หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    มองเป็นเห็นธรรม : ทำเพื่อ พ่อ
    “คุณโต เครียดอีกแล้วนะ ทำไมเครียดบ่อยจัง?” เสียงหลวงพ่อพุทธอังคีรส ดังแว่วมาในสมาธิจิตของพระอาจารย์โต ภายหลังการทำวัตรค่ำประจำวัน
           
           “ก็กังวลใจ เป็นห่วงสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า นะขอรับ”
           
           “ท่านก็ทรงสุขสำราญดีมิใช่หรือ”
           
           “พระองค์ยังประทับรักษาพระอาการประชวรอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช ขอรับ”
           
           “เป็นธรรมดาของสังขาร จะห่วงใยจนเครียดทำไม”
           
           “เกล้ากระผมรำลึกถึงพระราชดำรัสเมื่อวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๒ ความตอนหนึ่งว่า ความสุขความสวัสดีของข้าพเจ้า จะเกิดมีขึ้นได้ ก็ด้วยบ้านเมืองของเรามีความเจริญมั่นคงเป็นปรกติสุข ความเจริญมั่นคงทั้งนั้น จะสำเร็จผลเป็นจริงได้ ก็ด้วยทุกคนทุกฝ่ายในชาติ มุ่งที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เต็มกำลัง ด้วยสติรู้ตัว ด้วยปัญญารู้คิด และด้วยความสุจริตจริงใจ โดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมยิ่งกว่าส่วนอื่น จึงขอให้ท่านทั้งหลายในที่นี้ ซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่สำคัญอยู่ในสถาบันหลักของประเทศ และชาวไทยทุกหมู่เหล่าทำ ความเข้าใจในหน้าที่ของตนให้กระจ่าง แล้วตั้งจิตตั้งใจให้เที่ยงตรงหนักแน่น ที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เพื่อให้สำเร็จประโยชน์ส่วนรวมอันไพบูลย์ คือชาติบ้านเมืองอันเป็นถิ่นที่อยู่ที่ทำกินของเรา มีความเจริญมั่นคงยั่งยืนไป
           
           แต่ตลอดปี ๒๕๕๓ การณ์ในประเทศไทยไม่เป็นไปตาม พระราชประสงค์เลยนะขอรับ เลยมานั่งคิดจนเครียดนี่ละขอรับ”
           
           “มันเป็นธรรมดาของโลก เป็นตามอำนาจของวิบากกรรมของแต่ละคน มิใช่หรือ จะมากังวลเครียดอยู่อย่างนี้ จะมิสมฐานะพุทธศากยบุตรดอกหรือ”
           
           “เกล้าฯ พยายามวางใจเป็นอุเบกขาแล้วขอรับ คิดว่าเป็นธรรมชาติแลวิบากกรรมอย่างที่พระเดชพระคุณกล่าว แต่วิสัยปุถุชนยังมีอยู่ในจิตใจ เลยอดเป็นห่วงเป็นใยในสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า ตามแรงกตัญญูกตเวทีในใจน่ะขอรับ”
           
           “แน่ะ รู้อยู่แล้ว ยังทำจิตใจให้เป็นไปตามกระแสโลกอีก ทำไมไม่เร่งเจริญอุเบกขาธรรมให้เกิดมากขึ้น จะได้เข้าใกล้อริยสัจธรรมตามพุทโธวาท แล้วจะได้นำสุขที่เกิดจากความสงบของจิตใจ มาเจริญเป็นเมตตาพรหมวิหารถวาย เป็นพระราชกุศล แด่สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าล่ะ”
           
           “วิถีที่พระเดชพระคุณปรารภมานี้ ดูเหมือนง่าย แต่ไม่ง่ายนะขอรับ”
           
           “ในโลกนี้มีความง่ายด้วยหรือ?”
           
           “ดูตามโลก ก็พอมีอยู่ขอรับ อย่างคนที่ซื้อลอตเตอรี่หวยเบอร์ แล้วถูกรางวัลน่ะขอรับ ดูไม่ยากเลยขอรับ แค่มีเงินไปซื้อ แล้วรอให้ถูกเท่านั้น หรืออย่างคนขายเครื่องเซ่นหน้าศาลเจ้าพ่อเสือ ก็ไม่เดือดร้อนในการขายของเลย เพราะมีคนมาซื้อถึงแผง นี่ก็ดูง่ายๆ น่ะขอรับ”
           
           “คิดตื้นไปไหมคุณโต ลองตรองดูใหม่ซิ ว่าง่ายหรือยาก ที่กล่าวมาน่ะ”
           
           “เกล้าฯ ว่าดูเหมือนง่ายนะขอรับ ความจริงก็ไม่ง่ายดอก ครับ คนซื้อลอตเตอรรี่ก็ต้องทำงานหาเงินมาซื้อ คนขายเครื่องเซ่นก็ต้องไปหาซื้อเครื่องเซ่นมาขายเหมือนกัน มันเป็นวิถีชีวิตของแต่ละคน ชีวิตนี้มันก็ยากอยู่นะขอรับ ในการดำเนินชีวิตไปตามความตั้งใจของตน”
           
           “เมื่อพิจารณาดูเป็นบุคคล ก็เห็นเป็นเรื่องยากในการดำเนินชีวิต แล้วนี้จะทำพระราชประสงค์ให้เป็นจริง มิยาก ยิ่งกว่าหรือ”
           
           “จริงขอรับ ยากจริงๆ แค่เกล้ากระผมทำหน้าที่ของพระ ก็ยังดูบกพร่องละลืมสติอยู่บ่อย แล้วโยมที่มีภาระมากกว่า จะไม่ลืมสติได้อย่างไรล่ะขอรับ”
           
           “ก็อย่างนี้ซิ ถึงทำให้สามัคคีธรรมเกิดขึ้นได้ยาก”
           
           “จริงขอรับ แล้วนี่ประเทศไทยจะเจริญต่อไปได้อย่างไร?”
           
           “คุณจะไปคิดทำไมล่ะ จะเจริญหรือเสื่อม ก็เป็นธรรมดาของโลก คุณควบคุมได้หรือ?”
           
           “ผมรู้ครับว่าเป็นธรรมดา แต่ใจมันเป็นปุถุชนอยู่ ก็อดคิดมิได้นี่ขอรับ”
           
           “แค่คุณมานั่งคิดนี่ ก็จะเข้าข่ายอกตัญญูแล้วนะ”
           
           “อ้าว ทำไมเป็นเช่นนั้นล่ะขอรับ”
           
           “ก็คุณลืมพระราชดำรัสตอนที่ว่า “ก็ด้วยทุกคนทุกฝ่ายในชาติ มุ่งที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เต็มกำลัง ด้วยสติรู้ตัว ด้วยปัญญารู้คิด และด้วยความสุจริตจริงใจ โดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมยิ่งกว่าส่วนอื่น” คุณทำหน้าที่เต็มกำลังแล้วหรือ?”
           
           “จริงครับ ผมก็ยังไม่ได้ทำหน้าที่ตามพระราชดำรัสเลย”
           
           “เป็นพระก็มีหน้าที่ ถ้าพระทำหน้าที่ของตนให้เต็มกำลัง ด้วยสติ ด้วยปัญญา อริยสัจธรรมคือพระนิพพาน ก็ย่อมปรากฏแก่ตนในที่สุด คุณว่าจริงไหม?”
           
           “ไม่ทราบขอรับ เกินกำลังของเกล้ากระผมในการตอบ ยืนยันคำกล่าวของพระเดชพระคุณขอรับ”
           
           “คุณโต รู้ไหมพระพุทธศาสนาต่างจากลัทธิศาสนาในโลกนี้อย่างไร?”
           
           “ผมเข้าใจว่าสมเด็จพระบรมศาสดาทรงสอนให้รู้จักหน้าที่ ที่แต่ละคนควรปฏิบัติ ถ้าใครปฏิบัติตามแล้วก็ย่อมบรรลุผลตามที่ทรงแสดงไว้ คือเป็นความสุขตามกำลังความสามารถที่ตนได้กระทำแล้วนะขอรับ”
           
           “ความต่างก็คือสิ่งที่ทรงสอนนั้น ต้องทำด้วยตนเองจึงจะรู้ว่าผลที่ทรงแสดงไว้เป็นอย่างไร อย่างที่คุณว่าเป็นหน้าที่ ก็จริง แต่การทำหน้าที่ให้ต่อเนื่องจนบรรลุผลนั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ยากหรือง่ายก็ขึ้นอยู่กับบุคคล สิ่งที่ต่างที่สุดคือความพอใจในการปฏิบัติตามคำสอน พระพุทธองค์ไม่ทรงบังคับให้พุทธบริษัทต้องปฏิบัติ พุทธบริษัทปรารถนาผลที่ทรงแสดงไว้ ก็ต้องทำด้วยตนเอง คุณคิดว่าจริงไหมที่พูดมานี้?”
           
           “จริงครับ พุทธบริษัทในประเทศไทยจึงย่อหย่อนในการปฏิบัติศาสนธรรมมากขึ้น”
           
           “พุทธบริษัทมีใครบ้างล่ะ?”
           
           “ภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา ครับ ภิกษุณีขาดเชื้อสายไปนานแล้วครับ”
           
           “แล้วที่เขามาเรียกร้องสิทธิภิกษุณีล่ะ จะว่าอย่างไร?”
           
           “คงอยากได้ฐานะภิกษุณีน่ะขอรับ เกล้าฯ ว่าแปลก เป็นเถรวาทแต่ไปขอบวชภิกษุณีกับมหายาน มันไม่ถูกต้องตามธรรมนะขอรับ พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้มีการบวชเป็นภิกษุณีได้ก็ต่อเมื่อบวชต่อสงฆ์ทั้ง ๒ ฝ่าย คือต้องบวชทั้งฝ่ายพระภิกษุสงฆ์ และฝ่ายภิกษุณีสงฆ์ เป็นการลงญัตติจตุตถกรรมวาจาทั้งสองฝ่าย จึงจะสามารถ เป็นภิกษุณีได้ ดังนั้นในเมื่อภิกษุณีสงฆ์เถรวาทได้เสื่อมสิ้นลง ไม่มีผู้สืบต่อ จึงทำให้ในปัจจุบันไม่สามารถทำการบวชผู้หญิงเป็นภิกษุณีฝ่ายเถรวาทได้ การที่มาอ้างว่าสายมหายานสืบสายวงศ์ภิกษุณีสงฆ์ไป ก็ไม่สามารถอ้างได้ เพราะการสืบสายทางมหายานมีข้อวินัยและการทำสังฆกรรมบวชภิกษุณีที่ไม่ถูกต้องกับพระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาท เกล้าฯ เคยเสวนากับพระลามะทิเบต ท่านก็บอกว่าของทิเบตไม่มีภิกษุณี มีแต่แม่ชี (nun) น่ะขอรับ”
           
           “แล้วนี่ไม่เรียกว่าจำกัดสิทธิสตรีหรือ?”
           
           “ไม่หรอกครับ ตอนที่พระโสณมหาเถระพระอุตตร มหาเถรมาเผยแผ่พุทธธรรมที่สุวรรณภูมินี้ ท่านก็คงพิจารณาแล้วว่าไม่มีภิกษุณีบริษัท ท่านจึงสอนให้อุบาสิกา มานุ่งขาวห่มขาวรักษาศีลอุโบสถเป็นนิตยศีลแทน และสืบต่อมาเป็นแม่ชีในบัดนี้นะขอรับ แม่ชีปฏิบัติธรรมตรงตามธรรม ก็สามารถบรรลุธรรมได้เหมือนภิกษุนะขอรับ ประเทศไทยก็มีอยู่หลายท่าน เท่าที่ฟังต่อๆมา ฝ่ายมหายานก็มีเหมือนกันขอรับ”
           
           “การกระทำอย่างนี้เรียกว่าทำลายพระพุทธศาสนาได้ไหม?”
           
           “ได้ขอรับ เพราะทำให้ความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เสื่อมถอยลง แท้จริงก็เป็นกิลเสของบุคคลที่ไปยึดมั่นถือมั่นในความคิดของตนว่าถูกว่าควร ไม่คำนึงถึงความถูกต้องตามธรรมตามวินัย อ้างธรรมวินัยใส่ตัวก็ผิดหมดล่ะขอรับ”
           
           “คุณคิดว่าคนไทยที่มีลักษณะอย่างนี้ มีมากหรือน้อย?”
           
           “คงมากโขอยู่ขอรับ”
           
           “พฤติกรรมอย่างนี้ กตัญญูหรืออกตัญญูล่ะ”
           
           “เกล้าฯ คิดว่าตอบยากขอรับ เพราะเจ้าตัวคงคิดว่าเป็นกตัญญู
           จึงอยากเป็นภิกษุณีบริษัท แต่คนที่ทราบความจริงตรงตามธรรม ก็ว่าอกตัญญู”
           
           “คุณตอบแบบเลี่ยงบาลีแล้วนะ ในฐานะผู้ปกครอง ต้องยึดถือธรรมวินัยเป็นหลักในการบริหารปกครอง กรณีอย่างนี้ตอบได้นัยเดียว คืออกตัญญู โดยไม่เจตนา ซึ่งก็เป็นความผิด”
           “แรงไปไหมขอรับ”
           
           “ไม่หรอก กล่าวอย่างนี้จะได้สำเหนียกในตนมากขึ้น ลดความคิดเห็นผิดลง ปรับความเห็นของตนให้ถูกตามธรรมตามวินัย เมื่อเถรวาทบอกว่าไม่มีภิกษุณี ก็ไปบวชเป็นภิกษุณีในมหายานเสียก็จบ ไม่ก่อเชื้อความเข้าใจผิดให้แพร่กระจายไป เป็นปัญหาสังคมแก่ลูกหลานในอนาคต ลองตรองดู”
           
           “เกล้าฯ คิดแล้วก็เห็นชอบตามพระเดชพระคุณขอรับ ประเทศไทยที่วุ่นวายไม่รู้จบก็เพราะความคิดเอาตนเป็นใหญ่นี่ล่ะขอรับ นี่ถ้าบรรพชนมีทิพยเนตรส่องดูประเทศไทย ณ บัดนี้ คงสลดใจในพฤติกรรมของลูกหลานที่ทำลายวัฒนธรรมประเพณีที่ตนได้ร่วมกันสร้างสรรค์ และรักษาสืบต่อมาในชั่วอายุตน น่าเศร้าใจจริงๆ”
           
           “ก็เพราะความคิดที่ผิดมีอยู่มากมาแต่ครั้งพุทธกาล พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้มีสัมมาทิฏฐิเป็นข้อแรกในการปฏิบัติตนตามอริยมรรคมีองค์ ๘ จนปรับทัศนะของท่านโกณฑัญญะ ให้ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง แล้วจึงทรงแสดงข้ออื่นอีก ๗ ข้อ จนที่สุดท่านโกณฑัญญะได้ความเข้าใจในธรรมชาติของโลกว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นอยู่ สิ่งนั้นก็มีความดับไปเป็นธรรมดา บรรลุโสดาบันทันที และทูลขออุปสมบทเป็นพระสงฆ์รูปแรกในพระพุทธศาสนา เดี๋ยวนี้ตู่กันว่าตนเป็นสัมมาทิฏฐิ บ้านเมืองจึงวุ่นวายไงล่ะ”
           
           “จริงขอรับ แล้วทำอย่างไร บ้านเมืองจึงสงบปกติขอรับ”
           
           “ถ้าคนไทยรักษาและปฏิบัติตนตามประเพณีวัฒนธรรมไทยอย่างเต็มความสามารถ จนเกิดความรู้ซึ้งถึงความงดงามแห่งพุทธธรรมที่บรรพชนได้แฝงอยู่ในประเพณีวัฒนธรรมไทย คนไทยก็ย่อมรู้จักภาระหน้าที่ของตนต่อครอบครัว ต่อประเทศชาติ ต่อพระพุทธศาสนา และต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เมื่อรู้จักก็ย่อมมีความสำนึกในการปฏิบัติตนตามหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ ด้วยสติ ด้วยปัญญา ผลที่นำมาคือความสุขสงบวัฒนาสถาพรของประเทศไทย”
           
           “ทำได้หรือขอรับ?”
           
           “ได้ ถ้าตั้งใจทำจริงๆ”
           
           “แล้วจะทำให้พระราชประสงค์ในสมเด็จบรมบพิตรสัมฤทธิผล
           หรือเปล่าขอรับ”
           
           “ทรงรับสั่งว่า “ขอให้ท่านทั้งหลายในที่นี้ ซึ่งมีตำแหน่ง หน้าที่สำคัญอยู่ในสถาบันหลักของประเทศ และชาวไทย ทุกหมู่เหล่าทำความเข้าใจในหน้าที่ของตนให้กระจ่างแล้ว ตั้งจิตตั้งใจให้เที่ยงตรงหนักแน่น ที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด พื่อให้สำเร็จประโยชน์ส่วนรวมอันไพบูลย์ คือชาติบ้านเมืองอันเป็นถิ่นที่อยู่ที่ทำกินของเรา มีความเจริญมั่นคงยั่งยืนไป” คุณคิดว่าสัมฤทธิผลไหม?”
           
           “สัมฤทธิผลแน่นนอนขอรับ”
           
           “คุณโต คุณเริ่มทำหน้าที่ของตนหรือยังล่ะ?”
           
           “ทำแล้วขอรับ แต่ยังไม่เต็มความสามารถขอรับ กิเลสมันคอยกวนเสมอๆ เลยขอรับ”
           
           “อย่ามัวแต่ไปเรียกร้องคนอื่นให้ประพฤติเพื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะข้อเรียกร้องที่ได้รับจากคนอื่น ย่อมยากที่สัมฤทธิผล ถ้าเราเริ่มทำให้คนอื่นเห็น อาจจะสัมฤทธิผลได้เร็วกว่า ด้วยเขาเห็นตัวอย่างแห่งการ ประพฤติที่ดีและถูกต้อง ย่อมเกิดความเลื่อมใสใคร่ประพฤติตามบ้าง นี่สำเร็จตามพระราชประสงค์จริงแท้ คิดดู”
           
           “จริงขอรับ”
           
           “ลองคิดตามเนื้อเพลงชาติดูสิ
           
           ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย
           เป็นประชารัฐ ไผทของไทยทุกส่วน
           อยู่ดำรงคงไว้ได้ทั้งมวล
           ด้วยไทยล้วนหมาย รักสามัคคี
           ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด
           เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่
           สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี
           เถลิงประเทศชาติไทยทวี มีชัย ชโย”

           
           ทำได้ตามเนื้อเพลง ก็สวัสดีมีชัยแล้วจริงๆ”
           
           “เกล้าฯ ต้องเร่งแล้วละขอรับ ทำหน้าที่ของตนให้เต็มความสามารถ เพื่อจักได้เป็นหนึ่งในกตัญญูกตเวทีบุคคล ผู้จงรักภักดีต่อสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า ขอรับ”
           
           “มาตั้งจิตอธิษฐานถวายพระพรกัน ขอสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ จงเจริญพระราชสิริสวัสดิพิพัฒนมงคลพระชนมสุขทุกประการ ทุกทิวาราตรีกาลเทอญ”
           
           “ขอขอบพระเดชพระคุณขอรับ ที่กรุณาปลดเปลื้องทุกข์ในจิตใจของเกล้ากระผม”
           
           “ไม่เป็นไร มาพบกันบ่อยๆ จะได้ช่วยเหลือกัน ได้เวลาสมควรแล้ว เดี๋ยวมีอุปสมบทในพระอุโบสถ ลากันตรงนี้นะคุณโต”
           
           “ขอรับ กราบขอบพระเดชพระคุณ ขอรับ”
           
           (จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 121 ธันวาคม 2553 โดย พระพจนารถ ปภาโส วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม)


    • Update : 9/7/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch