|
|
ธรรมะปฏิบัติ - งามอยู่ที่ผี ดีอยู่ที่พระ ละอยู่ที่ใจ
“งามอยู่ที่ผี ดีอยู่ที่พระ ละอยู่ที่ใจ”
หากไม่มีผีมันก็ไม่งาม ผีเป็นของงามทุกอย่าง จะดูข้างนอกก็ประดับตกแต่งดีกว่าที่อยู่ของคนผู้ที่ยังไม่ตาย จะดูข้างในก็เป็นของปฏิกูลน่าดูทุกอย่าง ซึ่งคนธรรมดาไม่สามารถจะให้คนทั่วไปดูได้ ผู้ดูผีเป็นของดีแบบว่านั้นเป็นองค์พระได้เลย พระจึงชอบดูแต่ผีซึ่งเป็นของดีๆทั้งนั้น
พระดูทั้งคนเป็นคนตาย เห็นเป็นซากผีไปหมด ใจของพระจึงเป็นที่ละความสวยความงามของอสุภได้ ท่านสอนกัมมัฏฐานให้พิจารณาอสุภในคนตายแล้วและยังมีชีวิตอยู่ เป็นอสุภเสมอเหมือนกันทั้งหมด แต่พอความตายมาปรากฏเฉพาะหน้า บางคนเลยเกลียดหรือกลัวไป มันเข้าหลักธรรมที่ว่า
ธมฺม เทสฺสี ปราภโว - ผู้เกลียดชังธรรม เป็นผู้พ่ายแพ้ ดังนี้
ถ้าความตายมาปรากฏให้เห็นเฉพาะหน้า น้อมนำเอามาพิจารณาถึงตัวของเราว่า เราก็จะต้องเป็นเช่นเดียวกันนั้น ตายแล้วเปื่อยเน่าเป็นอสุภ แม้มีชีวิตอยู่ก็ปฏิกูลโสโครกเป็นของน่าเบื่อหน่าย แล้วจะหายจากความเกลียดความกลัว และจะมุ่งหน้าบำเพ็ญแต่ความดีอันมีสาระให้เกิดประโยชน์แก่ตนทั้งโลกนี้และโลกหน้า สมกับธรรมที่ว่า
ธมฺมกาโม ภวํโหติ - ผู้ใคร่ต่อธรรม เป็นผู้เจริญ ดังนี้
ความตายเป็นปรากฏการณ์ซึ่งไม่ค่อยจะมีเสมอนัก ฉะนั้น เมื่อความตายมาปรากฏเฉพาะหน้า ไม่ว่าจะเป็นคนสนิทใกล้ชิดหรือห่างไกลเราก็ตาม จึงเป็นเหมือนธรรมเทศนาอัปมาทธรรมของเทวทูตกัณฑ์หนึ่งก็ว่าได้ เป็นของไม่น่าเกลียดน่ากลัวเลย คนที่เกลียดและกลัวคนที่ตายไปแล้วเพราะไม่ได้น้อมนำเข้ามาพิจารณาในตน เห็นว่าตนดีกว่าคนที่ตายไปแล้ว เป็นคนที่สะอาดสวยงามเป็นของน่ารักน่าใคร่ คนอื่นเห็นเข้าแล้วเขาจะยินดีพอใจ คนที่ตายไปแล้วเท่านั้นเป็นผีที่น่าเกลียด แต่หาได้รู้ไม่ว่าตัวของเราก็เป็นผีสดศพหนึ่งดีๆนี่เอง นอกจากจะเป็นผีสดแล้ว ยังเป็นป่าช้าที่ฝังผีของสัตว์ต่างๆ มีหมู วัว เป็ดไก่ เป็นต้น ซึ่งเราขนมาฝังอยู่ทุกๆ วัน คนที่ตายแล้วเขาไม่ได้เป็นป่าช้าของสัตว์อื่นอีกต่อไปแล้ว ที่กลัวก็วาดภาพขึ้นมาหลอกตัวเองว่าคนที่ตายไปนั้นจะต้องมีหน้าตาบิดเบ้บู้บี้อย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งวาดไปแต่ทางที่ไม่น่าดูน่าแล ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่น่ากลัวน่าเกลียดทั้งนั้น แต่ซากของผู้ตายเองก็หาได้รู้ด้วยไม่ เป็นภาพของผู้กลัวคิดวาดภาพเอาเอง แล้วก็กลัวไปเอง จะเรียกว่าผีหลอกให้คนกลัวได้อย่างไร ควรเรียกว่าคนกลัวนั่นเองหลอกตนเอง แล้วไปใส่ร้ายผีต่างหาก คนผู้พิจารณาไม่เป็นไม่เห็นธรรม จึงเป็นของยากที่จะให้เห็นจริงได้
ธรรมดามนุษย์ทั้งหลายที่เกิดมาเบื้องต้นแล้ว ต้องตายด้วยกันทั้งหมดเป็นที่สุด เมื่อตายแล้วพากันสมมติว่าผี เพราะตนไม่ชอบดังกล่าวแล้ว แต่สัตว์ทั้งหลายมีกุ้ง ปลา หมู เป็ดไก่ เป็นต้น ตายแล้วทำไมไม่เรียกว่าผี ไม่มีใครเกลียดใครกลัวเลย กลับชอบ ใจชิงกันซื้อขายวุ่นวายกันไปหมด ผีหมู่นี้มีที่ไหนมากๆ ที่นั้นคนก็จะรุมยุ่งกันทุกแห่ง ดูที่ตลาดสดนั่นซิวันหนึ่งๆ เขาขนผีไปกองไว้ขายนับศพไม่ถ้วน วันไหนผีไม่มีหรือมีน้อยแย่งซื้อไม่ทัน วันนั้นต้องทำหน้าแห้งบ่นกันอู้กลับบ้าน ทำไมจึงไม่พิจารณาให้เห็น เป็นธรรมบ้าง คนเราเป็นเสียอย่างนี้ เห็นคนอื่นเป็นของน่าเกลียดน่ากลัวไปเสียหมด
ส่วนตัวของเราเองเห็นเป็นดีไปทั้งนั้น เรากลัวผีวาดภาพคนตายขึ้นมาแล้วกลัว ก็ใส่ร้ายว่าผีหลอกเรา แต่อยากเอาผีมากินเป็นอาหาร ก็ถือว่าเนื้อว่าปลาเอร็ดอร่อยชอบใจ แกล้งทำเข้าข้างตนเองแท้ๆ
ธรรมะไม่ต้องไปค้นคว้าแสวงหาที่อื่นที่ไกลหรอก ธรรมะคือของจริง ผู้มีปัญญาทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่แสวงหาธรรมในของจริงนั้น คัมภีร์และตำราทั้งหลายที่เขียนไว้ล้วนแล้วแต่เป็นของจริง เว้นเสียแต่ว่าจะจริงมากจริงน้อยเท่านั้น
พระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้ก็ไม่มีตำราคัมภีร์ แต่ตรัสรู้คือรู้ของจริงตามหลักธรรมดา ซึ่งเป็นตำราธรรมชาติมีอยู่แล้วอย่างนั้น แล้วทรงนำเอาของนั้นมาเผยแพร่ และก็เขียนเป็นตำราสืบมา ที่เรียกว่าคัมภีร์พุทธศาสนา ตัวของเรามีความจริงอยู่บริบูรณ์ทุกประการ ถ้าจะว่าถึงเรื่องผี ตัวของเราก็เป็นผีอยู่แล้วดังแสดงมาข้างต้น และยังเป็นผีพิสดารกว่านั้นอีก มิใช่แต่จะวาดภาพหลอกตัวเองเล่นเท่านั้น บางทียังหลอกคนอื่นให้กลัวให้เจ็บให้ป่วย จนกระทั่งหลอก ให้คนอื่นเสียข้าวเสียของเสียผู้เสียคน ให้ฉิบหายตายโหงไปก็มาก ผีชนิดนี้เป็นผีจริง มิใช่ผีวาดภาพหลอกเอาดังกล่าวแล้ว
(อ่านต่อฉบับหน้า)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 119 ตุลาคม 2553 โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย)
|
Update : 11/7/2554
|
|