|
|
ธรรมะกับชีวิตประจำวัน - ต้องอยู่อย่างปลาเป็น อย่าอยู่อย่างปล
วันนี้พอดีกับเป็นวันพระ วันพระเป็นวันแห่งความดี เป็นวันที่เราควรจะเข้าไปหาพระ รับคำสอนของพระนำมาเป็นหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ความหมายของวันพระ คือวันประเสริฐสำหรับชีวิต ใน 7 วันมีวันประเสริฐวันหนึ่ง เป็นวันแห่งการชำระชะล้าง เป็นวันแห่งการพิจารณาตัวเอง ตักเตือนตัวเอง แก้ไขตัวเอง เพื่อทำ ตัวให้ดีขึ้น เสื้อผ้าที่เราสวมใส่ ถ้าไม่ได้ซักเลยก็จะเหม็น สาบ ร่างกายไม่ได้อาบน้ำก็สกปรก มีกลิ่นไม่ค่อยจะดี บ้านเรือนไม่ได้ปัดกวาดก็ไม่สะอาดฉันใด ร่างกายจิตใจ เรานี้ก็เหมือนกัน เราจะต้องมีการชำระชะล้าง เพราะสิ่งสกปรกเกิดขึ้นทุกวินาทีของชีวิต สิ่งที่เปื้อนกายเป็นสิ่งสกปรกภายนอก ราดด้วยน้ำได้ แต่สิ่งที่เปื้อนใจมันเป็นกิเลส ที่เกิดขึ้นครอบงำจิตใจ ทำให้จิตใจเปลี่ยนหน้าตาเดิม กลายเป็นสกปรก วุ่นวาย เร่าร้อน เป็นสิ่งที่เราจะต้องขัดต้องถูเอาสิ่งนั้นออก
ทางศาสนาจึงตั้งระบบไว้ว่า วันพระเป็นวันชำระสะสาง เป็นวันที่ควรจะได้ใช้สติปัญญาพิจารณาตัวเอง ตักเตือนตัวเอง แก้ไขตัวเอง ทุกคนที่เกิดมามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ควรจะอยู่ด้วยความคิดว่า อยู่เพื่อความดีขึ้น อยู่เพื่อความสะอาด อยู่เพื่อความสงบ อยู่เพื่อความสว่างไม่ใช่อยู่เพื่อความสกปรก เร่าร้อนวุ่นวาย ถ้าอยู่เพื่อความสกปรก ชีวิตลดค่าลดราคา จะไม่มีความหมาย ไม่มีคุณค่าสมกับที่เราเกิดมาเป็นผู้เป็นคน เพราะฉะนั้น เราจึงต้องมีการชำระสะสางบ่อยๆ ความจริงก็ควรชำระกันทุกวัน สะสางกันทุกวัน แต่บางทีก็ลืมไป เพียงกำหนดไว้ ว่า 7 วัน เป็นวันหยุดงาน พักผ่อน แล้วก็ควรจะได้ชำระสะสางกาย วาจา ใจ ของเราให้สะอาด ปราศจากสิ่งเศร้าหมองใจ
การเข้ามาชำระสะสางจิตใจนั้น เรียกว่าเข้ามาอยู่เพื่อปฏิบัติธรรม ตามภาษาธรรมะเขาเรียกว่า เข้าอยู่อุโบสถ อุโบสถแปลว่าการเข้าไปอยู่ในกรอบของศีลธรรม ไม่ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามอารมณ์ ตามสิ่งแวดล้อม เพื่อแก้ไขตัวเอง เพื่อจะได้รู้จักตัวเอง เพื่อจะได้รู้ว่ามีอะไรมันเกิดขึ้นในใจของเรา เพื่อจะรู้ว่าสิ่งนั้น เกิดอยู่ในตัวเรา มันให้อะไรแก่เรา ให้ความทุกข์ ให้ความสุข ให้ความเสื่อม ให้ความเจริญอย่างไร ถ้ารู้ว่ามันเป็นไปเพื่อความทุกข์ เพื่อความเสื่อม เราก็ต้องชำระสะสางเอาสิ่งนั้นออกไปจากจิตใจ
เครื่องมือสำหรับชำระสะสางจิตใจนั้นก็คือหลักศีลธรรม คำสอนในทางพระศาสนา เราเป็นผู้นับถือพุทธศาสนา เราก็เอาหลักศีลธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นเครื่องมือสำหรับชำระสะสางชีวิตจิตใจ ให้ผ่องใส ให้สะอาดปราศจากสิ่งที่เป็นทุกข์เป็นโทษ ถ้าเราไม่ต้องการชำระสะสางชีวิตจิตใจ เราก็จะมีทุกข์มากขึ้น มีความไม่สะอาดมากขึ้น ก็เกิดเป็นปัญหา ปัญหาไม่ได้เกิดเฉพาะตัว แต่จะเกิดขึ้นแก่สังคม แก่ประเทศชาติ
สังคมโลกในปัจจุบันนี้ อยู่กันด้วยความโกรธ อยู่กันด้วยความเกลียด อยู่กันด้วยความพยาบาท อาฆาตจองเวร อาชญากรรมต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ทำไมสิ่งเหล่านั้นจึงเกิดมากขึ้น ก็เพราะว่าโลกในปัจจุบันนี้ มันมีความเจริญ เราเรียกว่าเป็นความเจริญทางวัตถุ ความเจริญทางวัตถุมันเป็นการเพิ่มความรกความรุงรังให้เกิดขึ้นในโลก และความรกความรุงรังนั้น เป็นเหยื่อล่อจิตสะกิดใจ ให้เกิดความคิดในทางอยากมีอยากได้อยากเป็นกันด้วยประการ ต่างๆ ไม่รู้จักบังคับตัวเอง ไม่รู้จักควบคุมตัวเอง ชอบปล่อยตัวปล่อยใจไปตามกระแสโลก เป็นอยู่เหมือนกับปลาตาย ไม่ได้เป็นอยู่แบบปลาเป็น ปลาเป็นน่ะมันเป็นอย่างไร ปลาเป็นมันว่ายทวนน้ำ ปลาตายนั้นนอนหงายท้องไหลไปกับกระแสน้ำ
ชาวญี่ปุ่นเลี้ยงปลาชนิดหนึ่งไว้ในบ้าน เขาเรียกปลาคาร์ฟ ราคาค่อนข้างจะสูง เขาเลี้ยงไว้ทำไม เขาเลี้ยงไว้สอนลูก ให้รู้จักต่อสู้กับปัญหาชีวิต เพราะว่าถ้าเขาปล่อยน้ำให้ไหลเบาๆ ปลาก็ว่ายทวนกระแส น้ำไหลแรงขึ้นปลาก็กำลังแรงขึ้น ถ้าน้ำไหลเชี่ยวปลาก็จะทวนกระแสอยู่ตลอดเวลา นั่นคือลักษณะปลาเป็น แต่ถ้าปลาตายแล้วมันไม่ว่ายทวนน้ำ มันหงายท้องแล้วไหลไปตามกระแสน้ำ จนเน่าเปื่อยใช้อะไรไม่ได้ เขาก็สอนลูกเล็กเด็กน้อยว่า อยู่ในโลกต้องต่อสู้ ต้องมีชีวิตอย่างปลาเป็น อย่าอยู่อย่างปลาตาย เพราะถ้าอยู่อย่างปลาตายก็คือเราตายทั้งเป็น คนตายทั้งเป็นเป็นคนไม่มีราคา ไม่มีความหมาย จึงต้องต่อสู้ ปัญหาชีวิต ไม่ปล่อยตัวปล่อยใจให้ไหลไปกับอารมณ์ ไม่ให้ไหลไปความอยากที่เกิดขึ้น เรียกว่า อยู่ทวนกระแส
ชีวิตที่ทวนกระแสนั่นแหละ จะเป็นชีวิตที่สมบูรณ์ชีวิตที่ไหลตามกระแส จะเป็นชีวิตที่ขาดตกบกพร่อง ไม่เป็นไทย ไม่เป็นมนุษย์ ไม่เป็นพุทธบริษัทที่ถูกต้อง เพราะมันไหลเรื่อยไป กับอารมณ์กับสิ่งแวดล้อม อยู่อย่างนี้ไม่มีราคา ไม่มีความหมาย เราคนไทยจะไม่อยู่อย่างปลาตาย แต่เราอยู่อย่างปลาเป็น เราคนไทยต้องมีจิตใจสูงไม่ปล่อยให้ตกต่ำ ไม่ให้ความชั่วครอบงำ
เราเป็นไทยต้องอยู่อย่างเป็นพุทธะ หมายความว่าอยู่อย่างผู้รู้ อยู่อย่างผู้ตื่น อยู่อย่างผู้เบิกบานแจ่มใส ในรสพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า การปฏิบัติตนในชีวิตประจำวัน ชาวพุทธเราจะต้องเป็นคนตื่นตัว ว่องไว ก้าวหน้า “ตื่นตัว ว่องไว ก้าวหน้า” ต้องท่องไว้ทุกวัน ตื่นตัวหมายความว่าเป็นผู้พร้อมที่จะทำหน้าที่ ใครมีหน้าที่อะไร หน้าที่นั่นแหละเป็นงานของเรา เป็นธรรมะของเรา คิดถึงหน้าที่นั้น รักหน้าที่อันนั้น ขยันในหน้าที่นั้น เอาใจใส่ในหน้าที่นั้น ทำหน้าที่นั้นให้ถูกต้อง การทำหน้าที่ให้ถูกต้องเรียกว่าเราประพฤติธรรม แต่ถ้าเราทำหน้าที่ไม่ถูกต้อง ก็เรียกว่าเราไม่ประพฤติธรรม เมื่อเราไม่ประพฤติธรรม ธรรมะก็จะทิ้งเราไม่รักษาเรา ไม่คุ้มครองเรา เราก็ตกอยู่ในสภาพลำบาก มีความทุกข์ มีความเดือดร้อนใจด้วยประการต่าง ๆ
(เรียบเรียงจากส่วนหนึ่งของปาฐกถาธรรม วันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๒)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 117 สิงหาคม 2553 โดย พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ) วัดชลประทานรังสฤษฎ์ จ.นนทบุรี)
|
Update : 11/7/2554
|
|