|
|
กฎแห่งกรรม - วังเปรต(2)
กฎแห่งกรรม - วังเปรต(2)
ณ ที่แห่งหนึ่ง จิตวิญญาณประเภทหนึ่งมากมายเหลือจะคณานับ ในลักษณะของสัมภเวสี ร่วมกันเร่ร่อนอยู่มีตัววิบากคอยดูแล บางจิตวิญญาณก็กำลังจะไปรับวิบาก แต่ขาดแรงส่งแรงดัน ก็ง่อยอยู่ตรงนั้น ที่จะลงอบายก็ถูกวิบากนำไป ที่จะไปเกิดิในที่ต่างๆ ก็ไปไม่ำด้ด้วยหมดกำลังเหมือนกันกับเรือเกยตื้น เกยแห้ง จะเข็น จะพาย จะถ่ออย่างไรก็ไม่ไหว ติดแหง็กอยู่ตรงนั้น ทีนี้ก็ออกขอส่วนบุญ รับส่วนบุญ ที่เทพยดา หรือมนุษย์อุทิศให้สะสมไว้ มากน้อยสุดแต่กรรมที่เคยทำไว้ บางสัมภเวสีทำบาปกรรมไว้มาก บุญกุศลที่เขาอุทิศให้ก็ไม่ถึง รับไม่ได้คล้ายๆ คนมือสั้นไขว่คว้าสิ่งของที่ลอยมาไม่ถึง
ในกลุ่มนั้น ที่มีจิตวิญญาณประเภทนี้มารวมกันมากมาย เหมือนกลุ่มขอทานในมนุษย์โลก บ้างก็มีรูปร่าง ร่างกายต่างๆ กัน ตามกรรมที่ก่อขึ้นในกลุ่มนั้นมีอยู่กลุ่มหนึ่งที่ในชาติก่อนเป็นญาติพี่น้อง แล้วก็อยู่ร่วมกัน เป็นกลุ่มในโขยงนั้นเรียกว่าอยู่กันเป็นวัง เรียกว่า วังเปรต ทุกคนต่างก็คอยที่จะไปรับกรรมตามที่กระทำไว้ในชาติๆ ที่ผ่านมามากน้อยหนาบางสุดแต่
ในกลุ่มที่มีจิตวิญญาณประเภทนี้คลั่กเป็นวังอยู่นั้น กลุ่มหนึ่งในชาติปางก่อนล้วนแล้วแต่เป็นญาติพี่น้องกัน ในโลกมนุษย์ สัมภเวสีเหล่านี้ต่างชะเง้อ ชะแง้ คอยหาคอยรับส่วนบุญในโอกาสที่ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงจะอุทิศมาให้ จะได้สะสมไว้พอได้เป็นไปพอที่จะไปเกิดในที่ต่างๆ ตามกรรมเวรของตน ในจำนวนนั้นมีจิตวิญญาณดวงใหม่จุติมาในรูปลักษณ์ของสัมภเวสีเหมือนกัน พอมาถึงที่นั้น พวกเก่าๆ ที่สถิต ล้อมๆ กันอยู่ด้วยความทรมาน ก็ทักกันว่า
“นั่นเหมือนลุงหลวงมา ลุงหลวงใช่ใหม นั่นป้าก็มา”
ดวงจิตวิญญาณก็ตอบ “ใช่...ข้าคือลุงหลวงของเจ้า แล้วนี่ก็เป็นป้าของพวกเจ้า” ดวงจิตวิญญาณของหลวงยกกระบัตร หรือสองแควกล่าว
สัมภเวสีทั้งหลายต่างก็สงสัยว่าทำไมลุงหลวงยกกระบัตร ซึ่งร่ำรวยใหญ่โตในมนุษย์โลก จึงมาอยู่ในสภาพอย่างนี้ บุญเก่าไม่มีเลยหรืออย่างไร หรือทำบาปทำกรรมไว้ จึงมีจิตวิญญาณที่มาคอยรับบุญรับกุศลที่เขาจะอุทิศมาให้แบบนี้ แล้วสัมภเวสีตนหนึ่งจึงออกปากถามจิตวิญญวณของลุงหลวงว่า
“ลุงหลวงทำอะไรไว้หรือ จึงไม่มีเนี้อนาบุญติดตัวมาเลย และนี่ก็จะเป็นสัมภเวสีเหมือนพวกข้า
ลุงหลวงตอบว่า “เมื่อพวกเจ้าอยากรู้ ข้าก็จะเล่าให้ฟัง แต่เรื่องมันแยะนะ” ต้องสืบสาวไปถึงชาติก่อนภพก่อนแน่ะ” และแล้วจิตวิญญาณของหลายยกกระบัตรเมืองสองแควก็เริ่มบรรยายดังนี้
ก่อนที่ข้าจะมาเกิดเป็นหลวงยกกระบัตรเมืองสองแควนี้ ข้าเกิดเป็นยาจกยากจน รับจ้างเขาทำนา ทำงานสารพัดได้ค่าแรงคือได้กินไปวันหนึ่งๆ นานๆ เจ้านายก็ให้เสื้อผ้าไว้กันหนาว กันร้อนบ้าง ออกจะยากจนแสนสาหัส ให้ข้าวกินวันละ 2 มื้อ คือ เช้ากับเย็น เท่านั้น อาศัยที่ข้าช่วยเหลือคน ช่วยเหลือสัตว์ที่ยากลำบาก ตกทุกข์ได้ยาก ข้าช่วยทั้งนั้น
วันหนึ่งข้าเอาควายไปเลี้ยงตามปกติไปพบหอยเล็กๆ พบปลาเล็กๆ ติดแห้งอยู่ในแอ่งน้ำแห้ง สัตว์กำลังดิ้นจะตายอยู่ ข้าเกิดเมตตา สงสารก็ค่อยๆ เอาหอย เอาปลานั้น ไปปล่อยลงน้ำ ที่ลำประโดง ปลาและหอยก็มีชีวิตอยู่ต่อไป
พอดีตอนนั้นมีพระธุดงค์องค์หนึ่ง นั่งภาวนานิ่งอยู่ในกลดข้างลำประโดง ท่านเห็นเหตุการณ์โดยตลอด ท่านก็เรียกข้าไปคุยด้วย ท่านสงสารจึงชวนมาเป็นลูกศิษย์ตามไปกับท่านข้าก็ขอรับไปบอกเจ้านายข้าก่อน
พอเดินกลับบ้าน เห็นหมาลูกอ่อนตัวหนึ่ง ผอมโซ นอนให้ลูกดูดนมอยู่หมาตัวนั้นอดอยากมาก ผอมเหลือแต่กระดูก ข้าสงสารจับใจ จึงเอาข้าวของข้าที่นายเขาให้กินวันละ 2 มื้อนั้นออกมาคลุกๆ ให้หมานั้นกิน ส่วนข้านั้นย่อมอด หมาได้กลิ่นอาหารก็ลุกออกมากินอย่างรวดเร็วด้วยความหิว พอกินหมด มันก็เงยหน้าขึ้นมามองดูหน้าข้า แล้วกระดิกหาง เดินเข้ามาหาอย่างช้าๆ ด้วยความสงสาร ข้ายกมือขึ้นลูบหัวมันด้วยเมตตา
อาศัยที่ข้าทำแบบนี้บ่อยๆ ชาวบ้านเขาก็สงสาร มีอะไรเขาก็แบ่งปันให้ ได้กิน ได้ใช้ พอประทังชีวิตอยู่ได้ พอเข้าไปบ้าน ไปพบเจ้านายข้าบอกความประสงค์ว่าข้าจะไปกับพระธุดงค์ไปปฏิบัติพระ เจ้านายไม่ยอมว่าข้ายังเป็นหนี้ค่าตัวอยู่ ต้องทำงานให้เขาต่อไปอีก 3 เดือน จึงจะไปได้ 3 เดือนต่อมา พระธุดงค์องค์นั้นก็มาอีก ข้าก็เข้าไปกราบ เล่าเรื่องให้ฟัง สุดท้ายข้าก็ได้ไปกับพระธุดงค์องค์นั้นตามปรารถนา
ข้าอยู่กับพระมานาน ท่านอบรมสั่งสอนให้ข้ารู้จักบาปบุญคุณโทษ ให้รู้ศีล รู้จักธรรม ข้าก็ปฏิบัติตามท่าน อยู่ปฏิบัติท่านมานาน จนวันหนึ่งท่านไปธุดงค์ที่จังหวัดสุโขทัยไปพบเศรษฐีคนหนึ่งที่มาทำบุญกับพระธุดงค์นั
้น เห็นรูปร่างหนัาตา กิริยามารยาทของข้าเข้าก็ชอบใจ จึงออกปากขอจากพระว่าจะเอาไปชุบเลี้ยงพระท่านก็เล่าให้ฟังว่าข้าเป็นคนใจบุญสุนทาน มีเมตตา ขยันขันแข็ง ซื่อสัตย์ เศรษฐีนั่นก็เลยชอบมากยิ่งขึ้น จึงรับตัวข้ามาอยู่ด้วย ที่เมืองชากังราว บ้านเศรษฐีไม่ไกลจากที่พระธุดงค์ท่านไปปักกลดพักอยู่ ท่านอาจารย์ท่านธุดงค์จากเมืองสองแควมาเรื่อยๆ บุกป่าผ่านมา ข้ามเขามาถึงเมืองชากังราวนี่ ตอนหลังเมืองนี้เรียกว่าเมืองกำแพงเพชร
เศรษฐีให้ข้าพักเฉยๆ อยู่เฉยๆ ก่อน ต่อมาก็ให้ดูแลผลประโยชน์ ดูแลข้าว นา ช่วยรับซื้อข้าวและผลไม้ เช่นกล้วยที่ชาวบ้านเอามาขาย ให้เงินทองแก่ข้าให้ใช้จ่ายดำรงชีพ ด้วยความเป็นสุขพอมีเงินมีทองข้าก็สะสมไว้ๆ ทำบุญให้ท่านเป็นนิตย์ สงเคราะห์ชีวิตสัตว์ที่ตกยากลำบากมีทุกข์มีร้อน ไถ่ถอนชีวิตเขาไว้เอาบุญตลอดมา จนชื่อข้าดังกระฉ่อนไปทั่ว เศรษฐีท่านทั้งรักและเมตตา จึงให้เงินทองมาอย่างละหีบ ให้ที่นาจำนวนมากแก่ข้า ทั้งนี้เพราะเศรษฐีท่านไม่มีลูกชาย
อาศัยที่ขยันทำมาหากิน ซื่อสัตย์ไม่ฉ้อราษฎร์โกงหลวง เบียดเบียนใครทั้งสิ้น พออายุได้ประมาณยี่สิบเก้า ท่านเศรษฐีก็บวชให้ข้า ข้าบวชอยู่ 2 พรรษา จึงศึกออกมาทำงานทำการต่อจากนั้น ท่านเศรษฐีจึงยกหลานสาวของท่านให้เป็นภริยาข้า ก็อยู่ด้วยกันมาตลอด ไม่มีลูกไม่มีเต้าด้วยกัน
ท่านเศรษฐีไม่มีลูกชาย มีแต่ลูกสาว ซึ่งก็แต่งงานออกเรือนไปกับลูกพระพิจิตร เจ้าเมืองพิจิตร และก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กัน ต่อมาท่านเศรษฐีและภริยาท่านก็ถึงแก่กรรมโดยชรา ทรัพย์สมบัติจึงตกอยู่กับหลานท่าน ซึ่งเป็นภริยาของข้า ข้าทั้งสองก็ไม่มีลูกอีก จึงได้แต่ทำบุญสุนทานไปเรื่อยๆ ในที่สุดจึงยกที่นาทุ่งใหญ่ถวายวัด สร้างวัดขึ้นด้วยทุนทรัพย์ที่ได้มาจากทุ่งนานี้ ที่เป็นของท่านเศรษฐีเดิม ชาวบ้านจึงเรียกว่า “ทุ่งเศรษฐี” วัดที่สร้างขึ้นก็เลยเรียกกันว่า “วัดทุ่งเศรษฐี”
ตอนหลังข้าอายุมากขึ้น ชรามากขึ้น หลงๆ เลือนๆ หรือมันจะมีกรรมมาบัง การบุญสุนทานเอื้อเฟื้อเจือจานจึงลดลงไม่ทำบุญ เหมือนแต่ก่อน มิหนำซ้ำยังขัดขวางการทำบุญให้ทานเสียด้วยแม้แต่สัตว์ที่เคยเลี้ยงดูก็อดๆ อยากๆ ไม่เอื้อเฟื้อเจือจานแก่คนยากคนจนเหมือนแต่ก่อน วัดวาอารามต่างๆ ก็ห่างเหินไม่บริจาคทำบุญทำกุศล แถมยังยักยอกทรัพย์สินที่เมียข้าจะทำบุญให้ทานเอาไปฝังดินเสียด้วย ก็ฝังที่วัดนั่นแหละเพราะที่นั่นเป็นที่กว้าง นี่แหละบุญมี แต่กรรมมันก็มาบังในตอนปลายๆ อายุ
ในที่สุดข้าก็ตายตามสัจธรรมที่เที่ยงแท้ที่สุด ผลบุญที่ข้าเคยทำล่งให้ข้าไปเสวยสุคติอยู่นาน โดยไปเป็นเทพยดา เมื่อหมดบุญแล้ว ก็จุติลงมาเป็นมนุษย์ ก็ชาติที่ผ่านมานี้แหละ เกิดมาก็มีบุญเป็นถึงลูกเจ้าเมืองสองแคว พญาแสนพล กินเมืองสองแคว นครสวรรค์ พิจิตร ชากังราว พอเกิดมาข้าก็ได้รับความรักความเมตตาจากบิดามารดา ท่านย่า ท่านยาย ซึ่งเป็นคนเมืองเหนือ ทั้งคู่นี้รักใคร่ามาก ข้าได้เรียนหนังสือจนอ่านออกเขียนได้ พอหนุ่มขึ้นก็เข้ารับราชการที่เมืองสองแควนี่เรื่อยๆ มาจนได้เป็นหลวงยกกระบัติ เมืองสองแควมีหน้าที่กะเกณฑ์ไพร่หลวง เกณฑ์ผู้คนไปในราชการสงคราม มีหน้าที่เสาะหาเก็บงำเสบียงอาหารไว้ให้ทหารที่เกณฑ์ไว้เพือถวายในราชการ
ในตอนนี้ ข้ามีลูกมีเมีย มีญาติพี่น้องว่านเครือมากมายหลายคน ทุกคนยำเกรงอยู่ในอำนาจและการปกครองแนะนำของข้า นานเข้าส่วนสาอากรที่เก็บได้ เป็นข้าว เป็นแร่ เป็นผลไม้ต่างๆ ก็ไหลมาเทมาจนร่ำรวย แต่
กรรมมันบัง ข้าไม่ยอมเสียสละ มีแต่จะรับท่าเดียว ไม่เคยบริจาค ไม่เคยทำบุญสุนทานเอื้อเฟื้อเจือจานแก่ใครทั้งสิ้น มีมากเท่าไหร่ฝังดินหมด ในใจน่ะจะเก็บไว้กินยามแก่ ลูกหลานจะได้ไม่อดอยาก
ข้าสะสมความเห็นแก่ได้ ความตระหนี่ไว้ แถมยังเบียดบังฉ้อราษฎร์บังหลวง เท่าที่จะทำได้โดยไม่ละอาย นานเข้าก็หน้าด้านขึ้นๆ เห็นอะไรที่พอจะได้เอาทั้งนั้น ลูกหลานบริวารว่านเครือของข้าก็เห็นดีเห็นชอบปฏิบัติตามข้าไปหมด ขนาดพระเดินบิณฑบาตมาโปรดสัตว์ ข้าเห็นเข้าจังหน้า ยังบอกว่า “นิมนต์ไปข้างหน้าเถิด ข้าไม่ใส่บาตร ไม่ทำบุญ”
ทีนี้บริวารหลายก็เหมือนกันได้ทรัพย์มาก็เก็บๆ มากเข้าก็ฝัง บริวารของข้าในบ้านมีเป็นสิบเป็นร้อย ข้าทาสหญิงชายต้องหุงข้าว กระทะเลี้ยงเป็นกระทะๆ ทุกคนไม่มีการทำบุญการบริจาค หนักเข้าบุญเก่าก็หมดไปๆ
จะให้มีความสุขความเจริญอย่างไร ในเมื่อบุญเก่าที่มีมาแต่ก่อนที่เคยทำบุญให้ทาน เมตตา เอื้อเฟื้อเจือจาน แก่คนทุกข์คนยาก อะไรต่างๆ มันหมดลง แล้วบุญใหม่ กุศลใหม่ ก็ไม่ได้เสริมสร้าง จริงอยู่ข้าไม่ได้ทำบาปอะไร ศีล 5 ข้อ ข้าไม่ผิด จะมีเพี้ยนๆ ก็ตรงข้อสอง ที่เบียดบังเขา เอาทรัพย์สินเขาเท่านั้น แต่ข้าก็ไม่ได้ลักเขา ขโมยเขา ทุกคนในอาณาเขตบ้านของข้า เป็นสิบเป็นร้อย ก็ประพฤติปฏิบัติจนเป็นนิสัย
ทุกวันเวลาพระบิณฑบาต ท่านจะไม่เดินผ่านหน้าอาณาเขตบ้านข้าเพราะท่านไม่เคยได้รับอะไรจากข้าและบริวารเลย
ในที่สุดมันก็หนีสัจธรรมไปไม่พ้นข้าก็แก่ลง แล้วก็เจ็บ ท้ายที่สุดก็ตายจากโลกไป บริวารว่านเครือทั้งหลายก็อยู่ในสภาพเดียวกัน คือค่อยๆ ล้มหายตายจากไปทีละคนๆ ในที่สุดเราก็มาพบกัน รวมกันอยู่ในที่ที่เราเคยอยู่และก็ที่นี่ด้วย ด้วยวิบากแห่งกรรมที่มีเวลาเข้าไปไหน พวกจิตวิญญาณที่เป็นสัมภเวสีนี้ก็ตามข้าเป็นพรวน ไปด้วยกันเป็นหมู่ไปเลย
ในชีวิตบนโลกมนุษย์ ข้ามีเมียกับลูกเล็กๆ คนหนึ่ง เป็นผู้หญิง ลูกคนนี้เขาออกเรือนไปตั้ง แต่ข้ายังมีชีวิตอยู่ เขามีลูก 3 คน มันก็เป็นหลานของข้าน่ะแหละ ลูกของข้าคนนี้เขาทำบุญให้ทานบ้างตามโอกาส หลานของข้าก็เหมือนกัน พวกลูกหลานเขาทำบุญให้ทานกันแล้ว เราก็ค่อยๆ นึกว่าเขาจะอุทิศส่วนกุศลมาให้เราบ้าง แต่เขาไม่ทำเขาคงไม่รู้ว่าเราทั้งหลายนี่น่ะคอยรับส่วนกุศลอยู่ จะไปเรียกร้องอะไรก็ไม่ได้ ได้แต่มาขอมาเตือน
พวกข้าทั้งหมดที่คอยขอส่วนบุญ นี่นับด้วยสิบ นับด้วยร้อย เมียข้าก็เหมือนกัน ต้องอยู่ในสภาพที่รอขอส่วนบุญนี่ จิตวิญญาณของข้าและเมียข้าในภาวะสัมภเวสี ตลอดจนบริวารข้าอุตส่าห์หมั่นไปหาลูกหลานข้าที่บ้าน ไปขอส่วนบุญเพื่อมาสะสมไว้ จะได้ไปเกิดตามภพตามภูมิของข้า แต่เขาเหล่านั้นก็ไม่ทำบุญทำทานเลย ถึงเขาจะทำ เขาก็ไม่ได้อุทิศส่วนกุศลไปให้ข้า เมียข้า และบริวารของข้าเลยแม้แต่น้อย
อันนี้แหละ ที่ทำให้ข้าต้องมาขอมาทวงถาม ที่มาทวงถามก็เพราะที่พวกเขาอยู่ได้ทุกวันนี้ ก็อยู่ด้วยทรัพย์สินเงินทองของข้า ที่ข้าหาทิ้งไว้ให้เขามีกินมีใช้ สบสยแล้ว เพราะฉะนั้น ข้างแรมที่หนึ่ง ข้าก็จะไปขอส่วนบุญจากพวกเขาทีหนึ่ง เมื่อเขาไม่ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้จะเป็น่ด้วยไม่รู้หรืออย่างไรก็สุดแต่ ข้าไม่สามารถจะแสดงตัวให้เขาเห็นได้เพราะเราอยู่กันคนละภพ คนละภูมิ ก็ได้แสดงอาการให้เขา เห็น
วันหนึ่ง ท่านผู้มีปัญญา ท่านผู้รู้มาพบเห็นเขา เขาก็จะได้รับคำบอกเล่าเมื่อนั้นเขาก็จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้พวกเรา พอได้รับกุศลที่เขาอุทิศให้แล้ว พวกเราก็จะไปสู่ที่ต่างๆ ตามภพ ต่างๆ แล้วก็ไม่รบกวนเขาต่อไป
นี่แหละ เรื่องมันเป็นอย่างนี้ จิตวิญญาณของหลวงยกกระบัตร เมืองสองแคว สารภาพ
กล่าวถึง คุณนายส้มเกลี้ยง พอกลับถึงกรุงเทพฯ ได้ไม่เท่าไหร่ ท่านก็ให้คนไปที่ดงประคำ แถวๆ วัดพรหมพิรามอีก ให้เงินไปด้วย4วย ให้ไปเพื่อทำสังฆทาน เลี้ยงพระที่วัดด้วย ทำทั้ง 2 อย่าง โดยเอา ทิดมี และอำแดงแดงอุ่มไปด้วยวย ให้แกไปทำบุญที่วัด ให้พระท่านสอนทำสังฆทาน สอนกรวดน้ำให้พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย เจ้าบุญนายคุณ เสร็จแล้วก็ขอท่านพรมน้ำพระพุทธมนต์ที่หลวงพ่อให้ไปด้วย เอาไปให้หมด ทั้งทิดมี อำแดงอุ่ม และ ลูกชาย
ตอนนั้นเป็นข้างขึ้น มีอำแดงอุ่ม เป็นปกติ ก็เชื่อฟัง พาลูกพาหลานไปทำบุญกัน อุทิศส่วนกุศลให้พ่อแม่ ญาติพี่น้อง บริวารทั้งหลาย ที่ตายจากไป แล้วก็พรมน้ำพระพุทธมนต์ที่หลวงพ่อให้ไปทุกคน คุณนายส้มเกลี้ยงเห็นว่าทุกคนสติ มีปัญญา*เกิดขึ้นแล้ว จึงได้ อธิบายบาปบุญคุณโทษให้พวกเขาทั้งหลายฟัง แนะนำให้บำเพ็ญการบุญกุศลโดยปฏิบัติศีลให้เคร่งครัด บำเพ็ญทานอย่างสม่ำเสมอ บำเพ็ญภาวนาอย่างที่หลวงพ่อท่านบอกมา จากนั้นก็อย่าลืมอุทิศส่วนกุศลตามที่สอนและอย่าลืมอุทิศส่วนกุศลให้แก่ตนเองด้วย ซึ่งทุกคนก็เชื่อฟังและปฏิบัติตามด้วยดีตลอดมา
จนวันหนึ่ง คุณนายส้มเกลี้ยง ได้ขึ้นไปที่พรหมพิรามอีกครั้ง ก็พบว่าพวกเขาทุกคน ทั้งครอบครัว มีความสุขหายจากโรคภัยไข้เจ็บทุกคน ทำมาหากินด้วยความสุข ประกอบการบุญการกุศลอย่างสม่ำเสมอ ทิดมี อำแดงอุ่ม รู้สึกในบุญคุณ จึงมาหา มากราบไหว้ ขอบคุณที่ช่วยเหลือให้หายจากการเจ็บไข้ได้ป่วย คุณนายส้มเกลี้ยงจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้แก่สามีภริยาคู่นี้ฟังโดยละเอียด ว่าเรืองราวเป็นอย่างไร หลวงพ่อท่านแนะนำมาว่าอย่างไร จึงได้หมดทุกข์หมดโรคและมีความสุขสบายอย่าง นี้
ทิดมี และ อำแดงอุ่ม มีจิตศรัทธาเชื่อมั่นในหลวงพ่อมาก จึงขอพาครอบครัวติดตามกราบนมัสการหลวงพ่อด้วย คุณนายส้มเกลี้ยงก็ตกลง ขากลับเลยยกขบวนมากราบนมัสการหลวงพ่อกันทั้งหมด
พอถึงวัด ทั้งคณะก็พากันไปกราบหลวงพ่อซึ่งท่านทราบอยู่ก่อนแล้ว ท่านก็ให้ศีลให้พร ให้ธรรมะที่จะนำไปปฏิบัติ แล้วคณะบ้านดงประคำก็กราบลากลับไปด้วยความสุข และก็อยู่ไปด้วยความสุข หมดสิ่งรบกวน หมดทุกข์โศกโรคภัยตลอดไป
คุณนายส้มเกลี้ยงนั้น ปิติมากที่ได้ช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก ให้เขาพ้นทุกข์ จึงได้กราบนมัสการถามหลวงพ่อว่า
“ที่หลวงพ่อว่า หลวงพ่อจะช่วยชีวิตพวกบ้านดงประคำเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ลาจากไปนั้น หลวงพ่อจะไปไหนในเมื่อหลวงพ่อก็ชราภาพมากแล้ว”
ท่านตอบว่า “กาลเวลาไม่หยุดนิ่งฉันใด ชีวิตมนุษย์และสัตว์ก็ไม่ได้หยุดนิ่งฉันนั้น ต่างก็มีที่สุดแห่งสังขาร ก็อย่างหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ที่เสนานั่นเป็นไร ท่านก็จากไปแล้ว (หลวงพ่อปานเป็นเกจิอาจารย์ร่วมสมัยกับหลวงพ่อ และท่านได้มรณภาพเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2481 ก่อนหลวงพ่ออ่ำ เจ้าคุณพุทธวิหารโสภณ ประมาณ 6-7 ปี และ ทราบว่าทั้งสองท่านนี้สนิทกันมาก ไปมาหาสู่กันเสมอ) ไม่สมัครที่จะรักษาสังขารสิ่งปรุงแต่งทีมีวิญญาณ คือร่างกายให้คงที่ตลอดไปได้” คุณนายส้มเกลี้ยงได้ฟังแล้วก็นั่งน้ำาไหล เพราะรู้ดีว่าหลวงพ่อท่านจะต้องจากโลกนี้ไปแล้ว...แต่จะทำอย่างไรได้
ออกพรรษาแล้วไม่เท่าไหร่ ประมาณปี พ.ศ. 2487 คุณนายส้มเกลี้ยงได้ขี้นไปกราบนมัสการหลวงพ่ออีกครั้งดูท่านก็ยังสดใส ใบหน้าสดชื่นแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มและเมตตา ก็ไม่แน่ใจว่าหลวงพ่อท่านจะจากไป ได้แต่เรียกใช้ไชโยมาหา มอบเงินไว้ก้อนหนื่ง ขอให้ไชโยช่วยดูแลปฏิบัติท่าน
หาของขบฉันมาถวาย อย่าให้ท่านต้องออกบิณฑบาตอีก เพราะท่านอายุ 90 ปีแล้ว ไชโยก็รับคำ พลางบอกคุณนายส้มเกลี้ยงว่า
“พรุ่งนี้หลวงพ่อท่านไม่ฉันเช้าไม่ให้ใครเข้าไปปลุกท่าน ท่านสั่งให้หาอาหารให้นก ไก่ แมว สุนัข และสัตว์ที่ท่านไถ่ชีวิตมาที่อยู่ใต้ถุนกุฏิ อย่าให้อดอยาก ตอนเพลจึงเข้าไปหาท่านในกุฏิได้” ลูกศิษย์ทุกคนก็รับคำสั่งนี้
ออกพรรษาแล้ว หมดหน้ากฐินแล้ว ย่างเข้าหน้าหนาว คืนวันนั้นหลวงพ่อท่านปฏิบัติกิจของท่านตามปกติคือทำวัตรเย็น สวดมนต์อยู่นาน จากนั้นท่านก็นั่งเข้าสมาธิสงบอยู่ที่เบาะพนักพิงใบนั้น ท่านนั่งในห้อง นาฬิกาที่รับแขก พอเวลาประมาณก่อนสองยามท่านก็ขอให้พระเณรกลับไปจำวัดได้ และพรุ่งนี้ไป ไม่ต้องมานั่งที่กุฏิท่านและไม่ต้องปลุกท่านไม่ต้องถวายอาหารเช้าให้ท่าน ตอนเพลจึงค่อยเข้าไปหาท่าน ทุกคนก็รับคำ
ขณะนั้น ละอองฝนเริ่มตกเบาๆ สลับกับลมหนาว ทำให้อากาศเยือกเย็นเป็นพิเศษ เพลแล้ว เกือบเที่ยง ไชโยพร้อมด้วยพระเณรศิษย์วัด ได้เปิดประตูเข้าไปในกุฏิหลวงพ่อ เห็นหลวงพ่อนั่งสมาธิอยู่ที่เดิม ร่างกายไม่ไหวติง หลับตานิ่ง ลำตัวท่านเอียงไปข้างหนึ่ง ไม่ตรงเหมือนปกติ ไชโยรีบคลานเข้าไปหาเอื้อมมือไปปลุกท่าน
“หล่วงพ่อครับ...หลวงพ่อ...!”
แต่ร่างของหลวงพ่อเย็นชืด ไม่ใหวติง ไชโยก็รู้ทันที ก้มลงกราบด้วยความเคารพ เขากราบอยู่นาน จนตรงพื้นที่ที่เขากราบนั้นเปียกเปื้อนด้วยหยาดน้ำตา จากนั้นพระเณรและลูกศิษย์ทั้งหลายก็ขึ้นไปกราบท่านด้วยความอาลัย สุนัขที่ท่านสงเคราะห์ชีวิตไว้ก็แห่หอนกันเซ็งแซ่
หลวงพ่ออ่ำ ท่านเจ้าคุณพุทธวิหารโสภณ แห่งวัดวงษ์ฆ้อง คลองเมืองได้ลาละสังขารของท่านไปแล้ว ท่านจะไปที่ใด ไปอยู่ที่ไหน ไม่มีใครทราบ ทราบแต่ว่าท่านกำหนดวันที่ท่านจะทิ้งสังขารไว้เรียบร้อยเพื่อชาติใหม่ ภพใหม่ของท่าน ซึ่งจะเป็นที่สงบสุขอันยากที่บุคคลอย่างเราๆ จะได้พบ
ผมได้ขึ้นไปอยุธยาอีกครั้ง หลังจากที่ท่านมรณภาพแล้ว เพราะติดการเรียน จึงได้ทราบเรื่องนี้จากไชโย ผมหันหน้าไปหารูปท่านที่ติดไว้ข้างฝากุฎิ พร้อมกับก้มลงกราบท่านด้วยความเคารพอย่างสูง และเสียดายที่ท่านได้จากไปอย่างสุดที่จะบรรยาย
|
Update : 23/7/2554
|
|