันทานกันไม่ได้ฉันใด เจ้าก็ต้องไปตามวิบากของเจ้าก่อน กว่าดินจะหมด จะกร่อนไป ก็จะเป็นโอกาสของสำลีที่ชั่งอยู่ตรงกันข้ามจะให้ผล”
    วิญญาณอาจารย์ฟ้อน ก็ถูกกระชากลากไป เพื่อสู่วิบากแห่งกรรมด้วยประการฉะนี้
    ผมมาทราบเรื่อง อาจารย์ฟ้อนเมื่อสงครามสงบแล้ว ทราบแต่เพียงว่า อาจารย์ฟ้อนตายแล้ว ผู้ คนในกรุงเทพฯ ในสมัยนั้นก็ดูเหมือนว่าจะรู้กันอยู่ทั่วกัน เพราะชื่อเสียงอาจารย์ฟ้อนที่เจาะเพดานเอาเลือดมาสักกระหม่อมคาถาอาคมนั้นดังมาก แต่ก็ไม่มีใครทราบว่าแกตายเพราะอะไร?
    ต่อมา ผมขึ้นไปอยุธยา เอาของไปถวายหลวงพ่อ ตามคำลั่งของบิดาผม ผมก็กราบเรียนท่านว่า “อาจารย์ฟ้อนตายแล้ว เพิ่งตายไม่นานมานี่เอง”
    หลวงพ่อก็พยักหน้า...ผมได้โอกาสก็เลยกราบรียนถามท่านว่า
    “ตอนที่หลวงพ่อรับนิมนต์ไปประพรมน้ำพระพุทธมนต์ที่บ้าน ในตอนที่สงครามยังไม่สงบนั้น พอดีอาจารย์ฟ้อนก็ไปที่บ้านไปทำพิธีสักกระหม่อมลงยันต์กันภัยให้แก่ผู้คนในบ้านและบ้
    านใกล้เรือนเคียง พอรู้ว่าหลวงพ่อมา อาจารย์ฟ้อนก็มากราบพอกราบเสร็จ ได้ยินหลวงพ่อพูดสองสามคำอาจารย์ฟ้อนก็รีบลุกลี้ลุกลนกราบลากลับไปและไม่ได้มาอีกเลย
    ทำไมอาจารย์ฟ้อนถึงได้รีบลุกลี้ลุกลน พาลูกศิษย์ลูกหากลับไปเร็วดังนั้น มีอะไรหรือ แล้วหลวงพ่อไม่ตอบ แต่พูดว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ เรื่องมันเป็นอย่างไรขอรับกระผม”
    หลวงพ่อท่านตอบว่า “กรรมใดใครทำ กรรมนั้นก็สนอง เราเป็นพระทั้งๆ ที่ร้ว่าเขาทำอย่างนี้ จะไปพูดอะไรออกไป ก็มีแต่เขาจะโกรธเกลียดสู้เฉยไว้ดีกว่า เขาเองเขาก็รู้ว่า มันเป็นบาป บวชก็แล้ว เรียนก็แล้ว ก็ยังทำ อาตมานั่งดูอยู่ก็รู้โดยตลอด จึงได้ พูดว่า เสร็จแล้วก็รีบกลับๆ ไปเสีย ปัจจัยที่ได้มาเอาไปทำบุญเสีย มันจะบาป จงเลิกผิดศีลเสีย...ก็พูดได้แค่นี้...
    ที่จริงอาตมารู้มานานแล้วว่า นายฟ้อนแกหลอกลวงหากินทางนี้ เมียแกอยู่อยุธยา ตอนแรกๆ ผู้คนขึ้นมาก ลงรักสักกระหม่อมเลือด ได้เงินได้ทองมามากมาย พอสงครามแรงขึ้น การหากินของแกก็มากขึ้น ก็ร่ำลือถึงที่วัดพอเรื่องรู้ถึงหูอาตมาเข้า ก็พิจารณาดู ก็รู้ว่าแกหลอกลวง แกเป็นคนพิการจมูกบี้ เพดานในปากโหว่ แกเอาเหรียญบาทอุดรูในปากไว้ แล้วเอาถุงยาง ถุงกระเพาะปลา ใส่สี ใส่เลือดเข้า เอาเหล็กเจาะให้เลือดไหลออกมา มันสีแดงๆ คนก็นึกวำเลือด ก็เอาน้ำแดงๆ นั้นไปสักไปลงกระหม่อม ลูกศิษย์อาตมาไปพบเห็นพิธีของแกเข้า ก็มาเล่าให้ฟัง ก็เลยพิจารณาดู แล้วบอกลูกศิษย์ไปว่าอย่างไปเป็นเหยื่อเขา ไม่มีอะไรเป็นที่พี่งได้ในโลก นอกจากพระรัตนตรัยเท่านั้น เขาก็กลับไป
    อาจารย์ฟ้อน ดู ๆ แกก็จะรู้นะว่าอาตมาน่ะรู้ความจริง ฉะนั้นพอพบกันที่บ้านเจ้าคุณพ่อ แกถึงได้กราบตัวสั่นแล้วรีบลากลับไป ที่แกตายน่ะก็เพราะผลแห่งกรรมที่แกทำเองแท้ๆ เหล็กแหลมทั้งอันเจาะเข้าไปในปากทะลุมายังรูจมูก ใครจะมาทนได้ แต่ถ้าแกเลิกเสีย เชื่อคำที่อาตมาเตือน แกก็จะไม่ต้องมาทนทุกข์ทรมานอย่างที่รู้”
    “อาจารย์ฟ้อน เคยบวชพระมานานเคยทำบุญทำทานไว้เหมือนกัน เมื่อแกตาย จิตวิญญาณแกจะเป็นอย่างไรขอรับกระผม...”
    “มันหักกลบลบกันไม่ได้หรอก บาป คืออกุศลกรรม มันมากกว่าบุญคือกุศลกรรม อกุศลวิบากก็มากหน่อยหนักหน่อย แกก็ไปรับวิบากอันนั้น จะมากน้อยเท่าไรก็สุดแต่กรรมที่แกทำไว้”
    “หมดจากรับวิบากแล้ว แกจะเกิดอีกไหมขอรับ”
    “เกิดน่ะเกิดแน่ จิตใดที่ยังมีกิเลสยังไม่หมดกิเลสต้องเกิดทั้งนั้น แต่จะเกิดเป็นมนุษย์อีกหรือไม่ ไม่ทราบ เพราะยังมีอสุรกาย เปรต เดรัจฉาน อีกหลายอย่างหลายภูมิ ที่คอยรับวิญญาณพวกนี้อยู่”
    “ทำอย่างไรล่ะขอรับ ที่จะไม่ไปเกิดในนรก ไปเป็นเปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน” ผมกราบเรียนถามท่านเพราะนึกกลัวๆ เหมือนกัน
    ท่านตอบว่า “ขึ้นชื่อว่าบาปแล้วไม่ทำดีกว่า เมื่อไม่ทำบาป หมดชาตินี้ อธิบายทั้งสี่ที่ว่า เราก็ไม่ต้องไป”
    ผมก็นึกในใจว่า “บาปไม่ทำดีกว่า บาปไม่ทำดีกว่า...ชาติหน้าจะได้ไม่ต้องไปอบาย” แล้วก็ก้มลงกราบท่านอีกครั้งด้วยความเคารพแต่ในใจอีกใจหนึ่งก็นึกว่า “เรานี่ก็คงก้าวเข้าไปในอบายมาหลายก้าวแล้วซิ ใครบ้างล่ะครับที่ไม่เคยทำบาป”
    นี่ก็เป็นเรื่องปริศนาธรรมอีกเรื่องหนึ่ง ที่ผมประมวลมาให้คุณผู้อ่านได้รับทราบ จริงๆ นั้นหลวงพ่อท่านไม่ได้เล่าหมดเปลือกอย่างนี้ท่านเล่าเป็นนัยๆ แต่ตัวบุคคลนั้น จริง ถ้าใครสงสัย ลองไปกราบนมัสการถามท่านเจ้าคุณพรสาสนโสภณเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส ดูก็ได้รู้ว่าท่านรู้จักอาจารย์ฟ้อน หรือเปล่า ?


    • Update : 23/7/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch