|
|
กฎแห่งกรรม-อาจารย์ฟ้อน ชดใช้กรรม(1)
อาจารย์ฟ้อน ชดใช้กรรม
ท่านผู้ที่มีอายุเลย 50 ปีไปแล้ว หรือประมาณ 60 ปีแล้วคงจะจำเหตุการณ์ร้ายแรงอย่างหนึ่งได้ นั่นคือวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 เวลาประมาณ 01.00 น. ประเทศเราได้ถูกกองทัพญี่ปุ่น บุกยกพลขึ้นบก ทางชายทะเลภาคใต้ คือที่จังหวัดสงขลาและจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พร้อมๆ กันก็บุกยกพลขึ้นบก โจมตีมาลาเซียและสิงคโปร์ในขณะเตียวกัน โดยญี่ปุ่นประกาศสงครามเข้าร่วมกับเยอรมันนี เรียกว่า ฝ่ายอักษะ สู้รบกับอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย อเมริกา ฯลฯ รวมเรียกว่า ฝ่ายสัมพันธมิตร
ในวันนั้น ทหารไทย ตลอดจนยุวชนทหารไทย ได้แสดงวีรกรรมไว้มากโดยทำการต่อสู้กับทหารที่เข้าโจมตีอย่างยอมตาย ทั้งๆ ที่ ฝ่ายข้าศึกมีกำลังมากกว่าอาวุธยุทธภัณฑ์เหนือกว่า การตระเตรียมกำลังพลเหนือกว่า ทหารทั้งสองฝ่ายได้เสียชีวิตไปเป็นอันมาก และในที่สุดก็ต้องยอมพ่ายแพ้แก่ทหารญี่ปุ่น รัฐบาลในตอนนั้น จำต้องประกาศยอมให้กองทัพญี่ปุ่นผ่านดินแดน และยอมเป็นกำลังฝ่ายอักษะด้วย ก็เท่ากับไทยเราเข้าร่วมสงครามกับญี่ปุ่นโดยปริยาย
ทหารญี่ปุ่นเต็มไปหมดทั้งบ้านทั้งเมืองในกรุงเทพฯ พ่อค้าวานิชร้านค้าญี่ปุ่น แม้แต่ร้านถ่ายรูปที่ถนนเจริญกรุงก็แต่งตัวเป็นนายทหารญี่ปุ่น สะพายดาบซามูไรอย่างแข็งขันกำลังทหารญี่ปุ่นตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ มากมาย อาทิ สนามกีฬาแห่งชาติ สวนลุมพินีวัน โรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวาย สถานเอกอัครราชทูตฝ่ายสัมพันธมิตร โรงเรียนใหญ่ๆ หลายแห่ง ถูกทหารญี่ปุ่นยึดครอง สโมสร ราชกรีฑา ถูกยึด และบางส่วนถูกทำลายเสียหาย
ต่อจากนั้นไม่กี่วันคนกรุงเทพฯ ก็ได้ยินเสียงเครื่องบินสี่เครื่องยนต์ของสหรัฐฯ มาทิ้งระเบิด ตามจุดยุทธศาสตร์ต่างๆ ในกรุงเทพฯ มีสถานีรถไฟกรุงเทพฯ บางกอกน้อย บาซื่อ กรมทหาร และหน่วยที่ตั้งกำลังทหารญี่ปุ่น พอเครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรบินเข้ามา สัญญาณภัยทางอากาศ หรือที่เรียกในตอนนั้นว่า “หวอ” ที่ติดตั้งอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะที่ ยอดภูเขาทองก็เปิดหวอดังลั่น ไฟฟ้าดับหมดมืดสนิททั้งเมือง ทุกอย่างอยู่ในความสงบ มีแต่เสียงลูกระเบิดที่แหวกอากาศลงมา “วี้ด...วี้ด...ตูมๆ” ทั้งกลางวันและกลางคืน แต่ส่วนมากก็กลางคืน ผู้คนวิ่งลงหลุมหลบภัยที่มีอยู่ทั่วเมือง ที่ลงไม่ทัน หลบไม่ทัน ก็ลงไปในท่อระบายน้ำข้างถนน จนสองหรือสามชั่วโมงต่อมา หวอปลอดภัยก็ตั้งขึ้น ทั้งนี้ก็ออกมาจากหลุมหลบภัยออกมาจากท่อข้างถนนที่ลงไปหลบกันขึ้นมา ส่วนมากก็ปลอดภัย ส่วนน้อยที่โดนจังๆ ก็ดับสิ้นไป
ระเบิดครั้งแรก ดูเหมือนที่ตลาดพลูและซอยสารภี ธนบุรี และก็เรื่อยๆ มาถูกทิ้งระเบิดสังหาร ระเบิดทำลาย และระเบิดเพลิง ตอนนี้ผู้คนเริ่มอพยพออกไปนอกกรุงเทพฯ ทั้งทางรถไฟ ทางเรือ ทางถนน กันอย่างพัลวัน ถนนในสมัยนั้นไม่มากอย่างในปัจจุบัน ก็หนีออกไปเท่าที่จะทำได้ เช่น ไปอยู่ในสวน ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ นัก แถวๆ ทางเมืองนนท์ ทางบางกอกน้อย บางกอกใหญ่ สามพราน นครปฐม นครชัยศรี อยุธยา รังลิต แค่นี้ก็พอจะปลอดภัยแล้ว
แต่ทั้งนี้ก็ต้องมีญาติพี่น้อง ลูกหลาน อยู่บ้านบ้าง คอยเฝ้าบ้าน เฝ้าสมบัติ เพราะสงครามนี่ทำให้โจรผู้ร้ายกชุมบางคนถึงกับขายที่ขายทางอพยพไปบ้านนอกเลย
ที่ดินในตอนนั้นราคาถูกมาก นอกๆ ใจกลางกรุงเทพฯ ราคาตารางวาละสองสามบาท ไร่ละ 800 บาท หรือ 1,000 บาท ถ้าในกลางเมืองวาละอาจจะถึง 10 บาท คือไร่ละ 4,000 บาท แต่พอสงครามนานเข้าถูกระเบิดตกมากเข้า ที่ดินก็ลดราคาลงมาอีก
ในระยะนี้ เครื่องรางของขลังจากอาจารย์ต่างๆ ก็เริ่มระบาด ทั้งปลอมทั้งจริง พวกที่หัวไวทำพระครื่องปลอมออกจำหน่าย พร้อมกันก็ส่งนายหน้า หรือ หน้าม้าไปโฆษณาก่อน ทำให้เครื่องรางเหล่านั้นมีผู้สนใจซื้อหากันมาป้องกันตัวมากมาย อันที่จริงก็เป็นการให้กำลังใจนั่นเอง
จะสังเกตุเห็น พอเสียงสัญญาภัยทางอากาศดังขึ้นเท่านั้น ผู้หญิง ผู้ชาย ไม่ว่าแก่ ว่าสาว ว่าหนุ่ม ต่างก็รีบสวมเสื้อยันต์สีแดง มีอักขระขอมเต็มไปทั้งหน้าทั้งหลัง ลักษณะเสื้อยันต์ก็เหมือนกับเลื้อกั๊กนั่นแหละ แต่มีลวดลายตัวหนังสือเขียนด้วยหมึกสีดำเต็มไปหมด แล้วก็สวมสร้อยคอมีพระพวงโตๆ อย่างน้อยก็ 7 องค์ บางคนสวมสายสร้อยเงินที่ห้อยพระอยู่จนนับองค์พระไม่ถ้วน
ด้วยเหตุดังกล่าว จึงมีการสืบหาอาจารย์ๆ ทางแคล้วคลาด ทางอยู่ยงคงกระพันมาก ใครว่าอาจารย์ที่ไหนไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์องค์เจ้า หรือฆราวาสที่นับถือกันเป็นอาจารย์ เป็นไปหากันแน่นสำนัก ทำให้พวกที่ไม่มีอะไรในตัว ถือโอกาสหลอกลวง ตั้งตนเป็นอาจารย์กันมากมาย สุดแต่ว่าใครจะมีวิธีอะไร ก็นำมาหลอกลวงกัน ดูเหมือนว่าจะเป็นอาชีพที่เบาๆ สบายๆ และได้เงินมากด้วย อย่าว่าแต่ในสมัยโน้นเลย แม้แต่เดี้ยวนี้ก็ยังมีอยู่ถมไป
ในขณะสงครามกำลังวุ่นวายอยู่นั้น ข้าวลือกันหนาหู พูดกันทั่วเมืองว่า มีอาจารย์ดีผู้หนึ่งท่านอยู่ทางปทุมธานี ลูกศิษย์ลูกหาเชิญไปตามที่ต่างๆ ไม่เว้นแต่ละวัน หาตัวยากมาก อาจารย์ผู้นี้ท่านเก่งทางสัก โดยเอาเลือดออกจากปากท่านมาลงกระหม่อมให้แก่ผู้ที่ประสงค์จะเป็น ลูกศิษย์ เวลาไปเชิญมาจะมีลูกศิษย์ห้อมลัอมมาสามสี่คนเป็นอย่างน้อย อาจารย์ท่านนี้ท่านชื่อ อาจารย์ฟ้อน ผมไม่ทราบนามสกุลท่าน และป่านนี้ก็คงดับสูญสิ้นชีวิตไปแล้วเพราะมันก็นานมาแล้ว ถ้ามีซีวิตอยู่ ป่านนี้อายุเห็นจะเลยร้อยปีไปนาน
เมื่อเชิญอาจารย์ฟ้อนมาทำพิธีสักกระหม่อมลงยันต์ ท่านจะทำกับลูกศิษย์ท่านให้ดูก่อน แล้วจากนั้นลูกศิษย์อีกคนจะเอาดาบฟันลงไปที่หลังลูกศิษย์คนที่ลงกระหม่อมไว้ ฟันฉับๆ ๆ ไม่มีอันตรายใดๆ ผู้คนขึ้นมากมาย เลียค่ายกครูตามธรรมเนียม เท่าไหร่ก็จำไม่ได้เสียแล้ว ผู้ที่เก็บค่ายกครูคือลูกศิษย์ที่มาด้วย แต่มันก็แพงมากสำหรับในสมัยนั้น อาจารย์ผู้นี้เดินทางไปตามศาลเจ้าต่างๆ ศาลเทพารักษ์ต่างๆ บางทีก็เข้าไปตามวัดร้างๆ แบ่งถวายพระบ้างนิดๆ หน่อยๆ พระท่านก็ไม่ว่าอะไร
กิตติศัพท์ของ อาจารย์ฟ้อนนี้ดังมาก ดังมานาน แม้พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณสาสนโสภณ (นิรันตร์) เจ้าอาวาส วัดเทพศิรินทาวาส องค์ปัจจุบันยังทราบเรื่องอาจารย์ฟ้อนนี่
ในตอนที่สงครามกำลังรุนแรงระเบิดตกตูมๆ อยู่นั้น บิดาผมได้ให้ไปนิมนต์หลวงพ่อมาจากอยุธยา มาเทศน์มาประพรมน้ำพุทธมนต์ให้เป็นกำลังใจแก่ลูกๆ เพราะข้างๆ บ้านถูกลูกระเบิดไปหลังหนึ่งแล้ว ผมก็เดินทางไปอยุธยา ไปกราบนมัสการท่านท่านก็เมตตารับนิมนต์ แต่ไม่รับที่จะค้างที่บ้าน โดยท่านจะไปเช้าเย็นกลับไปกับลูกศิษย์ 1 คน ก็ไชโย นั่นแหละไม่ใช่ใครที่ไหน พวกเราก็ดีใจ ที่หลวงพ่อจะมาที่บ้าน ต่างก็คอยนมัสการ กราบไหว้ เอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง เพราะในตอนนั้น ภัยสงครามรุนแรงมากจริงๆ ขวัญกระเจิงทั่วกันไปหมด
เผอิญในวันที่ผมไปรับหลวงพ่อนั้นกิตติศัพท์ของ อาจารย์ฟ้อนที่ดังมากนั้น ทำให้มีพรรคพวกของเราคนหนึ่งอาสาไปเชิญอาจารย์ฟ้อนมาทำพิธีที่บ้าน โดยจะจัดหาลูกศิษย์ลูกหาไว้ลงกระหม่อม พร้อมทั้งอาสาสมัครที่จะลงกระหม่อมด้วย โดยเสียค่ายกครูตามธรรมเนียม แถมยังมีรางวัลให้อาจารย์ด้วย
ในการนี้ พี่ผม ซึ่งตอนนั้นก็รับราชการเป็นใหญ่เป็นโตอยู่ให้ความเห็นชอบ เพราะสนใจ ทั้งๆ ที่ท่านก็ไม่ได้เชื่อถืออะไรในเรื่องนี้ ในที่สุดอาจารย์ฟ้อน ก็มาถึงบ้าน ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับที่ผมไปนิมนต์หลวงพ่อมาจากอยุธยา
อาจารย์ฟ้อน ถูกรับตัวมาแต่เช้า พวกเราก็สนใจกันมาก มาหามาดูกันมากหน้าหลายตา รวมทั้งเพื่อนๆ บ้านใกล้เรือนเคียงด้วย มากันแน่น เพื่อมาดูกรรมวิธีต่างๆ ที่แปลกๆ ไม่เคยเห็น
ผมจำได้ว่า พออาจารย์ฟ้อนมาถึงจะมาตอนสักกี่โมง ผมจำไม่ได้ เพราะตอนนั้นผมไปอยุธยา แต่ทราบว่าแกมาถึงก็ทำพิธี ใหญ่โต สวดคาถาแทบไม่หยุดหายใจ พรรคพวกบอกว่า แกสวดคาถา ร่ายมนต์ต่างๆ คล่องมาก เพราะแกเคยบวชพระมาหลายปี เสียงที่แกสวดนั้นฟังประหลาด เพราะเสียงแกแปลกกว่าใคร ๆ
อาจารย์ฟ้อนแต่งกายนุ่งขาวห่มขาว พนมมือ ถือดอกไม้ธูปเทียน มีลูกศิษย์ประจำตัวนั่งอยู่ทั้งสองข้างซ้าย-ขวา ผู้คนที่มานั่งพนมมือแต้นิ่ง สงบเงียบ
พอได้เวลาลูกศิษย์ก็คลานเข้าไปส่งมีดหมอปลายแหลม 1 เล่ม ค้อนขนาดไม่ใหญ่นัก 1 อันให้ จากนั้นอาจารย์ก็จะอ้าปากกว้าง เอาปลายมีดหมอพุ่งปักเข้าไปที่เพดานในปากจากนั้นก็เอาค้อนตีเข้าที่ด้ามมีดหมอนั่นสอ
งสามที แล้วก็เอาปลายมีดออก ทันใดนั้นก็มีเลือดหยดออกมาทางปากอาจารย์ก็จะเอาถ้วยเล็กๆ มารองเลือดนั้น จนเลือดหยุดไหล ก็จะได้เลือดราวๆ ถ้วยตะไล
จากนั้น ก็จะเอาเหล็กจารใบลานมาจุ่มเลือด แล้วลงกระหม่อมให้ลูกศิษย์คนที่เอามีดหมอมาให้ก่อน ปากก็ว่าคาถาไปเรื่อยๆ มือก็ลงกระหม่อมไป
พอเสร็จก็จะให้ลูกศิษย์อีกคนหนึ่งเอามีดดาบมาฟันที่หลังคนที่ลงกระหม่อมไว้ คนที่ใช้ดาบฟันจะเงื้อจนสุดแขนแล้วฟันลงมา
แต่แปลกคือ พวกที่ไปที่สังเกตเห็นว่าเวลาเงื้อน่ะเงื้อสุด แต่พอฟันลงมาจะฟันลงมาโดยเร็วแต่จะหยุดนิดหนึ่งราวๆ 1 คืบ ก่อนที่คมดาบจะถึงพลังความรุนแรงของการฟันก็ลดลงแต่ก็ทำให้เป็นรอย พอมีเลือดซึมๆ เขาเรียกว่า ยางบอน ไหลซึมนิดๆ
เขาฟันอยู่สองสามที แล้วหันหลังให้ผู้คนที่เฝ้าชมอยู่นั้นดูว่า ไม่มีรอยแผล ไม่มีรอยฟัน ก็คือว่าฟันไม่เข้านั่นเอง เรียกร้องความสนใจของผู้คนที่นั่งชมอยู่เป็นอันมาก
ต่อจากนั้น ชายหนุ่มและไม่หนุ่มทั้งหลายตลอดจนสตรีและเด็กๆ ก็หมอบคลานเข้ามากราบ แล้วก็ยื่นศรีษะให้ขอลงกระหม่อมเลือดอาจารย์ ลูกศิษย์ที่มาด้วยก็จะลงมือเก็บค่าบูชาครู คนละ 25 บาท และมีการ “ลงบุญ” ในขันที่วางไว้ตรงหน้าอาจารย์
ลงบุญ ที่ว่านี้ก็คือ การบริจาคเงิน เพื่อร่วมไปทำบุญต่างๆ ร่วมกับอาจารย์ สุดแต่ว่าจะทำบุญให้ทานที่ไหนใครลงบุญมาก ก็จะได้บุญมาก แถมอาจจะได้ของขลังไว้ปัองกันตัว คือ ตะกรุด ที่อาจารย์สร้างขึ้นด้วย ตะกรุด อิทธิฤทธิ์มากมายสุดพรรณนาทั้งคลาดแคล้ว อยู่ยงคงกระพัน เมตตามหานิยม เรียกลาภ เรียกเงินเรียกทองให้มาหา
อาจารย์ฟ้อน แสดงให้ดูว่า แกเอาขันเปล่ามาวางตรงหน้า แล้ก็เอาตะกรุดมหาลาภใส่ลงไปในขัน แล้วคอยดูเงินทองจะไหลมาเทมา
พวกคนที่มาลงกระหม่อมก็สังเกตเห็นว่าขันนั้น เป็นขันเปล่า แต่พออาจารย์บอกบุญเรียกว่า ลงบุญ เท่านั้น เงินทองก็ไหลมาเทมา ลงมาในขันนั่นแหละจนเต็มขัน
อาจารย์ฟ้อนจะพูดว่า “ถ้าใครสงสัยให้มองดูในขันว่า มีเงินเต็มขัน จริง ไหม”
ไมกี่อึดใจเท่านั้นเงินก็ไหลมาเทมาจนเต็ม ผู้คนยิ่งเชื่อถือศรัทธาแก่กล้ามากขึ้น ยกมือไหว้แปลกๆ หาได้ คิดกันไม่ว่า เงินทองในขันนั้นก็คือเงินของพวกเขาทั้งหลายนั่นแหละ
ตอนนี้เงินบูชาครูก็แยะ เงินในขันก็แยะ ลูกศิษย์ที่มาด้วยก็เก็บๆ ใส่ถุง แบบย่ามพระนั่นแหละ ต่อจากนั้นอาจารย์ก็เริ่มลงกระหม่อมทีละคนๆ ด้วยเหล็กจารใบลานจุ่มเลือดที่แทงเอาออกมาจากปาก ก็กินเวลานานอยู่
พอถึงเวลาเพล ลูกศิษย์ก็บอกว่าอาจารย์จะต้องรับประทานอาหารเพลถ้าเลยเวลา แล้วจะไม่รับประทาน พวกที่บ้านก็เร่งจัดอาหารเพลมาให้ อาจารย์ก็นั่งรับประทานอาหารเพล รับประทานเอาๆ พอเสร็จก็นั่งพักสักครู่ แล้วก็เริ่มพีธีสาธยายมนต์ต่อ
ก่อนเพลสักไม่กี่นาที หลวงพ่อ ผม และไชโย ก็มาถึง ก็สถานีรถไฟสามเสนอยู่ที่หน้าบ้านนั่นเอง พอลงจากรถ เดินไม่กี่ก้าว ก็เข้าบ้านได้ ที่บ้านได้เตรียมอาหารเพลไว้ถวายหลวงพ่อแล้ว พอมาถึงก็นิมนนต์เข้าไปนั่งในห้องรับแขกห้องใหญ่ พอท่านพักสักครู่ ก็นิมนต์ท่านฉันอาหารตามปกติท่านฉันน้อยอยู่แล้ว พอฉันได้ไม่กี่คำท่านก็เลิก ยะถา สัพพีตาม ระเบียบ
หลวงพ่อท่านถามว่า “วันนี้มีอะไรหรือ เห็นมีคนมากหน้าหลายตา”
พวกเราก็กราบเรียนท่านว่า “มีอาจารย์ดีมาลงกระหม่อม เขาเอาเลือดจากในปากมาเสก แล้วลงกระหม่อมให้เพื่อให้ขลัง จะได้อยู่ยงคงกระพันและคลาดแคล้วภัยอันตรายต่างๆ ในตอนนี้”
หลวงพ่อท่านฟังแล้วก็ยิ้มๆ และนั่งเฉยอยู่ ต่อจากนั้นเสียงพวกเราก็ดังขึ้นว่า “หลวงพ่อมาๆ”อาจารย์ฟ้อนได้ยิน จึงบอกว่า “เคยได้ยินชื่อท่านอยู ่ขอเข้าไปนมัสการท่านหน่อย” ว่าแล้วอาจารย์ฟ้อนก็เดินเข้าไปกราบหลวงพ่อในห้องฉันที่จัดไว้ ท่านก็ปฏิสันถารว่า “เจริญสุข...เจริญสุข เราชื่อ อะไร”
อาจารย์ฟ้อนกราบเรียนว่า “เกล้ากระผมชื่อฟ้อน ขอรับกระผม”
“มาทำอะไร ที่นี่...”
“เกล้ากระผม ได้รับเชิญมาลงกระหม่อม สักศรีษะ อยู่ยงคงกระพันให้แก่ญาติๆ ที่นี่ ขอรับกระผม” อาจารย์ฟัอนกราบเรียนด้วย อาการกระสับกระส่าย
หลวงพ่อท่านนั่งเฉย หลับตาอยู่สักคูร่ แล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า
“เสร็จธุระแล้วก็จงหลีกไป เงินทอง เอาไปทำบุญเสียนะ และจงเลิกผิดศีลเสีย มันไม่ดีหรอก มีแต่บาปเท่านั้น”
อาจารย์ฟ้อนก้มลงกราบ แล้วกราบนมัสการลาไป และก็พาลูกศิษย์ออกจากบ้านไปเลย
พวกเรากราบเรียนถามหลวงพ่อว่า “อาจารย์ฟ้อน ทำไมรีบไปขอรับ”่
“เขาคงไปหากินที่อื่น”
“แล้วที่ลงกระหม่อมไว้ล่ะขอรับยังศักดิ์สิทธิ์ ยังขลังอยู่หรือเปล่าขอรับ”
“ที่ลงไปแล้วก็แล้วไป แต่ควรจะต้องไปล้างศรีษะ สระผมเสียให้สะอาด”
“ทำไมหรือขอรับ”
“มันไม่สะอาด เดี๋ยวจะเจ็บจะป่วยกันได้”
“แล้วที่อาจารย์ฟ้อนทำพิธีไว้ละขอรับ”
“อาตมาเป็นพระ พูดไม่ได้”
พวกเราก็หยุดกราบเรียนถามท่าน
ต่อจากนั้น หลวงพอท่านก็เรียกพวกเราทั้งหมดมาพร้อมกัน ให้น้อมจิตระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ จากนั้นท่านก็สวดมนต์ภาวนาอยู่พักใหญ่ แล้วก็จุดเทียนที่ขันน้ำมนต์ สวดมนต์ภาวนาสรรเสริญพระรัตนตรัยต่อ แล้วก็ให้ผมถือขันน้ำมนต์เดินตามท่าน ท่านใช้ใบหญ้าคาจุ่มในน้ำมนต์ ประพรมให้ทุกคน และพรมน้ำมนต์ให้ทุกห้องในบ้าน เสร็จแล้วท่านก็ให้คำแนะนำว่า
“เมื่อมีภัยมา ให้น้อมจิตระลึกถึงพระพทุธคุณไว้ พระพุทธคุณจะปกป้องภัยอันตรายทั้งปวง”
พอสมควรแก่เวลา ท่านก็ลากลับโดยมีผมเดินไปส่งท่านที่สถานีรถไฟ ท่านกลับไปกับไชโย ปัญหาในใจของพวกเราตอนนั้นก็คือ อาจารย์ฟ้อนทำอะไรผิดหรือหรือมีอะไรที่พอหลวงพ่อพูดเท่านั้นแกก็ลากลับอย่างลุกลี้ลุ
กลนเราถามหลวงพ่อ ท่านไม่ตอบ...ว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ที่จะพูด เรายังข้องใจกันอยู่ตลอดมา
เวลาผ่านไปหลายปี สงครามสงบแล้ว บ้านเมืองเข้าสู่สภาพที่สงบ ไม่มีลูกระเบิด ไม่มีการรบอีก คนที่อพยพไปอยู่จังหวัดต่างๆ ก็ยกพวกพ้องกลับมาสู่ถิ่นฐานเดิม อาจารย์ฟ้อนกับลูกศิษย์ก็เงียบหายไปพร้อมกับญี่ปุ่น
ณ ที่แห่งนั้น จิตวิญญาณอันเหลือคณานับ ชุมนุมกันอยู่ เพื่อจะแยกย้ายกันไปรับวิบากของตน ที่เคยรู้จักกันก็ปราศรัยกัน ที่ไม่รู้จักกันก็มากมาย และในทันใดนั้น ก็แลเห็นจิตวิญญาณดวงหนี่ง ถูกลากกระชากมาด้วยจิตวิญญาณนับด้วยร้อยด้วยพันดวง
จิตวิญญาณนั้นเหมือนในรูปของชายค่อนข้างสูงอายุ ถูกพันธนาการที่มือ แขน ด้วยเชือกยาว มีจิตวิญญาณต่างๆ ดึงลากกระชากผลักให้ไปพบกับวิบากแห่งตนอย่างทุกลักทุเล เหมือนกับได้ยินเสียงตะโกนว่า “เอาเงินของเรามา เอาเงินทำบุญของเรามา” จิตวิญญาณดวงนั้นดิ้นรน พยายามจะออกจากเครื่องพันธนาการ แต่ดูเหมือนจะยิ่งดิ้นยิ่งมัดตัวแน่นขึ้นอีก ก็ถูกลากกระชากถูไปยังจุดๆ หนึ่ง แล้วก็หยุดนิ่งอยู่
ทันใดนั้น ก็มีเสียงพูดขึ้นว่า “นั่นดูเหมือนจะเป็น อาจารย์ฟ้อน...อาจารย์ ฟ้อน ใช่ไหม”
จิตวิญญาณนั้นเหลียวมา บอกแก่จิตวิญญาณกลุ่มโตนั้นว่า “ใช่แล้วเราคืออาจารย์ฟ้อน”
“ทำไมอาจารย์จึงถูกพันธนาการในลักษณะเช่นนี้” ดวงจิตวิญญาณดวงหนึ่งถาม
“เรืองมันเยอะ บุญเราก็ทำ กรรมเราก็ก่อ ผลมันก็ยังงี้แหละ”
“อาจารย์ทำบุญทำกรรมอย่างไรครับ พวกเราอยากทราบ”
“เมื่ออยากรู้ เราก็จะสารภาพกรรมของเราที่ได้กระทำไว้ตั้งแต่ก่อนโน้นให้ฟัง”
แต่ก่อนนี้ ในชาติก่อน ภพก่อน ก่อนที่เราจะเกิดมาเป็นอาจารย์ฟ้อน เราเป็นชาวนา แต่ก็หากินด้วยการจับสัตว์น้ำ มีเต่า มีปลา มีกุ้ง เอามาขายเอากินด้วย... กรรมมันเริ่มเกิดตั้งแต่ตอนนั้น
การจับปลา จับเต่า จับสัตว์น้ำมากิน มาขายนั้น ที่จริงมันก็ไม่จำเป็น แต่นิสัยมันชอบ
เราวางเบ็ดราวไว้ตามคันนาวาทีละยี่ลิบสามสิบตัวเอาเหยื่อเกี่ยวเหงือกก็ไส้เดือนนี่แ
หละ มันดิ้นๆ อยู่จับได้ก็เอามาเกี่ยวกับเบ็ดเข้า วางเบ็ดไว้ตอนค่ำ พอตอนเช้าก็ไปกู้เบ็ด ทั้งปลา ทั้งเต่า ติดเบ็ดแยะ ติดทุกวัน พอไปถึงเบ็ด เราก็กระชากเบ็ดออกจากปากมัน ปากมันก็ฉีก เบ็ดหลุด แต่สำหรับเต่า ต้องเอามีดแทงทะลุปากมัน แทงเข้าไปในปากนั่นแหละ ให้ปากมันอ้า ถ้ามันไม่อ้าก็เอามีดแหลมทะลวงแงะเข้า มันเจ็บ มันก็อ้า เราก็กระชากเบ็ดออก ปากเต่าก็โหว่ ทะลุทุกตัว รวมทั้งปลาด้วย
มีคราวหนึ่ง เราไปตกเบ็ดปลาสวายที่ท่าน้ำหน้าวัดใกล้บ้าน ปลาเยอะแยะ ชุมมาก เพราะเป็นปลาหน้าวัดไม่มีใครกล้ตก แต่เราไม่กลัว ก็ทำอย่างเก่า โยนเบ็ด ปลามันหิว มันก็งับเหยื่อ ติดเบ็ดทันที่ตัวยังโตๆ ทั้งนั้น พอตวัดขึ้นมา ก็เอา เบ็ดออกโดยกระชากเบ็ดออกจากปากมันทันปากมันก็ฉีก พอปากฉีก เบ็ดก็หลุด วันหนึ่งๆ ไปโมยตกปลาที่หน้าวัดได้หลายตัวทุกที
|
Update : 23/7/2554
|
|